๙ ทำทุกอย่าง (๒)
“ได้ข่าวว่าน้ำจะออกจากสมุทรธารา” เขาเปิดประเด็นทันทีระหว่างรับประทานอาหาร
“ไทยโหลด ดีไซน์ยินดีต้อนรับนะครับ” สงครามเกือบยั้งใจไม่ให้ตวัดสายตามองคนนั่งข้างๆ ไม่ทัน เขาพยายามผ่อนลมหายใจเข้าออกให้คงที่แล้วมองไปยังผู้หญิงที่นั่งตรงข้าม
“ขอให้ไปได้ด้วยดีแล้วกัน” อวยพรเสียงเรียบจนไม่อาจเดาความรู้สึกได้
ดูเหมือนว่าเธอจะตกอยู่ในที่นั่งลำบากเสียแล้ว ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับสถานการณ์แสนอึดอัดดี อยากออกไปจากห้องนี้ใจจะขาดแต่อาหารก็แทบไม่พร่องเลยสักนิดจำต้องอดกลั้นข่มใจแล้วไม่โต้ตอบ ใครว่าหล่อนเก่งไม่ใช่เลยสักนิด อยู่ต่อหน้าสงครามเนตรนภาก็กลายเป็นเพียงผู้หญิงแสนอ่อนแอจะต่อกลอนก็ยากเหลือเกิน
“ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วครับ น้ำเขามีฝีมือ” ฉันทิตพยายามจะอวดถึงความสามารถของหล่อนให้สงครามฟัง และนั่นทำให้รู้ว่าสองคนนี้สนิทกันมากเท่าไหร่
“หวังว่าคุณสงครามจะไม่เสียดายนะครับ” ไม่ลืมเอ่ยแหย่คนที่มีตำแหน่งสูงกว่าตัวเอง
“ไม่หรอกครับ ของอะไรที่ผมทิ้งแล้วคงไม่กลับไปใช้ซ้ำ” เนตรนภาหน้าชาเหมือนมีคนเดินมาตบใบหน้า ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะเป็นเพียงสิ่งของสำหรับสงคราม ไม่มีค่าอะไรให้เขาต้องการด้วยซ้ำ
ดวงตากลมโตเริ่มแดงก่ำเธอพยายามสุดความสามารถที่จะไม่ร้องไห้ตอนนี้จึงได้ฉีกยิ้มให้ฉันทิตโดยไม่มองสงครามแม้เพียงหางตา
“คุณฉันทิตชอบแซลม่อนใช่ไหมคะ” เธอคีบของโปรดให้เขาพลางโปรยยิ้มโดยไม่สนใจว่าเจ้านายตัวเองจะมองอย่างไร หล่อนจะไม่ยอมทำตัวเป็นเบี้ยล่างให้อีกฝ่ายโขกสับต่อไปแล้ว ในเมื่อไม่เห็นใจกันจากนี้ก็ตาต่อตาฟันต่อฟัน
“ขอบคุณครับ” สงครามไม่ใคร่ชอบใจเท่าไหร่นักกับรอยยิ้มหวานของเนตรนภาทว่าพูดหรือห้ามปรามไม่ได้ เขานั่งรับประทานอาหารเงียบๆ จนกระทั่งบนโต๊ะเหลือเพียงจานชามเปล่า และร่างบางก็ค่อยผ่อนลมหายใจเมื่อนึกได้ว่าจะออกจากที่นี่แล้ว
“มื้อนี้ผมเลี้ยงเองนะครับ” ฉันทิตยื่นบัตรเครดิตให้พนักงานและไม่มีใครห้ามสักคน คนตัวเล็กหันหน้าไปทางอื่นในขณะที่สงครามก็เมินหล่อนเช่นเดียวกัน
“แล้วคุณสองคนจะกลับบริษัทด้วยกันใช่ไหม พอดีผมมีนัดต่อคงไปส่งน้ำไม่ได้” นี่มันคือหายนะสำหรับเธอชัดๆ
“ครับ” ทว่าร่างสูงกลับตอบรับทันทีจึงทำให้ฉันทิตเบาใจหันมามองเนตรนภาพร้อมกับยกมือขึ้นแตะบ่าเล็ก
“มีอะไรโทรหาผมนะครับ ผมรอน้ำเสมอ” เหมือนเขาวางระเบิดเอาไว้ก่อนจะเดินจากไปปล่อยให้หล่อนเผชิญชะตากรรมคนเดียว เนตรนภากำหมัดแน่นดูเหมือนว่าอะไรจะไม่เป็นใจในวันนี้เพราะมันยิ่งสร้างความเข้าใจผิดแก่สงคราม
“จะไปไหม” หันมาถามเสียงเข้มซึ่งเป็นปกติของสงครามทว่าสำหรับหล่อนกลับไม่คุ้นชินสักเท่าไหร่
ถึงพี่ครามของเธอจะไม่ใช่คนอ่อนหวานแต่น้ำเสียงของเขาก็อ่อนโยนกว่านี้ เนตรนภาคิดโดยลืมไปว่าทั้งสงครามและพี่ครามของเธอเป็นคนเดียวกัน
“ฉันกลับเองได้ค่ะ” ไม่ได้ขอร้องอยากไปด้วยสักหน่อย ใบหน้าหวานเชิดขึ้นเล็กน้อยแล้วเดินออกจากร้านเพื่อจะไปเรียกแท็กซี่แต่มือหนากลับคว้าแขนเล็กเอาไว้เสียก่อน
“อย่าเรื่องมาก” แล้วเขาก็จูงแกมลากเธอมายังรถออดี้สีขาวที่ราคาแพงใช่เล่น แค่เห็นคนตัวเล็กก็รู้สึกสมเพชตัวเองเหลือเกินที่หลงเชื่อเขาเป็นนานสองนานว่าอีกฝ่ายคือคนฐานะธรรมดา แต่เมื่อได้รู้ว่าความจริงเป็นอย่างไรก็ทำให้หล่อนเลือกจะปลดมือเขาออก
“ฉันไม่ต้องการไปกับคุณเพราะฉันรังเกียจผู้ชายหูหนวกตาบอดอย่างคุณที่สุด” ว่าเสียงสั่นทั้งแววตาหวั่นไหวทว่าสงครามไม่ได้รับรู้ถึงความเสียใจของเธอสักนิด
“ตามใจ ผมก็ไม่อยากให้ผู้หญิงแบบคุณขึ้นรถผมเหมือนกัน” ในเมื่อเธอปฏิเสธเขาก็ไม่อยากไปตื้อหรืออ้อนวอนจึงปล่อยเธอยืนอยู่ที่เดิมส่วนตนเองก็ขึ้นรถขับกลับบริษัททันที มาที่นี่ก็เพื่อให้เห็นกับตาว่าทั้งสองคนนั้นมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นต่อกัน
และความจริงก็เป็นอย่างนั้น เนตรนภากำลังจะไปทำงานที่ไทยโหลด ดีไซน์ด้วยหน้าชื่นตาบานทำเอาเขาแค้นแทบกระอัก หล่อนเกือบทำให้ชื่อเสียงสมุทรธารา ดีไซน์จบลงว่าไปลอกงานคนอื่นแล้วยังมาลอยหน้าลอยตาไม่สำนึก
เขาคงปล่อยไปไม่ได้..
“ฮัลโหลคุณเขม ขึ้นบัญชีดำเนตรนภาหลังจากที่เธอออกด้วย” นั่นไม่ใช่เรื่องเล็กเลยสักนิดกับการที่คนคนหนึ่งจะถูกขึ้นบัญชีดำจากที่ทำงาน ชีวิตเธอต่อจากนี้จะยิ่งลำบากมากขึ้นเพราะไม่ว่าไปที่ไหนก็ไม่มีใครต้องการพนักงานที่โดนแบบนี้หรอก ถึงจะไปที่ไทยโหลด ดีไซน์ก็ยากที่จะเข้ากับคนอื่นได้ คงมีเสียงซุบซิบและนินทาตลอดเวลา
‘จะดีเหรอคะคุณสงคราม แบบนี้น้ำก็แย่สิคะ’ แผนกบุคคลพยายามโน้มน้าวแต่ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะไม่สนใจสักนิด
“ทำตามที่ผมสั่งนั่นแหละครับ” วางสายไปทันทีไม่ต้องการพูดให้มากความกลัวว่าหัวใจลึกๆ ภายในจะเอาชนะได้
เกมที่เขากระโจนลงไปเล่นกับความรู้สึกด้วยตัวเองและดูเหมือนว่าเชือกนั้นจะมารัดให้เขาตกหลุมที่อุตส่าห์ขุดเพื่อจับขโมย..
เขาถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้มพยายามลบความรู้สึกทั้งหมดออกไปเพราะรู้ดีว่าถึงอย่างไรก็ไม่มีทางเป็นจริงได้ ตอนนี้เราอยู่กันคนละโลกโดยสมบูรณ์แล้ว
“บ้าเอ๊ย ทำไมไม่ขึ้นรถกับเขานะ อุตส่าห์มีวาสนาได้นั่งออดี้แล้วเชียว” หลังจากรอแท็กซี่กว่าสามสิบนาทีก็ไม่มีคันไหนว่างทำเอาเนตรนภาบ่นกับตัวเองพลางถอนหายใจ และเหมือนฟ้าจะมีตามีรถคันใหม่ขับผ่านมาพอดีหล่อนจึงได้กลับบริษัท
สุดท้ายแผนที่วางเอาไว้ก็ไม่ได้จนต้องกดลบเสียงที่อัดเอาไว้ อยากจะตีอกชกหัวตัวเองที่ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ คงต้องไปไหว้พระขอพรให้เรื่องนี้ผ่านพ้นไปโดยเร็วเสียแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรพรุ่งนี้เธอก็คงต้องออกจากบริษัทสมุทรธาราที่ตัวเองภักดีด้วยมาตลอด
คงต้องรีบหางานให้ได้เร็วที่สุดเพราะยังต้องกินต้องใช้ ถึงจะมีเงินเก็บแต่ก็ไม่กี่หมื่นเท่านั้นหากเอ้อละเหยลอยชายสักวันเงินก็ต้องหมดไป
เมื่อถึงจุดหมายจึงยื่นเงินให้พร้อมรับตังค์ทอนค่อยออกจากรถบริการเดินเข้าไปในบริษัทที่หล่อนทุ่มเทให้มาโดยตลอด คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีวันนี้ที่ต้องเดินจากไปโดยไม่ได้ทำผิดในข้อหาที่โดนกล่าวอ้าง เธอผิดที่รับงานนอกแต่มันก็จำเป็นจริงๆ ในตอนนั้น
พูดไปก็เท่านั้นใครจะเชื่อคนหลอกลวงกันเล่า..
“หน้าด้านหน้าทนจังเลยนะคนเรา ยังไม่ไปอีก” เข้ามาก็ได้ยินเสียงจากคู่อริทันทีจนต้องตวัดสายตามองพลางแสยะยิ้ม
“สงสัยรอยที่หน้าจางเร็วเลยอยากได้อีก จะลองไหมคะพี่กุ๊กไก่” ทำท่าจะย่างสามขุมเข้าไปหาจนคู่กรณีรีบไปหลบหลังคนอื่นเป็นพัลวัน
“ไล่มันไปๆ อย่าให้มันเข้ามาใกล้ฉัน” ก็นึกว่าจะแน่ จริงๆ แล้วก็เก่งแต่ปากนั่นเองและเมื่อเห็นว่าคนที่ดีแต่พูดไม่กล้าแม้แต่จะต่อกรกับเธอหนีไปหลบหลังคนอื่นจึงได้ผละมานั่งประจำที่ของตัวเอง
งานที่คั่งค้างเคลียร์หมดแล้วเหลือเพียงเก็บของที่มีน้อยนิดเท่านั้น เนตรนภาหันไปมองปภพที่ตั้งใจทำงานก่อนไล่สายตาไปยังพี่ๆ แต่ละคนที่สนิทบ้างไม่สนิทบ้าง หล่อนจะเก็บความทรงจำเอาไว้ให้มากที่สุดเพราะต่อจากนี้คงไม่ได้เจอกันบ่อย
ชายหนุ่มหลายคนเสียดายที่อาหารตาแสนสวยกำลังจะออกจากบริษัทแต่ไม่มีใครกล้าเข้ามาพูดคุยด้วยกลัวโดนหางเลขจึงทำได้เพียงมองห่างๆ
เวลาเลิกงานมาถึงและร่างบางก็เก็บของเดินออกจากออฟฟิศโดยมีสายตาหลายคู่มองตามหลากความรู้สึก บ้างก็เสียดายที่คนมากฝีมือต้องออกแต่ความจริงที่หล่อนขายความลับบริษัททำให้เปลี่ยนเป็นเวทนาแทน บางคนกลับยิ้มเยาะสาแก่ใจที่ได้กำจัดเนตรนภาให้พ้นทางเสียที
จะมีก็เพียงปภพที่รู้สึกผิดจนอยากวิ่งไปห้ามไม่ให้ร่างบางออกจากบริษัทแต่ก็จำต้องนั่งอยู่ที่เดิมแล้วกำมือแน่น หวังว่าเธอจะไปมีชีวิตที่ดีกว่านี้..
กลับมาถึงบ้านหล่อนก็จัดการเก็บทุกอย่างที่เกี่ยวกับสงครามทิ้งให้หมด แต่หากจะเผาก็ใจไม่กล้าพอจึงยัดใส่กล่องเอาเข้าไปไว้ในห้องเก็บของ ปิดตายความทรงจำที่มีต่อเขา
“กินข้าวได้แล้วครับ” แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ได้ยินเสียงแว่วของชายหนุ่มดังมาทุกที เมื่อหันไปมองก็พบเพียงความว่างเปล่าจนเธอต้องทรุดลงร้องไห้โดยลำพังไม่มีอ้อมกอดแสนอบอุ่นคอบปลอบปะโลม หล่อนรู้สึกอ้างว้างเหลือเกิน ไม่รู้จะทำอย่างไรถึงจะลืมเขาได้เสียที ต้องใช้เวลานานแค่ไหนหนึ่งสัปดาห์พอไหม หรือหนึ่งเดือน หนึ่งปี สิบปี..บางทีอาจตลอดไป
วันต่อมาเธอได้รับโทรศัพท์จากพี่เขมิกาซึ่งเป็นฝ่ายบุคคลอยู่ที่บริษัทสมุทรธารา สนิทกันเนื่องจากเคยไปรับลูกให้สองถึงสามครั้งเพราะว่างพอดี หญิงสาววางไม้กวาดลงแล้วเดินไปหยิบโทรศัพท์มากดรับสาย
“ค่ะพี่เขม”
‘น้ำพี่มีเรื่องสำคัญจะบอก’ ฟังจากน้ำเสียงแล้วไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่แน่
“เรื่องอะไรพี่” เดินไปนั่งที่โซฟาแล้วหรี่เสียงจากโทรทัศน์ให้เบาลงเพราะกลัวไม่ได้ยินเรื่องสำคัญที่อีกฝ่ายกำลังจะพูด
‘คุณสงครามเขาขึ้นบัญชีดำน้ำ’ รู้สึกเหมือนแขนไร้เรี่ยวแรงทันทีเมื่อฟังจบ เธอเคยคิดว่าบัญชีดำมันไม่มีอยู่จริงเป็นเพียงคำพูดลอยๆ ของประธานบริษัทหรือคนที่อยู่ตำแหน่งสูงไว้ข่มขู่ลูกน้องก็เท่านั้น แต่วันนี้สงครามทำให้มันมีจริง
“ไอ้บัญชีดำมันมีจริงเหรอพี่ แล้วมันสำคัญยังไง”
‘พี่ก็ไม่เคยเห็นใครโดนขึ้นบัญชีดำหรอก แต่มันก็สำคัญนะประมาณว่าถ้าน้ำไปสมัครงานที่ไหนแล้วเขาไล่ดูประวัติทำงานเขาอาจจะไม่รับน่ะ’ สมองเธอเบลอไปหมดเมื่อได้ยินอย่างนั้น เขาไล่ออกไม่พอยังจะปิดกั้นทางทำมาหากินกันอีก
อย่างนี้มันเลวร้ายเกินไปแล้ว ใบหน้าหวานมีน้ำตาคลอทั้งแววตาแดงก่ำด้วยความโกรธแค้น เธอไม่รู้ว่าเขมิกาพูดอะไรอีกเพราะหูดับชั่วขณะจนกระทั่งอีกฝ่ายวางสายไปร่างบางจึงตัดสินใจไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและออกจากบ้านโดยเร็วที่สุด
จุดหมายคือบ้านพิชิตสมุทร!
