บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 6 บทเรียนและข้อสงสัย

อัมพิกายังคงนอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง ไม่ว่าจะพยายามข่มตาให้หลับเพียงใดก็ไม่สำเร็จ เธอตัดสินใจเปิดประตูกระจกบานใหญ่ออกไปยืนรับลมที่ระเบียง ดวงจันทร์สาดแสงที่เหลืองนวลเข้ากระทบใบหน้า พลอยทำให้ดวงตากลมโตฉายแสงสีเหลืองเรืองรองตามไปด้วย สายลมแผ่วเบาปะทะผิวเนื้อนวลสร้างความผ่อนคลาย หญิงสาวสูดอากาศเย็นสบายเข้าไปเฮือกใหญ่ ความรู้สึกปลอดโปร่งทำให้สมองเริ่มทำงานได้อีก

ชีวิตของเธอดำเนินมาอย่างมีความสุขมาตลอดเวลาเก้าปี...ใช่ มันควรจะเป็นอย่างนั้น และทุกคนรอบกายเธอก็คิดเช่นนั้น หากแต่จะมีสักกี่คนกันที่จะเข้าใจถึงการสูญเสียที่เธอต้องเผชิญ และสิ่งที่เธอต้องการมากที่สุดก็คืออ้อมกอดอบอุ่นของบิดา จริงอยู่ที่ทุกคนพยายามจะให้สิ่งนี้กับเธอ แต่ทว่ามันกลับทำให้เธอเจ็บปวดและโหยหามากขึ้น ในสายตาของใครหลายคนนั้นมีเพียงความสงสารเท่านั้น มันต่างจากแววตาคู่นั้นของผู้เป็นพ่อที่เปี่ยมไปด้วยความรัก และความห่วงใยอย่างมากล้น

เธอต้องเจ็บปวดรวดร้าวกับฝันร้ายที่คอยตามหลอกหลอน ทุกครั้งที่หลับตาลงก็มักจะเห็นแต่ภาพที่พ่อของตัวเองถูกยิงตาย และเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมา เธอก็จะนึกถึงแต่เพียงแววตาโหดเหี้ยมและอำมหิตของปฐพี ใบหน้าคมดุดันนั้นมันเป็นแรงกระตุ้นให้เธออยากมีชีวิตอยู่ และเธอก็อยู่อย่างมีความหวังมาโดยตลอด

แต่แล้วตอนนี้ผู้ชายที่เธอรู้ว่ารักและห่วงแหนเธอมากกว่าชีวิตกลับคิดว่าเธอกำลังทำร้ายคนบริสุทธิ์ แล้วเด็กสาววัยสิบสี่ปีที่ถูกพรากบุคคลสำคัญที่มีเหลือเพียงคนเดียวไปล่ะ ไม่ใช่คนบริสุทธิ์หรอกหรือ และถึงใครๆจะมองว่าเธอร้ายกาจขนาดไหน ปฐพีกับทุกคนในภิมุขมนตรีก็จะต้องได้รับบทเรียนโดยไม่มีข้อยกเว้นอะไรทั้งนั้น

‘พี่เพชร อ้อขอโทษนะคะ อ้อเลิกล้มทุกอย่างไม่ได้จริงๆ’ เจ้าของร่างบางคิดก่อนจะทรุดตัวลงบนเก้าอี้โยกตัวยาวที่ตั้งอยู่ตรงระเบียง เอนกายนอนพิงอย่างเหนื่อยอ่อน

โชคดีที่พรุ่งนี้เป็นวันหยุด ไม่อย่างนั้นเธอคงต้องไปเรียนทั้งที่ขอบตาเขียวคล้ำ และแน่นอนว่ามันต้องมีคำถามมากมายตามมาอีกด้วย อัมพิกาหลับตาพริ้ม ปล่อยให้สายลมแผ่วเบาเป็นเสมือนอ้อมกอดของใครสักคนที่เธอตามหา แต่ทำไมมันช่างเป็นอ้อมกอดที่ว้าเหว่เหลือเกินนะ

เสียงเอะอะโวยวายอยู่หน้าประตูห้องทำให้อัมพิกาขยับตัวจะลุกขึ้น หากแต่ทำได้แค่คิดเท่านั้น ความรู้สึกชาหนึบไปทั้งตัวและแรงกดหนักๆที่บริเวณศีรษะทำให้เธอจำต้องนอนลงตามเดิม พยายามเปิดเปลือกตาขึ้น แต่แสงสว่างและความรู้สึกที่หนักอึ้งก็ทำให้จำเป็นต้องหลับตาลงไปอีกครั้ง รวมทั้งในเวลานี้เธอก็ยังรู้สึกหนาวสะท้านจนร่างกายสั่นระริกอีกด้วย

เพียงไม่นานประตูห้องก็เปิดออก เสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาบ่งบอกถึงความร้อนรนเต็มกำลัง อัมพิกาได้ยินเสียงสบถเบาๆของใครคนหนึ่งที่ช่วยพาร่างกายไร้เรี่ยวแรงราวกับจะแตกหักได้ไปวางไว้ที่เตียง หญิงสาวปรือตาขึ้นอีกครั้ง แม้ภาพนั้นจะพร่ามัวแต่เธอก็จำได้ดี...เพทาย

เขานั่งลงข้างกายเธอก่อนจะหันไปสั่งบางอย่างกับสุดา เพทายกุมมือบางของอัมพิกาขึ้นแนบแก้ม ขณะที่สุดาก็กลับออกไปตามคำสั่งของเขา ชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิความร้อนของร่างกายที่ผิดปกติ

“อ้อ เป็นบ้าไปแล้วหรือไง ทำไมถึงไปนอนตากน้ำค้างแบบนี้” เสียงคุ้นหูดังขึ้นกระทบโสตประสาท หากแต่ร่างกายกลับไม่นำพา พิษไข้ทำให้อัมพิกาหลับไปอีกครั้งท่ามกลางสีหน้าวิตกกังวลของเพทาย

สุดากลับขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับยาลดไข้ ผ้าขนหนูและน้ำในกะละมังใบเล็ก เพทายออกไปรออยู่หน้าห้องเพื่อให้สุดาเช็ดตัวและผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้หญิงสาว เขาโทรศัพท์ไปหาผู้กำกับสมเกียรติ แต่ท่านติดราชการต่างจังหวัดจึงได้ขอให้เขาช่วยดูแลเธอแทนไปก่อน ซึ่งเพทายเองก็รับคำอย่างเต็มใจ

“เรียบร้อยแล้วค่ะคุณเพชร สุดาให้คุณอ้อทานยาไปแล้วนะคะ ถ้าเธอตื่นเมื่อไหร่ คุณเพชรก็ช่วยเรียกสุดาด้วยล่ะกันคะ เดี๋ยวสุดาจะเอาข้าวต้มขึ้นมาให้”

“ขอบใจมากสุดา มีอะไรก็ไปทำเถอะ เดี๋ยวฉันจะเฝ้าอ้อให้เอง” สุดายิ้มให้อย่างมีมารยาทก่อนจะผละจากไป

เพทายกลับเข้าไปในห้องอีกครั้งพร้อมกับทอดสายตามองร่างที่กำลังหลับใหลนิ่ง นึกแล้วก็อยากให้อัมพิกาหลับไปนานเท่านานเหลือเกิน ส่วนเขาเองก็จะเป็นคนดูแลเธอไปตลอดชีวิต แม้รู้ดีว่าเป็นความคิดที่เห็นแก่ตัวและเลวร้าย แต่ถ้ามันทำให้เรื่องทุกอย่างที่กำลังจะเกิดจบสิ้นลงได้ก็ดีอยู่ไม่น้อย

เขาแค่อยากให้เธอพักและลืมเรื่องราวที่ผ่านมานานนั้นเสียที เพราะปฐพีเองได้รับบทเรียนที่หนักหนาพออยู่แล้ว ตั้งแต่ลูกชายคนโตและภรรยาของเขาจากไป ปฐพีก็ได้รับความทุกข์ทนอย่างสาสมเหมือนกับอัมพิกา หากจะต่างกันก็ตรงที่เธอเสียไปหนึ่ง แต่ปฐพีเสียไปทีเดียวเลยถึงสองคน

เพทายถอนหายใจเบาๆก่อนจะเอื้อมมือไปแตะหน้าผากเนียนของหญิงสาว รู้สึกโล่งอกไปเสียทีเมื่อไข้ลดลงบ้างแล้ว ชายหนุ่มขยับจะออกไปสูดอากาศที่ระเบียงด้านนอก แต่ก็พลันนึกถึงหญิงสาวอีกคนที่นอนไร้ญาติขาดมิตรอยู่ที่โรงพยาบาลขึ้นมาได้ เขาสั่งให้สุดาขึ้นไปดูแลนายสาวอย่างใกล้ชิด ก่อนที่ตัวเองจะรีบขับรถมุ่งหน้าไปที่โรงพยาบาลทันที

เสียงเอะอะในห้องของมัสยาดังขึ้นทันทีที่เขาก้าวออกจากลิฟท์ เพทายรีบพาร่างสูงของตัวเองรุดไปยังที่มาของเสียงให้เร็วขึ้น ทันทีที่ปิดประตูเข้าไปเขาก็ถึงกับต้องเบี่ยงตัวหลบแจกันใบโตที่กำลังพุ่งมาอย่างรวดเร็ว

และแล้วแจกันใบสีขาวสะอาดนั้นก็ตกกระทบพื้นจนแตกละเอียด ร่างบางที่กำลังเงื้อมือค้างอยู่มองมาที่เขาด้วยแววตาตระหนกก่อนจะปรับสีหน้าเป็นนิ่งเฉย ส่วนนางพยาบาลสองคนมีสีหน้าหวาดหวั่นไม่แพ้กัน จากสภาพห้องทำให้เขาพอจะเข้าใจทุกอย่างได้โดยไม่ต้องมีใครบอก

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น!” แต่ก็ยังมิวายถามขึ้น เสียงเข้มดุดันนั้นทำให้คนก่อเรื่องขึ้นกับสะท้านไปทั้งตัว ขนอ่อนบนท่อนแขนเรียวลุกชูชัน เพราะสายตาที่เขามองมานั้นดูน่ากลัวเหลือเกิน

“ไม่ทราบเหมือนกันคะ อยู่ดีดีคนไข้ก็อาละวาด ขว้างปาข้าวของแบบที่คุณเห็นนี่แหละ” พยาบาลสาวสวยคนหนึ่งบอกด้วยน้ำเสียงกล้าๆกลัวๆ เพทายสังเกตเห็นความไม่พอใจปรากฏอยู่บนใบหน้าหวานใสของตัวต้นเหตุ แต่ก็ไม่ได้ซักถามอะไรเธอตอนนี้

“ผมต้องขอโทษแทนเขาด้วยนะครับ ยัยคนนี้จิตไม่ค่อยปกติน่ะ” คำพูดเรียบง่ายแต่สุดแสนจะกวนอารมณ์ทำเอามัสยาถึงกับพูดไม่ออก นางพยาบาลทำหน้าเหวอพร้อมกับยังแนะนำให้เขาพาเธอไปพบจิตแพทย์อีกต่างหาก

“เธอทำบ้าอะไรของเธอ! เมื่อกี้แจกันนั่นเกือบจะโดนหัวฉันเข้าแล้วไหมล่ะ” เพทายถามขึ้นทันทีที่หญิงสาวในชุดสีขาวพากันเดินออกจากห้องไปเรียบร้อยแล้ว

“นายต่างหากล่ะที่บ้า มีสิทธิ์อะไรถึงได้ไปบอกคนอื่นว่าฉันจิตไม่ปกติ นายมากกว่าที่ผิดปกติน่ะ” มัสยายังคงต่อล้อต่อเถียงกับเขาเช่นเคย นี่ถ้าไม่ติดว่ามันเป็นหน้าที่และการไถ่โทษเขาก็คงไม่เสียเวลามาที่นี่หรอก ผู้หญิงอะไรสวยแต่รูป จูบไม่หอมอย่างที่คนโบราณว่าเอาไว้ไม่มีผิด แถมวาจาของเจ้าหล่อนก็ยังคมไม่ต่างจากกรรไกรอีกด้วย

เพทายส่ายหัวด้วยความเอือมระอาพร้อมกับส่งถุงเสื้อผ้าให้หญิงสาว วันนี้เป็นวันที่หมอสั่งให้เธอกลับบ้านได้แล้ว ครั้นจะให้มัสยาใส่ชุดนักศึกษาเหมือนเดิมก็ดูจะใจร้ายเกินไป แต่แล้วอารมณ์ที่กำลังจะสงบนิ่งก็กลับพลุ่งพล่านขึ้นมาอีกเมื่อมัสยากระชากถุงเสื้อผ้าจากมือเขาก่อนจะโยนทิ้งพื้นไปอย่างไม่ใยดี

เพทายยืนนิ่งอย่างใจเย็น กำมือแน่นระงับความโกรธที่กำลังรุนแรงขึ้น ร่างสูงก้มลงหยิบถุงเสื้อผ้าที่ตั้งใจซื้อมานั่นขึ้นมาพร้อมกับส่งให้เธออีกครั้งด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ทว่ามัสยาก็ยังเลือกที่จะทำร้ายน้ำใจเขาอีกเป็นครั้งที่สอง เพทายทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เพราะเขาไม่ใช่ที่ระบายอารมณ์ของใคร

มือหนากระชากร่างบอบบางจนแทบปลิวตกจากเตียง ใบหน้าห่างกันไม่ถึงคืบจนรับรู้ได้ถึงจังหวะหายใจของแต่ละฝ่าย มัสยายังคงไม่แสดงท่าทีสะทกสะท้านใดๆ ได้แต่จ้องตาเขาตอบกลับอย่างท้าทาย เพทายบีบต้นแขนของเธอแน่นขึ้น จนมัสยาถึงกับหน้าเหยเกเพราะความเจ็บปวด

“โอ๊ย ปล่อยนะ ฉันเจ็บ”

“คนอย่างเธอมันไร้ค่าสิ้นดี! อยากทำอะไรก็เชิญเถอะ” เพทายพูดขึ้นก่อนจะหมุนตัวกลับ หากแต่คำพูดดูถูกดูแคลนทำให้เขาชะงัก นานมาแล้วที่เขาไม่ได้โมโหมากถึงขนาดนี้ ถ้าไม่ติดที่ว่าคนข้างหลังเป็นผู้หญิง เขาคงซัดหน้าหงายไปจนปางตายเลยทีเดียว

“คงจะรีบไปพะเน้าพะนอยัยคุณอ้ออีกล่ะสิ นายนี่มันน่าสงสารนะ เป็นได้แค่คนรับใช้กระจอกๆคนนึงที่พยายามหาทางเจริญด้วยการเกาะผู้หญิงรวยๆอย่างยัยนั่น แต่เอาเถอะ ฉันเห็นว่านายเป็นคนน่าสงสารหรอกนะถึงได้บอก ฉันขอแนะนำว่าให้นายรีบกลับไปตักน้ำในกะโหลกแล้วก็ชะโงกดูเงาของตัวเองซะบ้างว่าส่วนไหนของนายที่มันมีดีเทียบเท่ากับภพธรรม เอ หรือว่านายจะ...อื้อ” ความโมโหที่ไร้ทางออกของเพทายทำให้เขาเข้าไปกระชากร่างเล็กนั้นมาไว้ในอ้อมกอดก่อนจะมอบจูบดุดันให้หญิงสาวเพื่อเป็นการลงโทษและให้บทเรียนแก่เธอ

เพทายบดขยี้ริมฝีปากอวบอิ่มรุนแรงตามโทสะที่บังเกิดอย่างชำนิชำนาญ ทำให้คนที่กำลังดิ้นรนถึงกับอ่อนปวกเปียกไร้เรียวแรงที่จะขัดขืน ชายหนุ่มถอนจูบอย่างรวดเร็วก่อนจะผลักร่างบางล้มลงไปที่เตียง ความอ่อนแรงและตกใจทำให้มัสยายังคงนอนหลับตานิ่ง ไม่อยากรับรู้ว่าผู้ชายตรงหน้าทำให้เธอรู้สึกเสียหน้ามากถึงเพียงใด

“เธอนี่เก็บอาการได้ไม่ดีเลยนะมัสยา นี่ถ้าฉันคิดจะต่อเธอคงไม่ห้ามสินะ เธอนี่มันน่าสมเพชที่สุดเลย!” คำพูดจาที่สุดแสนจะดูถูกทำให้น้ำตาไหลรินออกมาอย่างไม่อาจหักห้าม เพทายเดินออกจากห้องไปอย่างไม่สบอารมณ์โดยไม่ทันเห็นน้ำตาของเธอเลยด้วยซ้ำ

มัสยายกมือขึ้นแตะริมฝีปากที่บวมเห่อด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก สมน้ำหน้าตัวเองที่ปากพล่อยไปหาเรื่องเขาก่อนทั้งที่เธออาละวาดในวันนี้ก็ไม่เกี่ยวกับเขาเลยสักนิด มันเป็นเพราะรู้สึกหงุดหงิดที่ไม่มีใครคอยเป็นห่วง ไม่มีใครสนใจว่าเธอจะเป็นตายร้ายดียังไง

คิดมาถึงจุดนี้มัสยาก็รู้ทันทีว่าตัวเองทำผิดถนัด คนเดียวที่คอยดูแลเธอก็มีเพียงแค่เขา แต่เธอก็ยังไปพูดจาทำร้ายจิตใจเขาทั้งที่รู้ว่าเพทายรักอัมพิกามากขนาดไหน ร่างบางหยัดกายลุกขึ้นก่อนจะก้มลงหยิบถุงเสื้อผ้าขึ้นมาดู เพทายซื้อเสื้อยืดรัดรูปสีขาว และกางเกงผ้าขายาวสีเดียวกันมาให้เธอ

มัสยายิ้มบางให้กับตัวเองก่อนจะก้าวเข้าห้องน้ำไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่เมื่อกลับออกมาก็พบบุรุษพยาบาลนำรถเข็นเข้ามารอในห้องเรียบร้อยแล้ว เขาช่วยพยุงเธอไปนั่งที่รถก่อนจะพาลงลิฟต์ไปสู่ชั้นล่างสุดของโรงพยาบาล

“เอ่อ เดี๋ยวค่ะ ฉันยังไม่ได้จ่ายค่ารักษาพยาบาลเลยนี่คะ”

“เรียบร้อยแล้วล่ะครับ เมื่อสักครู่คุณผู้ชายคนนั้นจ่ายให้คุณแล้ว” บุรุษพยาบาลเอ่ยตอบ และมัสยาก็รู้ทันทีว่าต้องเป็นเพทาย ขนาดเธอด่าว่าดูถูกดูแคลนเขาสารพัดแต่เขายังดีกับเธออีก หญิงสาวพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ ไม่ยอมแพ้ต่อความรู้สึกเหงาและไร้คนเข้าใจ

เมื่อลงลิฟต์มาจนถึงชั้นล่างสุด มัสยาก็ไม่ลืมที่จะพยายามมองหาเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความห่วงหาและอาวรณ์ยิ่งนัก แต่เมื่อพบเพียงแค่ความว่างเปล่า เธอจึงตัดสินใจขึ้นไปนั่งบนรถแท็กซี่ที่บุรุษพยาบาลช่วยเรียกให้โดยไม่รีรออีก และมันก็ทำให้มัสยาไม่ทันได้เห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดกึ่งแปลกใจของผู้ชายคนหนึ่งที่เฝ้ามองเธออยู่เงียบๆ

เพทายก้าวออกมาจากมุมที่ยืนอยู่อย่างช้าๆ แววตาและการกระทำของมัสยามันทำให้เขาอดคิดไปไม่ได้ว่าเธอกำลังรู้สึกอะไรบางอย่างกับเขา ชายหนุ่มไม่อาจบอกได้ว่ามันเป็นความเกลียดชังหรืออะไรกันแน่ เพียงแต่เขาภาวนาขอให้มันเป็นอย่างแรกดีกว่า เพราะไม่ว่าอย่างไรชีวิตนี้..หัวใจดวงนี้ เขาก็ยังยืนยันที่จะมอบให้อัมพิกาเพียงคนเดียวเท่านั้น

บางทีการทำร้ายน้ำใจของเธอในวันนี้ อาจทำให้เขาไม่ต้องพบกับปัญหาอื่นในวันข้างหน้าก็เป็นได้

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel