ตอนที่ 7 พิษรักแรงหึง
เสียงเคาะประตูเบาๆ เรียกให้หญิงสาวที่กำลังนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงหันไปมองว่าผู้ที่กำลังจะเข้ามาเยือนนั้นคือใคร แต่แล้วก็ต้องทอดถอนใจอีกครั้งเมื่อเห็นว่าคนคนนั้นคือเพทาย ชายหนุ่มชำเลืองสายตามองร่างที่กำลังขยับตัวลงนอนราบบนเตียง รู้ดีว่าเธอคงไม่พร้อมที่จะเห็นหน้าเขาสักเท่าไหร่นัก
“เป็นไงบ้างอ้อ ดีขึ้นหรือยัง”
หลังมืออบอุ่นแตะลงบนหน้าผากเกลี้ยงเกลาเพื่อวัดอุณหภูมิ ก่อนจะชักมือกลับด้วยสีหน้าพึงพอใจเมื่อพบว่าหญิงสาวเกือบจะเป็นปกติดีอยู่แล้ว อาการพลิกตัวนอนหันหลังให้ของเธอทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจนัก และก็เข้าใจดีว่ามีสาเหตุมาจากสิ่งใด
เพทายถอนใจหายหนักหน่วง คิดว่าหากไม่พบหน้ากันสักพักอาจทำให้อัมพิกาเย็นลงได้บ้าง การที่เธอประชดประชันเขาด้วยการนอนตากน้ำค้างทั้งที่อากาศเย็นแบบนั้น มันก็ทำให้ทุกอย่างดูยากขึ้นไปอีกเท่าตัวเสียแล้ว ในตอนนี้คำพูดที่ตั้งใจจะพูดออกมาก็ถูกกลืนกลับลงไปจนหมดแล้วด้วย
ความจริงแล้วเพทายเป็นฝ่ายเข้าใจผิดคิดไปเองว่าการกระทำของอัมพิกาเกิดจากความจงใจ มันเป็นเพียงการบังเอิญเท่านั้นเอง แต่ที่อัมพิกาไม่ได้คิดจะแก้ตัวก็เพราะว่ามันอาจจะส่งผลดีกับเธอ
“พี่เพชร...” เสียงเรียกคุ้นเคยทำให้มือที่กำลังจะคว้าลูกบิดประตูชะงักลง หยุดฝีเท้านิ่งพร้อมกับหันมาสบตาคนที่ตนรักอย่างจริงจัง อัมพิกาลุกขึ้นมายืนอยู่ข้างหลังเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
“พี่จะเดินจากไปทั้งๆที่ยังไม่ให้คำตอบอ้องั้นหรือคะ” รอยยิ้มอบอุ่นปรากฏบนใบหน้าคมเข้มอีกครั้ง สิ่งที่เขาคาดเดาเอาไว้ไม่ผิดเลยสักนิด เพทายทิ้งร่างสูงของตัวเองลงบนเก้าอี้อย่างเหนื่อยอ่อน
“พี่เพชร จะเงียบอยู่ทำไมล่ะ หรือว่าเลือกที่จะหันหลังให้อ้อ...ไม่รักอ้อแล้วใช่ไหม” น้ำเสียงที่เคยแว่วหวานฟังระรื่นหู ถูกแทนที่ด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างอย่างที่น้อยคนนักจะมีโอกาสได้ยิน
“พี่ไม่เคยคิดแบบนั้นนะ ถึงพี่จะรักอ้อมาก แต่คงยอมรับเรื่องแบบนี้ไม่ได้หรอก การทำลายคนดีๆแบบนั้นมันโหดร้ายเกินไป”
“แค่นี้มันโหดร้ายแล้วเหรอคะ แล้วที่มันทำกับพ่ออ้อเรียกว่าอะไรล่ะคะพี่เพชร ที่อ้อไม่เอาปืนไปยิงแสกกลางหน้าพวกมันก็นับว่าใจกว้างมากสักเท่าไหร่แล้ว!” อัมพิกาตวาดลั่น
วินาทีนี้เองที่ทำให้เพทายเริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าอัมพิกาคนเดิมของเขานั้นไม่มีอยู่บนโลกนี้อีกแล้ว ตรงหน้าเขาในตอนนี้มีเพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่พร้อมจะเผาทุกอย่างตรงหน้าให้กลายเป็นผงธุลีด้วยไฟแห่งความเคียดแค้นชิงชังเท่านั้น
ร่างสูงลุกขึ้นอีกครั้ง ทอดสายตาว่างเปล่าไปยังหญิงสาว ร่างบางสั่นเทิ้มเพราะความโกรธ แววตาอาฆาตนั้นก็ทำให้เขาเองยังนึกขยาด มือที่เขาเคยกอบกุมให้กำลังใจยามเธอเหนื่อยล้าตอนนี้มันกำแน่นเข้าหากันอย่างไม่ต้องการที่พึ่งพาอีกแล้ว ริมฝีปากที่ช่างเจรจาเอาใจนั่นก็ถูกเม้มเป็นเส้นตรงด้วยเช่นกัน เพทายสูดลมหายใจแรงๆ ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังประตูห้องนอน หากแต่พอขยับได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดลงอีกครั้ง
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ กลับมาพูดกันให้รู้เรื่องก่อนสิ”
“เราคงไม่มีอะไรที่จะต้องพูดกันตอนนี้หรอก แต่รู้เอาไว้อย่างนะอ้อ ชีวิตของพี่ผ่านอะไรมาเยอะ ทำความชั่วมาก็มาก แต่ในเมื่อพี่คิดที่จะเป็นคนดีแล้ว พี่ก็ไม่มีทางกลับไปชั่วได้อีก แล้วที่สำคัญไม่ว่าอ้อจะทำอะไรพี่ก็จะขัดขวางทุกอย่าง...ถ้ามันเป็นการทำร้ายคนบริสุทธิ์” สิ้นคำพูดของเขา เสียงกรีดร้องด้วยความไม่พอใจก็ดังเสริมขึ้นทันที อัมพิกาทำได้แค่ยืนกระทืบเท้าเร่าๆอยู่ตรงนั้น เพราะร่างสูงเดินจากไปโดยไม่สนใจคำทัดทานของเธอเลยสักนิด
“กลับมานะพี่เพชร กลับมา พี่ต้องช่วยอ้อสิ พี่ต้องอยู่ข้างอ้อ” อัมพิกาทรุดฮวบลงบนพื้นห้อง ร้องไห้ออกมาสุดเสียงอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน แม้เพทายจะสะเทือนใจมากสักเท่าไห่รแต่ก็ไม่อาจปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามทางเดิมอีกแล้ว ชายหนุ่มยืนพิงประตูห้องนอนนิ่ง ปล่อยให้น้ำตาของลูกผู้ชายให้ไหลรินออกมาอย่างเงียบๆ
ความแค้น...คำคำนี้จุดจบของมันคืออะไรทุกคนต่างรู้ดี แล้วเขาจะปล่อยให้คนที่ตัวเองรักตกอยู่ในสภาพนั้นได้อย่างไร หากจะต้องสูญเสียอัมพิกาไปก็นับว่าเป็นสิ่งที่คุ้มค่า เพราะอย่างน้อยเขาก็ภูมิใจที่ได้รักเธอและช่วยให้เธอไม่ต้องเจ็บปวดอยู่กับการกระทำของตัวเองในวันข้างหน้า
เพทายตัดสินใจผละจากมาโดยไม่ยอมหันหลังกลับไปอีก หากเขาต้องเห็นน้ำตาและความเจ็บปวดในดวงตาคู่นั้น มันอาจทำให้เขาลืมความผิดชอบชั่วดีไปจนหมดก็ได้....
ลิปสติกที่แดงสดถูกวาดลงบนเรียวปากอิ่มอย่างบรรจงเป็นขั้นสุดท้าย ตอนนี้ใบหน้าสวยคมถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางชั้นดีจนดูโฉบเฉี่ยว ชุดเกาะอกสีแดงสดเพลิงช่วยเปลี่ยนสาวสวยใสให้กลายเป็นร้อนแรงได้อย่างไม่น่าเชื่อ เธอหยิบน้ำหอมราคาแพงขึ้นมาฉีดเพื่อเพิ่มเสน่ห์น่าหลงใหล อัมพิกาพินิจดูเรือนร่างสมส่วนในกระจกอีกครั้ง พร้อมกับยิ้มพรายอย่างนึกชื่นชมในรูปลักษณ์ใหม่ของตัวเอง
อัมพิกาชำเลืองมองนาฬิกาบนโต๊ะหัวเตียงอีกครั้ง และเมื่อเห็นว่าใกล้ถึงเวลานัดหมายแล้วจึงรีบลงมาข้างล่าง ทันทีที่สุดาได้เห็นนายสาวก็ถึงกับอึ้งไป แววตา ท่าทาง รวมไปถึงการแต่งตัวของเธอเปลี่ยนไปอย่างน่ากลัว
“สุดา คุณพ่อจะกลับมาเมื่อไหร่” หญิงสาวถามขึ้นพลางทรุดนั่งบนโซฟาเพื่อใส่รองเท้าส้นสูงสีเดียวกันกับชุด สุดากลืนน้ำลายฝืดๆลงคอไปอย่างยากเย็น
“เอ่อ...คุณท่านบอกว่าคงกลับอาทิตย์หน้าค่ะ พอดีมีประชุมใหญ่”
“ดีแล้ว ถ้าคุณพ่อโทรมาหาฉัน บอกว่าหลับไปแล้วนะ” ร่างเพรียวระหงพูดก่อนจะลุกขึ้นยืนหมุนตัวไปมาเพื่อสำรวจตัวเอง ซึ่งสุดาเองมีความเห็นว่ามันดูดีจนไม่อาจดูดีได้มากกว่านี้อีกแล้ว เพียงแต่มันแค่แปลกตาและอันตรายเกินไปสำหรับการออกไปไหนตอนกลางคืนแบบนี้
“คุณอ้อจะออกไปไหนคะ นี่ใกล้จะสี่ทุ่มแล้วนะคะ” สุดาซักอย่างห่วงใย
“ฉันดูนาฬิกาเป็นนะสุดา เธอไม่ได้มีหน้าที่มาถามฉัน แค่ทำตามที่สั่งก็พอ” อัมพิกาย้ำเตือนสถานะของหญิงสาวอีกคนอย่างชัดเจน สุดาเองก็ทำได้แต่ยืนมองตามร่างบางที่ก้าวฉับๆจากไปจนลับตาเท่านั้น แต่ทันทีที่เสียงรถดังกระหึ่มแล่นออกจากรั้วบ้านไป เธอจึงรีบต่อโทรศัพท์ถึงชายหนุ่มอีกคนทันทีอย่างรู้งาน
แต่ทว่า...เขาปิดมือถือ!
ภาพชายหญิงคู่หนึ่งกำลังเดินควงแขนด้วยท่าทางสนิทสนมเข้ามาในไนต์คลับทำให้ชายหนุ่มที่กำลังจะยกแก้วที่มีน้ำสีอำพันบรรจุอยู่เข้าปากถึงกับชะงัก เขาลดแก้วในมือลงวางไว้ที่เดิม กำหมัดทั้งสองแน่นเข้าหาด้วยแรงอารมณ์ที่หลากหลาย แทบจะนั่งไม่ติดเก้าอี้เมื่อเห็นว่าร่างเย้ายวนในชุดเกาะอกสีแดงกำลังยกแขนขึ้นโอบรอบคอของผู้ชายคนนั้นอย่างยั่วยวน
อัมพิกาเล่นแผนต่อไปได้รวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ เมื่อตอนช่วงบ่ายเธอยังไม่สบายอยู่แท้ๆ แต่ตอนนี้กลับมาเริงร่าอยู่กับผู้ชายที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานได้เสียแล้ว การแต่งตัวที่โชว์เนื้อหนังมังสาเกินพอดีนั้นทำให้เพทายนึกผิดหวังแทนผู้กำกับสมเกียรติกับร้อยตำรวจเอกสุทินเสียจริงๆ
เพทายหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงยีนส์ตัวเก่งก่อนจะกดปุ่มเปิดเครื่อง เขาลุกขึ้นและตรงไปหามุมเงียบๆเพื่อคุยเจรจาบางอย่างกับ ‘คนสำคัญ’
“ว่าไงเพชร”
“พ่อเลี้ยงครับ ผมมีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย” เพทายเอ่ยเสียงเข้มทันทีที่ปลายสายพูดขึ้นก่อน เขายังคงชำเลืองมองหญิงสาวอยู่ไม่ยอมให้คลาดสายตา
“มีอะไรว่ามาสิ ฉันกำลังยุ่งอยู่นะ” ปฐพีตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ปากกาในมือหยุดลงเพื่อรอฟังธุระที่คิดว่าคงสำคัญมาก เพราะถ้าไม่อย่างนั้นเพทายไม่โทรหาเขาในเวลาแบบนี้
เพทายถอนหายใจอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง หากเล่าทุกอย่างให้ปฐพีฟังแล้วจะมั่นใจได้แค่ไหนว่าอัมพิกาจะปลอดภัย ถึงปฐพีจะวางมือทุกอย่างแล้ว แต่ความกังวลเรื่องนี้ทำให้เขาต้องคิดหนักอีกครั้ง ได้แต่หวังในใจว่าเขาคงมีทางเลือกที่ดีกว่านี้
“อ้าวเพชร ตกลงมีอะไรกันแน่ ถ้าไม่มีฉันจะได้เคลียร์งานต่อ” เสียงเร่งเร้าทำให้เพทายจำต้องตัดสินใจ ไม่ว่าผลที่ตามมาจะเป็นไปในรูปแบบไหน เขาก็จะเคียงข้างอัมพิกาเสมอ
“ครับๆ คือว่าตอนนี้คุณภพธรรมกำลังอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง และเท่าที่ผมแอบตามสืบดู ผู้หญิงคนนั้นกำลังจะคิดทำร้ายคุณภพ”
“แกเมาหรือเปล่าวะเพชร ผู้หญิงคนเดียวจะมาทำอะไรเจ้าภพได้ คิดมากน่า” น้ำเสียงขบขันลอยกระทบโสตประสาท ทำให้เพทายกระตุกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อ
“พ่อเลี้ยงยังจะหัวเราะได้อีกหรือเปล่าล่ะครับ ถ้ารู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นลูกสาวคนเดียวของร้อยตำรวจเอกสุทิน” ย์
“แกว่าไงนะ” ปฐพีถามซ้ำอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง เพทายยิ้มเย็นก่อนจะเอ่ยต่อ
“พ่อเลี้ยงได้ยินไม่ผิดหรอกครับ”
“ช่างมันเพชร ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเด็กคนนั้นจะทำอะไรต่อไป” ชายสูงวัยตอบอย่างเกรี้ยวกราดพร้อมกับกดวางสายไปทันที
เหตุการณ์ในเมื่อครั้งอดีตจองจำปฐพีให้อยู่ในความรู้สึกผิดบาปมาตลอด แต่ถ้ามันยังไม่สาสมกับความผิดที่ก่อเอาไว้ เขาเองก็ยินดีที่จะเดินเข้าไปรับการลงโทษจากหญิงสาวด้วยตัวเอง เพียงแต่เธอไม่ควรดึงคนที่ไม่รู้เรื่องอย่างภพธรรมเข้ามาเกี่ยวด้วย และเขาเองก็ไม่มีทางยอมให้เป็นแบบนั้นได้แน่ๆ เพราะการสูญเสียลูกชายอีกคนไปทั้งที่ยังมีชีวิต มันก็เจ็บปวดใจเหลือจะทนแล้ว
เพทายถึงกับหัวเสียอย่างหนักเมื่อปฐพีตัดสายทิ้งไป เขาเดินกลับไปนั่งยังเก้าอี้ตัวเดิมอีกครั้งอย่างฉุนเฉียว รู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่ปฐพีทำราวกับไม่ได้เป็นห่วงภพธรรม ทั้งที่อัมพิกากำลังล้อเล่นอยู่กับความรู้สึกของลูกชายตัวเองแท้ๆ แต่คนเป็นพ่อกลับพูดได้แค่คำว่า ‘ช่างมัน’ น่ะหรือ
ในขณะที่เพทายกำลังนั่งกุมขมับด้วยอาการคิดหนัก สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นว่าภพธรรมเดินตรงไปทางห้องน้ำ เขาคิดว่านี่คงเป็นโอกาสที่ดีที่สุดแล้ว ชายหนุ่มจึงหยิบธนบัตรสีเทาออกมาวางบนโต๊ะแล้วรีบตรงไปยังที่ที่ร่างบางนั่งอยู่คนเดียวทันที
ในเมื่ออัมพิกาไม่รักตัวเอง...เขาก็จะจัดการกับเธอขั้นเด็ดขาดเสียที
“โอ๊ย” อัมพิการ้องออกมาเมื่อมือที่แข็งปากคีมคีบเหล็กบีบเข้าที่ต้นแขน หญิงสาวรีบเงยใบหน้าเหยเกขึ้นมองผู้รุกรานทันที และแทนที่เธอจะกลัวหรือตกใจที่เห็นเขา กลับกลายเป็นปรับสีหน้าให้เรียบเฉยอย่างไม่น่าเชื่อ และมันก็เหมือนเป็นการกระตุ้นให้เพทายบีบแขนเธอแน่นขึ้นอีก
“โอ๊ย ปล่อยนะคะพี่เพชร อ้อเจ็บนะ” อัมพิกาเอ่ยพร้อมกับพยายามแกะมือของเขาออก นึกภาวนาให้ภพธรรมรีบออกมาจากห้องน้ำเร็วๆ เพราะในเวลานี้เพทายดูน่ากลัวเหลือเกิน แววตาที่แสนรักและอบอุ่นคู่นั้นไม่มีอีกแล้ว
เพทายกระชากร่างบางเข้ามากอดแนบอก พนักงานเสิร์ฟที่บังเอิญเห็นเหตุการณ์คิดจะเข้ามาห้าม หากแต่ก็ต้องรีบถอยหลังกลับไปทันทีเมื่อเขาดึงวัตถุสีดำมะเมื่อมออกมาจากเอวกางเกง ทุกคนในไนต์คลับต่างโกลาหลและทยอยออกจากร้านไปจนหมด
เพทายผลักหญิงสาวออกห่างตัวเอง แล้วเปลี่ยนไปพันธนาการข้อมือของเธอเอาไว้แทน อัมพิกาซอยเท้าถี่อย่างรวดเร็วเพราะเพทายกำลังกึ่งลากกึ่งจูงเธอไปที่รถของเขา แม้หญิงสาวจะด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคายที่ไม่เคยหลุดออกจากริมฝีปากถึงขนาดไหน แต่คนร่างสูงก็ไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด
“ปล่อยนะ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้!” เธอตวาดลั่น หากแต่เขายิ้มยั่ว
“ปล่อยแน่อ้อ แต่พี่จะปล่อยอ้อในที่ที่เหมาะสมเท่านั้นนะ” เพทายพูดพลางดันร่างบางให้เข้าไปนั่งในรถได้สำเร็จ
“แล้วอย่าหนีลงมาอีกนะ ถ้าไม่อย่างนั้นพี่จะจัดการอย่างที่อ้อคาดไม่ถึงเลยล่ะ” อัมพิกาแทบหยุดหายใจเพราะคำพูดของเขา น้ำเสียงจริงจังและแววตาคู่นั้นไม่ได้บอกว่ากำลังล้อเล่น เพทายเข้าไปประจำที่นั่งคนขับก่อนจะกระชากรถออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่สนใจคนข้างๆที่นั่งเกร็งตัวแข็งเลยสักนิด
เพียงครู่เดียวบ้านของเพทายก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าอัมพิกาเสียแล้ว เธอคิดว่าเขาจะจับเธอกลับไปส่งที่บ้านตามเคยแต่ก็ผิดคาด อัมพิกาหันหน้าไปมองเขาอย่างไม่เข้าใจหากแต่เพทายกลับนั่งนิ่ง ไม่หันมามองเธอหรือเอ่ยอะไรสักคำเพื่อให้ความกระจ่าง
อัมพิการู้สึกถึงเค้าความผิดปกติ จึงรีบเปิดประตูรถแล้ววิ่งหนีออกไปอย่างไร้จุดหมายทันที แต่มีหรือที่จะเร็วไปกว่าอดีตมือสังหารอย่างเพทาย เขาวิ่งตามเธอไปเพียงกี่ก้าวก็สามารถช้อนร่างบางไว้ในอ้อมแขนได้สำเร็จ
“กลัวพี่ขนาดนั้นเชียวหรือ” เสียงที่เย็นยะเยือกนั้นทำให้อัมพิการู้ดีว่าเพทายกำลังโกรธเธอมาก และตอนนี้ความโกรธของเขากำลังกลับกลายเป็นความรู้สึกด้านชาไปเสียแล้ว
“พี่เพชร ปล่อยอ้อนะ พี่ไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้” กำปั้นเล็กๆรัวบนแผงอกกำยำของเขาพร้อมกับสาดคำพูดต่างๆนาๆที่ล้วนแล้วแต่มีผลโดยตรงต่อจิตใจของเขา
“ไม่มีสิทธ์เหรอ ใช่สิ เพราะแบบนี้ไงพี่ถึงได้คิดที่จะทำให้ตัวเองมีสิทธิ์” เจ้าของน้ำเสียงเกรี้ยวกราดพูดขึ้นพร้อมกับพาเธอมุ่งหน้าไปที่บ้านหลังเล็กกะทัดรัดของเขา เพราะจุดหมายสุดท้ายของเพทายก็คือเตียงที่มีเธอกับเขานอนอยู่ด้วยกัน!
ร่างของอัมพิกาถูกโยนลงบนเตียงอย่างไม่ปราณีก่อนที่เพทายจะทาบทับร่างกำยำของเขาลงแนบร่างบางอย่างรวดเร็ว ตอนนี้โทสะที่มีเกินจะควบคุมได้อีกแล้ว อัมพิการักที่จะเห็นเขาเป็นคนเลว เขาก็จะเลวให้ถึงที่สุด แม้ว่าจะเจ็บปวดกับการกระทำของตัวเองในภายหลังหรือไม่ก็ตาม
“พี่เพชร ปล่อยอ้อนะ ปล่อย!” อัมพิการ้องตะโกนสุดเสียง หากแต่ใบหน้าคมคร้ามก็ยังคงซุกไซร้อยู่ตรงลำคอขาวผ่องไม่ยอมห่าง หญิงสาวดิ้นรนจนร่างกายเริ่มล้า แต่ทว่าก็ไม่ทำให้คนที่คร่อมอยู่เหนือตัวเธอสะทกสะท้านได้ น้ำตาแห่งความผิดหวังและเสียใจหลั่งไหลพรั่งพรูออกมาอย่างไม่อาจอัดอั้นได้อีก
“ปล่อยอ้อเถอะพี่เพชร เราเดินคนละเส้นทางกันแล้ว พี่อย่าทำแบบนี้เลย” น้ำเสียงขาดห้วงเพราะการร้องไห้ทำให้เพทายชะงักก่อนจะเงยหน้าขึ้นมอง
“อย่าห่วงเลยอ้อ หลังจากคืนนี้ไปพี่จะยอมเดินไปตามทางเดียวกับอ้อ...ไม่ดีเหรอ” คำพูดของชายหนุ่ม ทำให้อัมพิกาทั้งมีหวังและหมดหวังไปพร้อมๆกัน ที่เขาพูดนั้นหมายความว่าจะยังคงทำสิ่งที่ตั้งใจไว้ต่อไป แต่หลังจากคืนนี้ไปเพทายจะยอมอยู่ข้างเธอ และเธอเองก็รู้ดีว่าเพทายมีประโยชน์กับเรื่องนี้มากแค่ไหน
‘ไม่มีอะไรที่จะต้องลังเลอีกแล้วล่ะอัมพิกา เธอมีชีวิตอยู่ได้เพราะความแค้นไม่ใช่หรือ’
อัมพิกาตรึกตรองจนตัดสินใจได้ในที่สุด ปฏิกิริยาที่ผลักไสเขาอยู่ก่อนหน้านี้แปรเปลี่ยนยกแขนเรียวโอบรอบลำคอทันที หญิงสาวโน้มใบหน้าคมเข้ามาใกล้ก่อนจะเป็นฝ่ายเริ่มจุมพิตอย่างดูดดื่ม เพทายจะกำลังคิดอะไรอยู่ในตอนนี้เธอไม่อยากรับรู้ ขอเพียงมีเขาช่วยทำลายครอบครัวภิมุขมนตรีให้ย่อยยับก็เพียงพอแล้ว
เพทายจัดการเปลื้องเสื้อผ้าของอัมพิกาอย่างนุ่มนวลที่สุด เช่นเดียวกับที่เธอเองก็ยกมือขึ้นปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของเขาออกทีละเม็ด แล้วเลื่อนมือต่ำลงไปสาละวนอยู่ที่ขอบกางเกงยีนส์ของเขาต่อ เพียงไม่นานร่างของทั้งคู่ก็เปล่าเปลือยอยู่ในความมืด
เขาเคลื่อนตัวขึ้นประทับริมฝีปากได้รูปของตัวเองเข้ากับเรียวปากอิ่มของเธออีกครั้ง ก่อนจะเลื่อนผ้าห่มผืนใหญ่ขึ้นคลุมกายให้หญิงสาว ดีดตัวลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วพร้อมกับเดินไปคว้าเสื้อคลุมมาสวมไว้ลวกๆโดยไม่พูดไม่จา อัมพิกามองตามร่างที่ผละลุกขึ้นตรงไปเข้าห้องน้ำด้วยความไม่เข้าใจ
“พี่เพชร” หญิงสาวร้องเรียกหากแต่ไม่มีเสียงตอบกลับจากเขา เธอคว้าเสื้อผ้าที่วางอยู่ข้างเตียงขึ้นมาสวมอย่างอ้อยอิ่ง การที่เพทายเลือกที่จะไม่แตะต้องเธอมันจะหมายความว่าเขาจะไม่ช่วยเธอด้วยหรือเปล่านะ
ร่างสูงก้าวลงไปนอนในอ่างอาบน้ำนิ่ง ปิดเปลือกตาลงอย่างหักห้าม ความเย็นของน้ำทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายได้อย่างประหลาด เมื่อครู่เพทายคิดว่าตัวเองจะไม่ยอมหยุดเสียแล้ว ต้องขอบคุณอำนาจของความรักที่บริสุทธิ์จริงๆ ที่ทำให้เขาไม่อาจเอาเปรียบเธอได้ด้วยวิธีสกปรกแบบนั้น...เสียงของประตูที่เปิดและปิดลง ทำให้เพทายรู้ว่าหญิงสาวกลับออกไปแล้ว...
“ดูแลตัวเองด้วยนะอ้อ จากนี้ไปเราคงไม่ได้พบกันอีก” เพทายบอกกับตัวเองเบาๆ พร้อมกับรีบจัดการอาบน้ำให้เสร็จโดยเร็วที่สุด
เขาต้องไปจากที่นี่...ต้องไปหลบเลียแผลใจของตัวเองสักพัก หรืออาจจะตลอดไปเลยก็ได้
อัมพิกาพยายามต่อโทรศัพท์หาเพทายหลายครั้งหากแต่เขากลับไม่ยอมรับสาย เมื่อไร้หนทางแล้วเจ้าของร่างบางจึงตัดสินใจทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างเหนื่อยอ่อน อดไม่ได้ที่จะนึกถึงสัมผัสที่เพิ่งได้รับมา
ถ้าหากเพทายไม่หยุดเพียงแค่นั้นเธอก็ไม่อยากจะคิดเลยว่าตัวเองจะรู้สึกผิดบาปมากแค่ไหน เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอคิดกับเขาเพียงแค่พี่ชายคนหนึ่งเท่านั้น แม้ว่าจะลองพยายามทำใจให้รักเพทายในฐานะอื่นหลายครั้ง แต่ทว่าก็ไม่สำเร็จ
การที่เพทายดูแลเอาใจใส่เธอมากเป็นพิเศษ มันทำให้อัมพิกาสนิทกับเขาในแบบของพี่ชายกับน้องสาวมากกว่าในแบบของคนรัก หญิงสาวยอมรับว่าเธอทำไม่ถูก เพราะการเก็บเงียบความรู้สึกแท้จริงเอาไว้ทำให้เพทายคิดกับเธอเกินไปกว่าพี่น้อง แต่จะให้ทำยังไงได้เล่า จะให้เธอจะบอกเขาไปแล้วเฝ้ามองความเจ็บปวดที่ตัวเองเป็นคนก่ออย่างภูมิใจหรือ
เสียงโทรศัพท์ที่กรีดร้องทำลายความเงียบขึ้นเรียกหญิงสาวให้ตื่นจากภวังค์แห่งความคิด อัมพิการู้สึกเบื่อหน่ายมากขึ้นอีกเมื่อเห็นว่าบุคคลที่รอสายอยู่นั้นเป็นใคร แต่ก็จำเป็นต้องกดรับอย่างไม่มีทางเลือก
“ว่าไงคะที่รัก” คนที่เป็นฝ่ายโทรมาถึงกับอ้าปากค้างอย่างตกใจ แต่หนักไปทางดีใจเสียมากกว่า
“อ่ะ...เอ่อ” ภพธรรมถึงกับใบ้กินทันที คำพูดที่ตั้งใจจะเอ่ยออกมาถูกกลืนหายไปจนหมด ความโกรธที่อัมพิกาทิ้งเขาไว้ที่ร้านเพียงลำพังก็เริ่มลดน้อยลงไปทีละนิดจนแทบไม่เหลือ
“ภพกำลังโกรธอ้ออยู่ใช่ไหมคะ เรื่องวันนี้อ้ออธิบายได้นะคะ คือว่า...”
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมไม่โกรธอ้อหรอก” น้ำเสียงรู้สึกผิดเงียบไปเมื่อภพธรรมชิงตัดบทเสียก่อน
อัมพิกายิ้มเย้ยหยันให้โดยที่เขาไม่มีโอกาสได้เห็น ไม่ว่าจะยุคไหนหรือเมื่อไหร่ มารยาร้อยเล่มเกวียนของผู้หญิงก็ยังคงใช้ได้อยู่เสมอ ดูเหมือนจะใช้ได้ดีกับภพธรรมเสียด้วย
“ถ้าภพไม่โกรธอ้อ พรุ่งนี้มารับอ้อไปมหาวิทยาลัยด้วยจะได้ไหมคะ”
“ยินดีครับ ยังไงเราก็เรียนที่เดียวกันอยู่แล้ว อีกอย่างผมเองก็อยากจะทำหน้าที่นี้ทุกวันเลยซะด้วยซ้ำ อ้อคงไม่ขัดข้องใช่ไหม” ภพธรรมเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ติดออกจะเกรงใจ หากแต่ก็ต้องเผยยิ้มกว้างเมื่ออัมพิกาตอบตกลง เธอขอตัววางสายไปโดยไม่ลืมหยอดคำหวานระรื่นหูทิ้งไว้ให้เขา เล่นเอาชายหนุ่มถึงยิ้มแก้มแทบปริเลยทีเดียว
ภพธรรมเดินขึ้นชั้นบนไปด้วยรอยยิ้ม ไม่ทันได้สังเกตเลยสักนิดว่าผู้เป็นบิดามีสีหน้าหนักใจมากเพียงใด ปฐพีถอนหายใจหนักหน่วงอีกครั้ง ก่อนจะกลับเข้าไปยังห้องทำงานด้านล่างเช่นเดิม
‘ตอนนี้อะไรก็หยุดภพธรรมไม่ได้แล้วสินะ’
