ตอนที่ 5 คนที่ต้องเลือก
อัมพิกาวิ่งกระหืดกระหอบตรงไปยังลานจอดรถของโรงพยาบาล กวาดสายตามองหาร่างที่คุ้นเคยด้วยความรู้สึกว้าวุ่นใจแต่ทว่ากลับไร้วี่แวว หญิงสาวหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋าใบสวยเพื่อต่อสายไปยังเบอร์คุ้นเคย แต่แล้วก็ต้องยอมแพ้เมื่อเพทายไม่ยอมรับสายเธอ
เจ้าของร่างบางในชุดทันสมัยเดินลัดเลาะไปตามฟุตบาทเพียงลำพังด้วยอาการเหม่อลอย ไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำว่าเพทายยังคงตามดูอยู่ห่างๆ แม้ว่าจะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจสักเพียงใด แต่ความเป็นห่วงที่มีให้หญิงสาวก็ยังไม่เคยเลือนหายไปไหน
ฉับพลันเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินตรงไปยื้อยุดฉุดข้อมือของอัมพิกาเอาไว้แน่นพร้อมกับดึงร่างบางเข้าไปกอด หญิงสาวพยายามดิ้นรนแต่ชายคนนั้นกลับไม่ยอมปล่อยให้เธอเป็นอิสระง่ายๆ
บรรดาคนที่ผ่านไปมาต่างก็มองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความตกตะลึง ไม่กล้าที่จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือหญิงสาว ใบหน้าที่แสดงถึงความมึนเมาโน้มเข้าใกล้อัมพิกาหมายจะจุมพิตลงบนแก้มนวล แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ทำอย่างนั้นหมัดหนักๆของใครคนหนึ่งก็กระแทกลงบนใบหน้าของชายจรจัดนั่นอย่างรวดเร็ว
เพทายดึงอัมพิกาให้ถอยมาอยู่ข้างหลังเขา ก่อนจะหันกลับไปกระชากเสื้อชายอีกคนไว้แน่นพร้อมกับปล่อยหมัดตามไปอีกสามทีซ้อนจนอีกฝ่ายสลบเหมือด แต่ถึงอย่างนั้นความโมโหก็ยังคงทำให้เขาปล่อยหมัดใส่ร่างที่นอนนิ่งนั้นไปอีกหลายครั้ง กว่าจะหยุดคลั่งลงได้ก็ตอนที่อัมพิกาถลาเข้าไปดึงแขนเขาเอาไว้เป็นเชิงห้ามนั่นแหละ
“พอเถอะคะพี่เพชร แค่นี้เขาก็แย่มากแล้วนะคะ”
“ยังไม่สาสมกับที่มันทำหรอก ไอ้คนเลวแบบนี้ปล่อยให้มันตายอยู่ข้างถนนนั่นแหละดีแล้ว” เพทายเอ่ยเสียงเครียด มือหนายังคงกำแน่นเข้าหากัน รู้สึกยังไม่หายแค้นถึงแม้ว่าชายที่นอนกองอยู่แทบเท้าจะมีเลือดอาบทั่วใบหน้าแล้วก็ตาม
“พอเถอะนะคะ อ้อไม่เป็นอะไรหรอก แต่ถ้าเป็นก็คงจะดีสินะคะ”
“ทำไมถึงพูดแบบนี้ล่ะ ถึงอ้อจะไม่รักตัวเอง แต่ก็ควรจะเห็นใจคนที่รักอ้อบ้างสิ” คำพูดของเพทายทำให้อัมพิกาโผเข้าสู่อ้อมกอดอบอุ่นนั้นทันทีโดยไม่ใส่ใจสายตาของใครอีกหลายคนที่กำลังจ้องมองอยู่จากเหตุการณ์เมื่อครู่ ชายหนุ่มกอดตอบเพียงชั่วครู่ก่อนจะผละออก
“กลับบ้านไปเถอะนะ เดี๋ยวพี่จะเรียกแท็กซี่ให้”
“นี่พี่เพชรรังเกียจอ้อถึงขนาดนี้เลยเหรอคะ ทำไมคะ...ทำไมถึงไม่ฟังอ้อบ้าง” เพทายยืนนิ่งเงียบไม่ยอมตอบหรือสบตาคู่สวยของเธอ แต่จะว่าไปแล้วเขาก็กำลังทำเกินไปจริงๆ
เรื่องร้ายๆเพิ่งจะเกิดขึ้นกับอัมพิกา แต่เขากลับผลักไสเธอไปทั้งที่ยังไม่หายหวาดกลัว นึกแล้วก็อยากจะกัดลิ้นตัวเองนักที่พูดจาอะไรขึ้นมาทั้งที่ขาดการไตร่ตรองแบบนั้น เพทายคว้าข้อมือของหญิงสาวเอาไว้แน่นพร้อมกับพาไปยังรถที่จอดอยู่ริมถนนทันที
“เอาเถอะ พี่จะไปส่งก็แล้วกัน เดี๋ยวแฟนอ้อเขาจะเป็นห่วง” สิ้นคำพูดประชดประชัน ร่างสูงก็เปิดประตูให้หญิงสาวก่อนที่จะก้าวเข้าไปนั่งประจำตำแหน่งคนขับของตัวเอง อัมพิการู้สึกราวกับถูกน้ำเย็นรดลงบนเรือนกาย คำพูดเสียดแทงนั้นทำเอาเธอหนาวเหน็บไปจนถึงขั้วหัวใจเลยทีเดียว
เสียงโทรศัพท์กรีดร้องขึ้นท่ามกลางความมืด ภพธรรมควานหาโทรศัพท์เครื่องสวยของตนด้วยอาการงัวเงียและกดรับสายทันทีเมื่อรู้ว่าใครเป็นผู้โทรเข้ามา ร่างสูงหยัดกายลุกขึ้นนั่งก่อนจะเปิดไฟหัวเตียงเพื่อเพิ่มความสว่างภายในห้อง
“ว่าไง นอนหลับสบายอยู่เลยล่ะสิ” เสียงทุ้มนุ่มหูฟังดูไพเราะของปลายสายเอ่ยขึ้นทำให้ผู้เป็นน้องชายเผยยิ้มกว้าง
“ครับพี่ภู ผมกำลังหลับสบายเลย กำลังฝันดีอีกด้วยน้า”
“คงฝันถึงสาวๆอีกตามเคยล่ะสิ” เสียงกระเซ้าเย้าแหย่ของผู้เป็นพี่ชายทำให้ภพธรรมอดคิดถึงหญิงสาวที่ตัวเองแอบหลงรักไม่ได้
“แล้วเมื่อไหร่พี่ภูจะกลับมาล่ะครับ ผมอยากเจอพี่มากเลย มีเรื่องอะไรจะเล่าให้ฟังตั้งเยอะแยะ”
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันนะภพ ช่วงนี้คุณแม่ป่วยบ่อยมาก พี่ไม่อยากทิ้งท่านไปไหน” คำตอบที่ภพธรรมได้รับคือแบบเดิม แม้เหตุผลจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆก็ตามทีเถอะ
‘ภูผา ภิมุขมนตรี’ พี่ชายคนเดียวที่ภพธรรมเคารพและรักมากที่สุด ถึงแม้ว่าผู้ให้กำเนิดทั้งสองคนจะหย่าร้างกันตั้งแต่เขายังเด็ก แต่ภพธรรมก็มีความผูกพันกับภูผาเสมือนว่าได้อยู่ใกล้ชิดกันตลอดเวลา ไม่ว่าภพธรรมจะร้องขอหรือต้องการให้ช่วยเหลืออะไร ภูผามักก็จะทำตามคำขอนั้นๆทุกครั้งโดยไม่เคยปริปากบ่นหรือเรียกร้องสิ่งตอบแทน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่เขาให้ภพธรรมไม่ได้ นั่นก็คือการกลับมาอยู่ที่เมืองไทย
“ผมขอคุยกับคุณแม่บ้างสิครับ สองเดือนแล้วนะที่ผมไม่ได้ยินเสียงท่านเลย”
“คุณแม่หลับไปแล้วล่ะภพ ไว้วันหลังล่ะกันนะ” แม้ว่าจะรู้สึกเสียดายแต่ภพธรรมก็ไม่อาจจะเรียกร้องอะไรได้มากกว่านี้ มารดาของเขากำลังป่วย หากรบกวนตอนนี้ก็จะดูไม่เหมาะสม
“ถ้างั้นก็อย่าลืมบอกคุณแม่นะครับว่าผมคิดถึง ปิดเทอมเมื่อไหร่ผมจะรีบไปเยี่ยมนะ”
“ได้เลยไอ้น้องชาย ไว้พี่จะบอกคุณแม่ให้” ภูผารับคำก่อนจะตัดสายไป รู้สึกผิดอยู่ไม่น้อยที่จำต้องโกหกเขา ถ้าหากภพธรรมรู้ว่ามารดาจากโลกนี้ไปเมื่อสองเดือนที่ผ่านมา เขาอาจจะไม่ได้รับการให้อภัยอีกเลยก็ได้ แต่ภูผาเองก็ใช่ว่าจะมีทางเลือกมากนัก ที่เขาต้องทำแบบนี้ก็เพราะมันคือคำขอร้องครั้งสุดท้ายที่คนเป็นแม่ขอลูกชายเอาไว้ก่อนสิ้นใจ
“ภู อย่าทำให้น้องกังวลใจเรื่องแม่นะลูก ปล่อยให้แม่จากโลกนี้ไปอย่างสงบเถอะนะ”
“ไม่นะครับแม่ อย่าพูดแบบนั้นสิครับ”
“ภูผา สัญญาสิลูก สัญญากับแม่นะ...แม่ไม่อยากให้คนชั่วอย่างเขามาเคารพศพแม่ แม่ไม่ต้องการ”
“ก็ได้ครับแม่ ผมสัญญาครับ” ความทรงจำที่มารดาของเขาได้ขอร้องบางอย่างเอาไว้ก่อนหมดลมหายใจ ผุดขึ้นมาเพื่อย้ำเตือนทุกอย่างอกครั้ง
หากเขาบอกเรื่องการตายของมารดาให้ภพธรรมรู้ แน่นอนอยู่แล้วว่าปฐพีก็จะต้องได้รับรู้ด้วยอีกคน จริงอย่างที่แม่ของเขาพูดเอาไว้ คนชั่วอย่างปฐพีไม่สมควรที่จะมีโอกาสมาเคารพศพของเธอ และเพราะคำพูดนี้เองที่ทำให้ภูผาตกปากรับคำผู้ให้กำเนิดของเขาอย่างง่ายดาย
เสียงรถยนต์ที่แล่นเข้ามาจอดทำให้ร่างสูงที่นอนเอกเขนกอยู่บนโซฟาตัวสีดำดีดตัวลุกขึ้นนั่ง แต่สายตายังคงจับจ้องยังจอแก้วสี่เหลี่ยมอย่างจดจ่อต่อไป เพทายเงี่ยหูฟังเมื่อเห็นว่าผ่านไปพักหนึ่งแล้วแต่ร่างของใครบางคนที่มาเยือนก็ยังไม่ปรากฏ ชายหนุ่มอดทนรอเพียงครู่เดียวก็ตัดสินใจลุกขึ้นไปดูให้แน่ชัดว่าใครมากันแน่
ทันทีที่หันหลังกลับไปเขาก็เห็นเจ้าของร่างบางระหงยืนนิ่งอยู่ห่างๆ ดวงตากลมโตช้ำแดงโดยที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก อัมพิกาก้มหน้าลงมองมือที่ประสานกันอยู่ตรงหน้าขาเพราะไม่กล้าสบสายตาเย็นชาคมกริบคู่นั้น
“ทำไมไม่มานั่งใกล้ๆพี่ล่ะ หรือว่ารังเกียจที่พี่ไม่ใช่คุณภพธรรม” น้ำเสียงที่ฟังแล้วไม่ได้มีแววของการประชดประชันทำให้อัมพิกากล้าเงยหน้าขึ้นมองเขาให้เต็มตามากขึ้น สีหน้าที่ฉาบไปด้วยรอยยิ้มของเพทายทำให้เธอรู้สึกเบาใจราวกับยกอะไรหนักๆออกจากอกได้เสียที อัมพิกาโผเข้าไปกอดเขาเอาไว้แน่น เพทายเองก็ยกมือขึ้นลูบไล้เรือนผมหอมกรุ่นนุ่มมืออย่างแผ่วเบาเช่นกัน
“อ้ออยากจะบอกอะไรกับพี่บ้างไหม พี่อยากฟัง” เขาใช้นิ้วชี้เรียวเชยคางหญิงสาวขึ้นเพื่อเผชิญหน้า สายตาคมกล้าจ้องลึกลงไปในดวงตากลมโตของเธออย่างอยากรู้
เมื่อคืนเขาพยายามข่มใจให้นอนหลับอย่างไรก็ไม่สำเร็จ ความคิดยังคงวกวนอยู่ที่ภพธรรมและอัมพิกา เพราะไม่เข้าใจว่าเรื่องราวทุกอย่างมันเป็นอย่างไรกันแน่ ถ้าเธอไม่โกหกเขาและบอกเขาว่าภพธรรมเป็นแค่เพียงเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย เขาก็จะไม่ว้าวุ่นแบบนี้เลย แต่นี่อัมพิกาเลือกที่จะโกหกทุกอย่าง และทุกอย่างที่เธอโกหกมันก็น่าสงสัยมากอีกด้วย
“พี่เพชรพร้อมจะฟังอ้อแล้วใช่ไหมคะ” ทันทีที่เห็นเขาพยักหน้า เรื่องราวทุกอย่างจึงถูกถ่ายทอดออกมาอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ทุกสิ่งที่ได้ยินจากปากของสาวคนรักทำให้เพทายเองก็รู้สึกอึ้งอยู่ไม่น้อย ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าอัมพิกาจะกล้าทำถึงขนาดนี้ คนบริสุทธิ์และหัวอ่อนอย่างภพธรรมไม่สมควรที่จะกลายเป็นหมากในเกมส์แค้นของใคร และที่สำคัญเขาจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นได้อย่างเด็ดขาด
ร่างสูงผุดลุกขึ้นยืนทันทีโดยไม่รอให้หญิงสาวพูดจบ เพทายสาวเท้ายาวๆไปยังเคาน์เตอร์เครื่องดื่มหลากชนิดก่อนจะจัดแจงเครื่องดื่มให้แก่ตนเองโดยไม่ลืมที่จะถามหญิงสาว
“อ้อจะดื่มอะไรไหม” เพทายถามขึ้นขณะส่งน้ำสีอำพันเข้าปากไปเพียงรวดเดียว และรินใส่ลงไปในแก้วสีใสนั้นใหม่ในปริมาณที่เพิ่มขึ้นอีก
“ไม่ดีกว่าค่ะ นี่พี่เพชรเป็นอะไรไปคะ ปกติไม่เห็นดื่มแบบนี้เลยนี่” ความแปลกใจระคนสงสัยทำให้เธอถามเขาออกไปโดยอัตโนมัติ เพทายชะงักก่อนจะวางแก้วในมือลงตามเดิม
เขาควรบอกเธอไปดีไหมนะ บอกไปเลยว่าเขาไม่มีทางปล่อยให้ภพธรรมกลายเป็นเหยื่อของเธอง่ายๆหรอก แต่ถ้าพูดไปอัมพิกาคงจะโกรธมาก โกรธเหมือนที่เคยเป็นทุกครั้งเวลาที่ถูกห้ามในเรื่องนี้ แต่เขาจะยอมปล่อยให้ภพธรรมต้องกลายเป็นคนเจ็บปวดไปอย่างนั้นเหรอ ยุติธรรมนักหรือยังไง...
“อ้อ พี่ว่าอ้อกำลังทำผิดนะ” ในที่สุดแล้วชายหนุ่มก็นิ่งเฉยไม่ได้อีก
“พี่เพชรหมายถึงอะไรคะ อ้อไม่เข้าใจ” คิ้วเรียวที่ขมวดมุ่นเข้าหากันบ่งบอกว่าเธอกำลังไม่เข้าใจอย่างที่พูดจริงๆ แต่ในความคิดของเพทายมันเป็นอาการของคนที่เข้าใจ แต่ไม่อยากจะเข้าใจเสียมากกว่า
“พี่รู้นะว่าอ้อเข้าใจ แล้วพี่ก็ไม่เห็นด้วยเลยที่อ้อจะทำแบบนี้กับคุณภพ คุณภพไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับการกระทำของนายปฐพีนะอ้อ อ้อไม่น่าจะดึงเขาเข้ามาเกี่ยวแบบนี้ พี่คิดว่าทางที่ดี...”
“พอเถอะคะพี่เพชร พี่คิดว่าที่อ้อเล่าทุกอย่างให้พี่ฟังเพียงเพราะอยากจะได้ความเห็นเรื่องนี้อย่างนั้นเหรอคะ ไม่หรอกคะ ไม่เลยสักนิด อ้อบอกพี่เพชรก็เพราะไม่อยากให้เข้าใจอ้อผิด อ้อบอกทุกอย่างก็เพราะอยากให้พี่เพชรรู้ว่าอ้อไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับเขา ไอ้พวกภิมุขมนตรี...มันมีค่าสำหรับอ้อก็แค่หมากในเกมส์เท่านั้น” อัมพิกาตัดบทเสียงแข็ง
ดวงตากลมโตมีน้ำใสๆคลอเอ่อเพื่อเตรียมร่วงลงบนผิวแก้มนวล เธอจ้องมองเพทายด้วยสายตาบ่งบอกถึงความว่างเปล่า และนั่นก็เท่ากับว่าเขาเองอาจช่วยเหลืออะไรภพธรรมไม่ได้เลย หญิงสาวส่งยิ้มบางเบาให้เขาก่อนจะหันหลังกลับออกไป เพทายรีบรุดตรงไปคว้าเอวบางไว้พร้อมกับสวมกอดร่างระหงจากทางด้านหลัง ซบหน้าลงบนไหล่บางพลางหลับตาพริ้ม
“อ้อ พี่ขอร้องล่ะ อ้อจะเลือกความแค้นมากกว่าความรักของพี่หรือไง” อัมพิกาถอนหายใจหนักหน่วงพร้อมกับแกะมือที่โอบรอบเอวบางออก จากนั้นจึงหันหน้ามามองคนตัวสูงที่คิดจะมาหยุดทุกอย่าง
“พี่เพชรรู้อะไรไหมคะ ถ้าอ้อต้องเลือก แน่นอนค่ะว่าอ้อต้องเลือกพี่ แต่ครั้งนี้อ้อจะไม่เลือกอะไรทั้งนั้น เพราะคนที่จะต้องเลือกคือพี่เพชรค่ะ ระหว่างอ้อกับนายภพธรรม พี่คิดเอาเองเถอะนะคะว่าจะเลือกใคร ถ้าพี่เพชรไม่เลือกที่อยู่ข้างอ้อ ไม่ช่วยอ้อแก้แค้นคนพวกนั้น มันก็หมายความว่าเรากำลังเดินคนละเส้นทางกัน หวังว่าคำพูดของอ้อ...คงทำให้เข้าใจอะไรได้มากขึ้นนะคะ” อัมพิกาพูดทุกอย่างด้วยน้ำเสียงฉะฉานชัดเจน
เธอทำเหมือนกับว่าเขาคงไม่มีทางเลือกอะไรได้มากนัก แล้วมันก็จริงเสียด้วย อย่างเพทายจะเลือกอะไรได้มากกว่าผู้หญิงที่ตัวเองรักจนยอมมอบชีวิตแบบอัมพิกาล่ะ
เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้หญิงที่ดูไร้พิษสงอย่างอัมพิกานั้นความจริงแล้วจะเจ้าคิดเจ้าแค้นได้มากมายนัก เวลาไม่ช่วยบรรเทาเรื่องราวเก่าๆได้เลยจริงๆ วันนี้เขาได้ประจักษ์กับตัวเองอย่างแท้จริงแล้ว เธอกล้าบอกให้เขาเลือกโดยไม่กลัวเลยว่าคำตอบอาจไม่ใช่อย่างที่เธอต้องการ เพทายเดินกลับไปยังเคาน์เตอร์เครื่องดื่มอีกครั้ง ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ทรงสูงเพียงลำพัง
เขาควรทำยังไงต่อไปดี ควรเลือกความถูกต้องหรือเห็นแก่ตัวเพื่อความรักกันนะ
ไม่สิ...ความรักที่ได้มาบนความทุกข์ของคนอื่น มันน่าภูมิใจตรงไหนกัน
ทุกอย่างต้องมีทางออก...มันต้องมีทางออก!
