บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 8 ผู้หญิงไร้ยางอาย

ภพธรรมและอัมพิกามาถึงมหาวิทยาลัยไม่สายมากนัก ทันทีที่ชายหนุ่มลงมาเปิดประตูรถให้ร่างบางก็เบียดเข้าหาแผงอกกว้างอย่างจงใจพร้อมกับเขย่งปลายเท้าขึ้นจุมพิตที่ข้างแก้มเขาเบาๆ

“รางวัลสำหรับคนขับรถที่น่ารักค่ะ ไว้เจอกันนะคะ” อัมพิกาพูดพร้อมกับแยกไปอีกทางทันที ภพธรรมเองก็ก้าวเดินไปอีกทางทั้งที่สายตายังคงหันไปจับจ้องร่างที่เดินนวยนาดนั้นอยู่ และมันก็เป็นเหตุให้เขาชนกับใครคนหนึ่งเข้าโดยไม่ตั้งใจ

“อุ๊ย...” เสียงร้องที่บ่งบอกว่าคนที่เขาชนเป็นผู้หญิงดังขึ้น ชายหนุ่มรีบหันหน้ากลับมาและฉุดมือของเธอให้ลุกขึ้นทันที

‘ดุจดาว วรเมธากุล’ มองผู้ชายตรงหน้าด้วยความรู้สึกบางอย่าง เขาก้มลงเก็บหนังสือที่ร่วงหล่นจากมือเธอขึ้นมาให้อย่างสุภาพพร้อมกับกล่าวขอโทษ

“ขอโทษนะครับที่ผมไม่ทันระวัง”

“อ่ะ...เอ่อ ไม่เป็นไรค่ะ” ดุจดาวพูดจาติดๆขัดๆ เพราะสายตาและรอยยิ้มของเขามันทำให้เธอหวั่นไหวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผู้ชายตรงหน้าไม่ได้มีแค่ความหล่อเหลาเพียงอย่างเดียว หากแต่แววตาคู่นั้นกลับบ่งบอกถึงความเป็นมิตรและใสซื่อเหลือเกิน

“ถ้ายังไงเดี๋ยวผมเดินไปเป็นเพื่อนนะครับ ยังพอมีเวลาอยู่” ภพธรรมเอ่ยหลังจากก้มลงนาฬิกาเรือนหรูบนข้อมือ ดุจดาวไม่มีโอกาสที่จะปฏิเสธเลยด้วยซ้ำ เพราะเขาเอื้อมมือมาหยิบหนังสือที่เพิ่งส่งคืนให้เธอไปถือไว้เองเสียแล้ว

สายตาทุกคู่ต่างก็พากันจับจ้องไปยังชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาและหญิงสาวที่ดูแล้วจะแสนธรรมดาเดินเคียงคู่กันไป หากแต่ในความคิดของภพธรรมดุจดาวกลับดูสวยมาก ความเรียบง่ายและใบหน้าที่ไม่มีการแต่งแต้มมากมายนักทำให้เธอดูสวยเป็นธรรมชาติ จนหลายคนหลงคิดว่ามันกลายเป็นความธรรมดาไป แต่ถ้าลองได้มาเดินเคียงข้างเธอแบบเขา ภพธรรมเชื่อว่าผู้ชายคนนั้นคงมองเห็นความงามที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความราบเรียบนี้ออกแน่ๆ

อัมพิกาหันมาเห็นดุจดาวกำลังเดินอยู่กับภพธรรม เธอจึงรีบตรงรี่เข้าไปทักทายเพื่อนสาวคนสนิทของตัวเองด้วยความแปลกใจทันที

“ทำไมภพถึงเดินมากับเพื่อนรักของอ้อได้ล่ะคะ รู้จักกันแล้วเหรอ”

“อ้าว คุณเป็นเพื่อนอ้อหรอกเหรอครับ” ภพธรรมหันไปถามหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างกายทันที ดุจดาวส่งยิ้มบางเบาให้เขาแทนคำตอบ ก่อนจะหันไปสบตาคู่สวยของอัมพิกา เพราะเริ่มเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้างแล้ว

ผู้ชายคนนี้คงจะเป็นภพธรรม ภิมุขมนตรี คนที่อัมพิกามักจะเล่าให้เธอฟังถึงความโง่เขลาและหัวอ่อน แต่เท่าที่ดุจดาวประเมินคนร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างกายดูอย่างคร่าวๆแล้ว กลับไม่เห็นว่าเขาจะเป็นอย่างอัมพิกาเล่าเลยสักนิด หากจะใช่ก็คงความเป็นความสุภาพบุรุษและไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมร้ายกาจของเพื่อนเธอเสียมากกว่า

หลังจากที่อาจารย์ประจำวิชาบริหารธุรกิจต่างประเทศชี้แจงให้นักศึกษาทุกคนในห้องเรียนทราบแล้ว อัมพิกาถึงกับถอนใจอย่างเหนื่อยหน่ายทันที วันนี้จะมีการบรรยายพิเศษจากนักธุรกิจต่างประเทศชื่อดังที่จะมาให้รายละเอียดเกี่ยวกับการบริหารธุรกิจ

“เอาล่ะคะ ถ้านักศึกษาทุกคนรับทราบโดยทั่วกันแล้วก็นั่งอยู่ในความสงบนะคะ อาจารย์คิดว่าไม่นานผู้บรรยายคงจะเข้ามา” อาจารย์สาวสูงวัยชี้แจงอีกครั้งพลางยกมือขึ้นขยับกรอบแว่นตา เมื่อได้ยินเสียงตอบรับของบรรดาลูกศิษย์แล้วจึงหอบแฟ้มกองโตออกจากห้องไปทันที ดุจดาวสะกิดไหล่เพื่อนรักเบาๆ เมื่อเห็นอัมพิกาฟุบหน้าลงบนโต๊ะแลคเชอร์สีขาวนิ่ง

“เป็นไรไปอ้อ ไม่สบายหรือเปล่า” น้ำเสียงหวานติดกังวลเอ่ยถาม อัมพิกาจึงเงยหน้าขึ้นด้วยแววตาคล้ายหงุดหงิด

“เปล่าหรอกดาว อ้อเบื่อที่จะต้องฟังบรรยายน่ะ ไม่รู้จะฟังเข้าใจมากแค่ไหน”

“พูดเบาๆหน่อยสิอ้อ เดี๋ยวเขาก็มาได้ยินเข้าหรอก” ดุจดาวท้วงเพื่อนสาว แต่ดูเหมือนอัมพิกาจะไม่ใส่ใจเท่าไหร่นัก ใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยสีสันสราญตาบูดบึ้งเพิ่มขึ้นไปอีก

“ก็มันจริงนี่ดาว คนที่จะมาบรรยายเป็นนักธุรกิจที่มาจากประเทศอเมริกานะ อ้อต้องไม่เข้าใจที่เขาอธิบายแน่ๆเลย น่าเบื่อชะมัด ทำไมอาจารย์ต้องให้ฝรั่งขี้นกพวกนี้มาสอนพวกเราด้วย” ดุจดาวถึงกับอ้าปากค้างไปเมื่อห้ามเพื่อนสาวของเธอเอาไว้ไม่ทัน ตอนนี้ร่างสูงเกินมาตรฐานชายไทยของใครคนหนึ่งปรากฏอยู่ที่ประตูทางเข้าเสียแล้ว

เสียงฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาพร้อมกับหยุดพิจารณาใบหน้าของอัมพิกา ทำให้เธอรู้สึกใจเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ดวงตาวาวโรจน์คู่นั้นดูราบเรียบแต่ทว่ากลับแฝงไปด้วยความน่าเกรงขามอย่างที่สุด คนที่ได้ยินตัวเองถูกเรียกว่า ‘ฝรั่งขี้นก’ กระตุกที่มุมปากเล็กน้อย ก่อนจะก้าวต่อไปยังแท่นบรรยายที่มีดอกไม้หลากสีสันประดับอยู่ เขากล่าวทักทายนักศึกษาเป็นภาษาสากลพร้อมกับส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร นักศึกษาสาวหลายคนเองก็ต่างกระซิบกระซาบกับด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น หากแต่ก็ต้องอยู่ในความสงบอีกครั้งเมื่อเขาตวัดสายตาคมกล้าขึ้นมอง

อัมพิกามองใบหน้าเงียบขรึมนั้นด้วยความรู้สึกประหลาด หัวใจเต้นระรัวจนแทบทะลุออกมานอกอก ยามที่เขาก้มหน้าลงตรวจสคริปในมือทำให้เธอมองเห็นขนตาเป็นแพยาวสลวยของเขาอย่างชัดเจน จมูกโด่งเป็นสันนั้นก็รับกับริมฝีปากหยักลึกอย่างลงตัว ผิวสีแทนและช่วงไหล่ที่กว้างทำให้เขาดูแข็งแรงสมชายชาตรี สูทสีขาวสะอาดนั่นก็ทำให้เขาดูดีเสียจนเธอไม่อยากละสายตา เธอนึกเสียใจจริงๆที่คิดว่าเขาเป็นเพียงฝรั่งขี้นกธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น

อัมพิกามองใบหน้าคมอย่างพินิจและรู้สึกว่าเขาคล้ายใครคนหนึ่งที่เธอรู้จัก แต่ทว่านึกอย่างไรก็นึกไม่ออก ชายหนุ่มยังคงทำหน้าที่ของเขาอย่างสมบูรณ์แบบ ในขณะที่นักศึกษาทุกคนต่างก็ตั้งใจฟังในสิ่งที่เขาบรรยาย น้ำเสียงกังวานทุ้มนั้นช่วยให้การบรรยายในครั้งนี้ไม่น่าเบื่ออย่างที่เธอคิด

“ขอบคุณมากครับที่ตั้งใจฟังผม ต่อไปผมจะอธิบายให้พวกคุณฟังเป็นภาษาไทยนะครับ เผื่อว่าบางคนเขาอาจจะไม่เข้าใจ” ผู้บรรยายหน้าหล่อเอ่ยขึ้นพร้อมกับชายตาขึ้นมองเธอ อัมพิกาถึงกับหน้าซีดเผือดเพราะไม่คิดว่าเขาจะพูดภาษาไทยได้ชัดเจนถึงขนาดนี้

ไม่สิ...เธอไม่คิดว่าเขาจะพูดภาษาไทยได้เลยเสียด้วยซ้ำ

‘ถ้างั้นก็แสดงว่า เขาเข้าใจที่เธอพูดออกไปทั้งหมดเลยน่ะสิ’ อัมพิกาคิดพร้อมกับส่งยิ้มแห้งๆกลับไปให้เขา แต่ดูเหมือนชายหนุ่มร่างสูงคนนั้นกลับไม่ได้ใส่ใจที่จะรับมัน

เขาใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงเต็มบรรยายและถ่ายทอดประสบการณ์ทางธุรกิจของเขาอย่างคุ้มค่า นักศึกษาทุกคนต่างก็พึงพอใจกับเนื้อหาสาระที่ได้รับ น่าแปลกอยู่ที่เขาไม่ได้ใส่ใจที่จะแนะนำตัวหรือคุยโวโอ้อวดถึงชื่อเสียงของตัวเองเลยสักนิด และมันก็คือสิ่งที่อัมพิการู้สึกประทับใจอย่างที่สุด

ชายหนุ่มกล่าวอำลาก่อนที่เหล่านักศึกษาทุกคนจะทยอยออกจากห้องไปเพราะได้เวลาพักกลางวัน ร่างสูงยังคงก้มหน้าก้มตาจัดเรียงเอกสารอย่างใจเย็น ช้อนตาขึ้นมองร่างสมส่วนที่ยังคงนั่งนิ่งที่อยู่ที่เดิมอย่างไม่ใส่ใจ ถ้าอัมพิกาเห็นไม่ผิด เธอรู้สึกได้ว่าเขากำลังมองเธอด้วยแววตาดูหมิ่นอย่างชัดเจน ดุจดาวหน้าเสียแต่ก็รีบดึงมือเพื่อนสาวให้ลุกขึ้น และเป็นจังหวะเดียวกันกับที่เขาก้าวเท้าไปที่ประตูพอดี

“เอ่อ...” อัมพิกาอ้ำอึ้งทั้งที่ตั้งใจว่าจะขอโทษที่พูดจาไม่ให้เกียรติเขา ร่างสูงเผยยิ้มกว้างที่ทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลาย แต่สิ่งที่เขาเอ่ยต่อหลังจากนี้กลับทำให้เธอรู้สึกกดดันเพิ่มอีกเท่าตัว

“หวังว่าคุณคงเข้าใจการบรรยายของผมนะครับ เพราะผมแปลไทยให้อย่างชัดเจนแล้ว” เขาพูดพลางหันหลังกลับ

“อ่อ อีกอย่างผมเป็นคนไทยแท้นะครับ ไม่ใช่ฝรั่งขี้นกอย่างที่คุณว่า” ร่างสูงประเปรียวชะงักฝีเท้าแล้วเอ่ยต่อ คำพูดของเขาทำให้อัมพิการู้สึกราวกับถูกตบหน้าฉาดใหญ่ จากความคิดที่จะขอโทษเปลี่ยนเป็นฉุนเฉียวในทันที

“ผู้ชายอะไร! ไม่หล่อแล้วยังปากจัดอีก” ดุจดาวยิ้มออกมาทันทีที่ได้ยินทำโกหกที่ชัดเจนของเพื่อนสาว เมื่อตอนอยู่ในห้องบรรยาย เธอแอบเห็นอัมพิกานั่งจ้องเขาจนตาแทบจะหลุดออกมาจากเบ้าเสียเลยด้วยซ้ำ

“ไปว่าเขาแบบนั้นได้ยังไงจ๊ะอ้อ ดาวว่าผู้ชายคนนั้นทั้งหล่อ ทั้งเพอร์เฟ็ค แล้วก็เก่งอีกด้วยน้า” น้ำเสียงกระเซ้าของดุจดาวทำให้อัมพิกาเดินหนีออกเพื่อเลี่ยงคำตอบ ดุจดาวยิ้มขันก่อนจะเร่งฝีเท้าตามเพื่อนสาวออกไปทันที

ภายในรถพอร์ชคาเยนน์สีดำสนิท ร่างสูงของคนที่นั่งประจำตำแหน่งคนขับยังคงมองออกไปนอกรถอยู่ตลอดเวลา ร่างระหงที่เดินคลอเคลียมากับภพธรรมของเขาดูไร้ยางอาย จนภูผาแทบอยากลงไปกระชากคอน้องชายตัวดีถามเสียจริงว่าลดตัวลงไปคบกับผู้หญิงแบบนั้นได้ยังไงกัน

อัมพิกาแสดงความสนิทสนมกับภพธรรมมากเกินกว่าที่ภูผาจะยอมรับได้ เมื่อเช้านี้ก็ครั้งหนึ่งแล้ว เขาเห็นเธอจูบแก้มภพธรรมโดยที่ไม่มีความรู้สึกกระดากอายเลยสักนิด สิ่งเดียวที่ดูดีที่สุดสำหรับเธอคงมีแค่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้นกระมัง เขายอมรับว่าเธอเป็นผู้หญิงที่สวยและดึงดูด แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะรู้สึกแบบนั้นกับเธอ ยิ่งเขาเห็นเพื่อนสาวของเจ้าหล่อนเดินตามอยู่ห่างๆ ด้วยสีหน้าราวกับแบกโลกแล้ว มันยิ่งทำให้เขาอึดอัดใจแทนนัก

ภูผากลับมาที่เมืองไทยได้เกือบเดือนแล้ว แต่ยังไม่คิดจะแสดงตัวให้ภพธรรมเห็นในตอนนี้ คำขอร้องก่อนสิ้นลมของมารดาทำให้เขาจำต้องทนเก็บความคิดถึงที่มีต่อน้องชายเอาไว้ ภพธรรมเติบโตเป็นผู้ชายที่เพียบพร้อมอย่างที่เขาคิดเอาไว้ไม่มีผิด ดูอ่อนโยนและคงอ่อนแอไปในเวลาเดียวกัน ต่างจากเขาที่ต้องเผชิญโลกมามาก ไม่ได้มีอ้อมกอดของใครคอยปกป้อง เขาจึงเข้มแข็งกว่าภพธรรมหลายเท่านัก

ในบางครั้งภูผาเองก็อดคิดไม่ได้ว่าความเข้มแข็งของตัวเอง ทำให้เขากลายเป็นคนเย็นชาและแข็งกร้าวขึ้นไปด้วยหรือไม่ แต่ถึงมันจะเป็นอย่างนั้น เขาก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีเพราะมันทำให้เขายืนหยัดอยู่ได้ด้วยตัวเองมาโดยตลอด

รถพอร์ชสีดำสวยแล่นออกจากลานจอดรถไปอย่างรวดเร็ว ความหรูหรานั้นทำให้สายตาทุกคู่จับจ้องที่รถคันงามนั้นอย่างสนใจ อัมพิกาเดาออกในทันทีว่าเป็นเขา

...ผู้ชายปากจัดคนนั้น

ภูผากลับถึงบ้านคอนโดมิเนียมส่วนตัวในตอนใกล้ค่ำเพราะเขามีนัดคุยเรื่องธุรกิจกับลูกค้ารายใหญ่ต่ออีก ชายหนุ่มถอดสูทสีขาวพาดไว้ที่พนักโซฟา ยกมือขึ้นคลายเน็คไทด์สีเดียวกับชุดออกก่อนจะทิ้งตัวลงนอนราบบนโซฟาตัวเดิม มือทั้งสองข้างยกขึ้นก่ายหน้าผากเอาไว้ ความเหนื่อยล้าจากการทำงานทำให้เขาอดนึกถึงมารดาที่จากไปแล้วไม่ได้

ชายหนุ่มหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน คิดถึงตัวต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดด้วยความรู้สึกนิ่งเฉย มันเนิ่นนานเกินกว่าที่เขาจะเจ็บปวดได้อีกแล้ว หนำซ้ำเริ่มชินชากับมันมากขึ้นด้วย จะมีก็เพียงแม่ของชายหนุ่มที่ไม่ได้รู้สึกเช่นเขา เธอทรมานเพราะมันมากขึ้นเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดความเจ็บปวดพวกนั้นก็ได้พรากเธอไปจากเขาตลอดกาล

คนที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘พ่อ’ มักจะปรากฏขึ้นในความคิดของเขาทุกครั้งรู้สึกที่อ่อนล้า เพราะอย่างน้อยมันก็เป็นตัวกระตุ้นทำให้ได้รู้ว่าเขาควรทำทุกอย่างเพื่อแม่ของตัวเอง ถึงแม้ว่าท่านจะยังอยู่กับเขาหรือไม่ก็ตาม

ภูผายังคงจำได้ดีถึงเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อน เสียงทะเลาะของบุพการีทั้งคู่ดังลั่นออกมาจากห้องนอน ทำให้เขาเดินออกมาแนบหูกับประตูความอยากรู้ ส่วนเจ้าน้องชายตัวดีของเขายังคงนอนหลับอยู่บนเตียงโดยที่ไม่ได้ใส่ใจเสียงเหล่านั้นเลย

“ทำไมคุณต้องทำอะไรแบบนี้ด้วยคะปฐพี ทำไมคุณต้องทำลายชาติด้วยการทำธุรกิจผิดกฎหมายแบบนี้ด้วย ทำไม!” คำพูดจาต่อว่าเสียงดังของมารดาทำให้เขาถึงกับอึ้งไป

เขาเรียนระดับมหาวิทยาลัยเข้าปีที่สองแล้ว ต่างจากภพธรรมที่อายุเพียงสิบสี่ปีและเป็นเพียงเด็กนักเรียนมัธยมต้นที่ถูกเลี้ยงอย่างเอาอกเอาใจมาตลอด แล้วทำไมเขาจะไม่เข้าใจความหมายของคำพูดพวกนี้กันเล่า ในเมื่อมันชัดเจนออกจะขนาดนั้น

ฉับพลันประตูห้องนอนมารดาก็เปิดออก ดวงตาของท่านแดงก่ำเพราะร้องไห้ ในมือหิ้วกระเป๋าเดินทางขนาดกลางเอาไว้ ปฐพีเองก็ถลามาดึงข้อมือของภรรยาเอาไว้เช่นกัน

“คุณแม่จะไปไหนครับ”

“แม่คงไม่อยู่ที่นี่สักพักนะลูก ดูแลตัวเองด้วยนะ ตั้งใจเรียนนะภู...อย่าทำให้แม่ผิดหวังล่ะ” คำพูดที่ไม่ต่างจากการอำลาของมารดา ทำให้เขามองหน้าผู้เป็นพ่อด้วยความผิดหวัง

ปฐพีเองก็ทำได้แค่เพียงนิ่งเงียบ เมื่อภรรยาของเขาสะบัดมือหลุดการเกาะกุมเธอก็เดินลงบันไดไปทันที หากแต่กลับต้องชะงักเมื่อได้ยินคำพูดที่ไล่หลังมาของบุตรชายคนโต

“แม่ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอครับที่จะทิ้งผมให้จมอยู่กับความทุกข์...ทั้งที่รู้ว่าพ่อของตัวเองกำลังทำอะไร แม่ยังเห็นผมเป็นลูกชายของแม่อยู่บ้างหรือเปล่า” ภูผาพูดขึ้นทั้งน้ำตา

คำพูดของลูกชายคนโตทำให้หัวใจของคนเป็นแม่แทบสลาย เธอวิ่งเข้ามากอดเขาเอาไว้แน่นก่อนจะร้องไห้อย่างหนัก จากนั้นจึงตัดสินใจพาภูผาจากไปโดยไม่ฟังเหตุผลหลอกลวงของปฐพีอีก ส่วนภพธรรมเองก็ไม่ได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดนี้ คงจะไม่มีแปลกอะไรหากจะทิ้งให้อยู่กับบิดาไปก่อน

ปฐพีบอกกับภพธรรมในตอนเช้าว่าพี่ชายของเขาได้รับทุนไปเรียนที่ต่างประเทศ มารดาจึงตามไปอยู่เป็นเพื่อน ภพธรรมเก็บตัวเงียบและร้องไห้อยู่พักหนึ่งก่อนจะกลับมาร่าเริงอีกครั้งเมื่อภูผาและมารดาโทรหาเขาบ่อยขึ้น

ปฐพีให้ทุกอย่างที่ภพธรรมต้องการเพื่อทดแทนความรักของแม่ ในขณะที่บทเรียนใหญ่ในครั้งนี้ก็ทำให้ปฐพีวางมือจากธุรกิจเถื่อนทุกอย่างทันที ใช้ชีวิตอยู่เพื่อรอการกลับมาของลูกชายและภรรยาที่เขารักมากไปวันๆ ทั้งที่รู้ว่าความหวังนั้นมีน้อยเหลือเกินก็ตาม

ภูผาสะดุ้งตื่นจากภวังค์แห่งอดีตนั้นทันทีที่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ขนาดกะทัดรัดที่วางอยู่บนโต๊ะรับแขกมาถือไว้ แต่เมื่อเห็นว่าเบอร์ที่โทรเข้ามานั้นไม่คุ้นเคย เขาจึงกดตัดสายและปิดเครื่องทันที จากนั้นก็ลุกขึ้นบิดขี้เกียจก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป ความคิดในตอนนี้ยังคงรู้สึกไม่พอใจใครบางคนอยู่เช่นเดิม

“เธอนี่กวนใจฉันซะจริงเลย แม่ผู้หญิงไร้ยางอาย” ภูผาสบถเบาๆ พลางจัดการร่างกายที่อ่อนล้าของตัวเองให้ผ่อนคลายมากขึ้น หัวสมองยังคงวกไปเวียนมาอยู่แต่เรื่องเดิมตลอด

ถ้าผู้หญิงคนนั้นจะมาเป็นว่าที่สะใภ้คนเล็กของภิมุขมนตรีเข้าจริงๆ...เขาจะทำตัวยังไงดีนะ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel