ตอนที่ 2 หว่านเสน่ห์ 2
เขาถูกฝึกให้เติบมาท่ามกลางความเจ็บปวดและเข้มแข็งไปพร้อมๆกัน บนร่างกายกำยำนั้นก็เต็มไปด้วยร่องรอยที่บ่งบอกถึงการผ่านความตายมาอย่างโชกโชน ต่อให้ตอนนี้เธอกำลังเอามีดกรีดที่เนื้อหนังของเขาอยู่ เพทายก็ยังทนได้ หากแต่คำพูดต่อมาของมัสยากลับทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดในหัวใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ตามใจ...ถ้านายอยากกอดฉันไว้แบบนี้ก็ตามใจ ปล่อยให้คุณหนูอ้อของนายโดนเพื่อนฉันคาบไปกินก็แล้วกัน ผู้หญิงใจง่ายแบบนั้นนายคงไม่สนใจสักเท่าไหร่สินะ” เพทายผลักมัสยาให้ออกห่างจากตัวเขาอย่างไม่เบามือนัก และมันก็ส่งผลให้คนตัวเล็กเซถอยหลังสองสามก้าวก่อนจะล้มลงไปกองอยู่ที่พื้น เสียงร้องของเธอทำให้เจ้าของร่างสูงรีบขยับเข้าไปใกล้ๆ หวังจะช่วยพยุงให้ลุกขึ้น
“ไปห่างๆเลยนะ อย่ามาใกล้ฉัน!” มัสยาตวาดเสียงดังแต่มีหรือที่คนอย่างเพทายจะสนใจ เขาช้อนร่างเล็กนุ่มนิ่มนั้นขึ้นมาไว้ในอ้อมกอดอย่างรวดเร็ว มัสยาเองก็จำต้องหยุดดิ้นรนเพราะความเจ็บที่ขาเป็นเหตุ
เพทายก็รู้สึกผิดอยู่ไม่น้อยที่ทำอะไรโดยไม่ทันคิดแบบนี้ มัสยาตัวเล็กนิดเดียวเมื่อเทียบกับเขา แล้วเมื่อครู่เขาก็ผลักเธอไปเสียเต็มแรงเลยด้วย นับว่ามัสยายังโชคดีอยู่มากนักที่กระดูกไม่หักไปเสียก่อน
เลือดสีแดงสดที่ไหลออกมาไม่ยอมหยุดสร้างความงุนงงให้ชายหนุ่มอยู่ไม่น้อย ในขณะเดียวใบหน้าหวานละมุนของคนในอ้อมกอดก็เริ่มซีดเซียวอย่างน่าตกใจด้วยเช่นกัน เพทายตัดสินใจร่นกระโปรงหญิงสาวขึ้นเหนือเข่าเพื่อดูบาดแผล มัสยาเองก็เจ็บเกินกว่าจะทัดทาน ดวงตาคมเบิกกว้างขึ้นแทบจะทันทีที่สังเกตเห็นสิ่งหนึ่งที่โผล่พ้นออกมาจากต้นขาของหญิงสาว
เหล็ก! มัสยาถูกเหล็กแทงเข้าที่ต้นขา
เพทายไม่รู้ว่าเธอถูกเหล็กแหลมๆนั้นแทงเข้าได้อย่างไร แต่เขาก็รีบพาหญิงสาวมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลอย่างเร่งรีบทันที กว่าจะไปถึงก็เล่นเอาคนตัวเล็กถึงกับหน้าซีดมากกว่าเดิมเยอะเลยทีเดียว
หลังจากที่หมอผ่าเอาเหล็กออกจากขาของมัสยาเรียบร้อยแล้ว เพทายจึงก็โทรไปบอกปฐพีว่าวันนี้เขาคงไม่กลับเข้าบ้าน จากนั้นก็ถือวิสาสะค้นกระเป๋าของหญิงสาวเพื่อหาที่อยู่ของเธอ แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่พบสิ่งใดนอกจากบัตรประชาชนที่บ่งบอกว่าคนที่กำลังเจ็บหนักอยู่ตอนนี้ชื่อมัสยา ไพศาลศิริ
เมื่อความสงสัยเข้าเกาะกินใจ เพทายจึงสั่งให้คนของเขาช่วยไปสืบดูว่าครอบครัวไพศาลศิรินั้นมีที่มาอย่างไรกันแน่ และแล้วข้อมูลทั้งหมดก็ถูกส่งมาให้เขาทั้งที่เวลายังผ่านไปไม่ถึงสามชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ
พ่อแม่ของมัสยาเป็นใครไม่มีข้อมูลจากที่ไหนบอกได้แน่ชัด เธอถูกครอบครัวไพศาลศิริรับเลี้ยงมาจากบ้านเด็กกำพร้า ส่วนพ่อแม่บุญธรรมของเธอก็เสียชีวิตไปเพราะอุบัติเหตุเครื่องบินตกเกือบสามปีแล้ว เสียงครางแผ่วเบาของมัสยาทำให้เพทายดึงตัวเองออกจากภวังค์แห่งความคิดก่อนจะขยับเข้าไปใกล้ๆเธอ
“เจ็บจังเลย” สาวน้อยหน้าหวานพูดขึ้นเบาๆทั้งที่ยังไม่ทันได้ลืมตาขึ้นเสียด้วยซ้ำ ตอนนี้แก้มขาวใสของเธอเริ่มมีเลือดฝาดขึ้นมาบ้างแล้ว
“เป็นยังไงบ้างมัสยา เธอเจ็บมากไหม ฉันขอโทษนะ” เสียงทุ้มนุ่มลึกที่เอ่ยถามอย่างเป็นห่วงทำให้มัสยาจำต้องเปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งขึ้นมองเขา แต่แล้วเธอก็ต้องผิดหวังเมื่อคนตรงหน้าไม่ใช่ภพธรรมเพื่อนรัก หากแต่กลับกลายเป็นผู้ชายทึ่มๆคนหนึ่งที่ยอมให้แฟนสวมเขาโดยไม่คิดจะทำอะไร
“นี่นายเองเหรอ ยังจะมีหน้ามาถามฉันอีกว่าเจ็บไหม ลองโดนเหล็กทิ่มดูสิว่าเจ็บหรือเปล่า ให้ตายฉันก็ไม่ยกโทษให้หรอก แล้วทำไมนายยังอยู่ที่นี่อีก น่าจะเอาเวลาไปตามหาแฟนนายนะ ป่านนี้คงไปถึงไหนกับเพื่อนฉันแล้วล่ะมั้ง” สิ้นคำพูดกวนอารมณ์ของหญิงสาว เพทายก็ลุกขึ้นยืนนิ่งพร้อมกับส่งยิ้มเย็นอย่างท้าทาย เขาเดินไปคว้ามีดปอกผลไม้ขึ้นมาถือไว้ในมือ ก่อนจะทำในสิ่งที่มัสยาเองก็ยังคาดไม่ถึง
มีดคมกริบถูกกรีดเข้าที่ต้นแขนของเพทายด้วยความตั้งใจ ชายหนุ่มยังคงยืนปั้นหน้านิ่งทั้งที่เลือดสีแดงฉานไหลเปรอะเปื้อนเต็มท่อนแขนแข็งแรงของเขา มัสยาเองก็ตกอยู่ในอาการอึ้งจนพูดไม่ออก ทั้งกลัวและตกใจ สิ่งเดียวที่ทำได้ในตอนนี้คือมองตาเขาอย่างไม่เข้าใจเท่านั้น ไม่อยากคิดจริงๆเลยว่าเขาจะเจ็บมากขนาดไหน
“เธอบอกให้ฉันลองโดนแบบเธอดูบ้าง ฉันก็ลองแล้วนะ ถึงมันอาจจะไมใช่เหตุการณ์เดียวกับเธอก็เถอะ” เพทายเอ่ยอย่างเย็นชา
“นายทำแบบนี้ทำไม หรือแค่อยากให้ฉันหายโกรธนายงั้นเหรอ” มัสยาพูดขึ้นบ้าง สายตาหวานยังคงมองนิ่งที่บาดแผลของชายหนุ่ม รู้ทั้งรู้ว่าเลือดทำให้เธอกลัว แต่ก็ยังคงฝืนจ้องแผลของเขาอย่างไม่ละสายตา
“เปล่าเลย ฉันรู้ดีว่าฉันเป็นคนผิด ฉันไม่กล้าขอให้เธอยกโทษให้หรอกนะ ที่ทำไปก็เพราะอยากให้เธอรู้ว่าฉันเองก็ไม่อยากให้เธอเจ็บหรอก แต่ในเมื่อฉันเป็นคนทำให้เธอเจ็บ ฉันก็เลยอยากเจ็บด้วย” เขาพูดก่อนจะถือมีดตรงเข้าไปในห้องน้ำ มัสยาขยับจะตามไปแต่ทว่าแผลที่ขาจำให้เธอต้องนั่งกึ่งนอนลงบนเตียงตามเดิม เสียงน้ำในห้องน้ำไหลอยู่พักหนึ่งก่อนจะเงียบไปเพื่อบ่งบอกว่าร่างสูงของเขากำลังจะเดินกลับออกมา
เพทายเอามีดปอกผลไม้วางไว้ที่เดิมแล้วออกไปยืนริมระเบียงของห้องพักเพื่อจุดบุหรี่ผ่อนคลายอารมณ์ หญิงสาวสังเกตเห็นว่าเลือดที่ไหลออกจากแขนเขาถูกล้างออกด้วยน้ำเปล่าไปบ้างแล้ว แต่ว่ามันก็ยังคงไหลรินออกมาอย่างต่อเนื่องจนเธออดห่วงไม่ได้
ร่างเล็กตัดสินใจก้าวลงจากเตียงช้าๆทั้งที่เจ็บแผลเหลือเกิน ใบหน้าหวานเริ่มมีเหงื่อประปรายเพราะต้องเกร็งแขนหาที่จับเพื่อยึดเหนี่ยวร่างของตนไว้ไม่ให้ล้มลง แต่ดูเหมือนกว่าที่จะเดินไปถึงเขา เรี่ยวแรงที่มีก็เริ่มหมดลงเรื่อยๆ จนกระทั่งเธอจำต้องทิ้งตัวลงสู่พื้นห้อง
“โอ๊ย!“ เสียงร้องของมัสยาเรียกให้ชายหนุ่มกระโจนพรวดเข้ามาถึงตัวเธออย่างรวดเร็ว แววตาของเขาบ่งบอกถึงรู้สึกความหงุดหงิดและเป็นห่วงไปพร้อมๆกัน
“เธอลุกขึ้นมาทำบ้าอะไร หา!” เพทายคะคอกเสียงดังลั่น ความไม่พอใจฉายออกทางแววตาอย่างชัดเจนจนมัสยาจำต้องก้มหน้าหลบ
เพทายช้อนร่างบอบบางไว้ในอ้อมแขนทั้งที่เขาเองก็เจ็บแผลใจแทบขาด แต่ทว่าเลือดที่ซึมออกมาจากผ้ากลอสสีขาวของมัสยากลับทำให้เขาลืมความเจ็บปวดของตัวเองไปชั่วขณะ ชายหนุ่มวางหญิงสาวลงบนเตียงอย่างระมัดระวังก่อนจะกดกริ่งเรียกพยาบาลอย่างเร่งรีบ ไม่ทันได้รู้ตัวเลยว่าความห่วงใยจากแววตาของเขาสร้างความรู้สึกอย่างไรให้กับหญิงสาว
“คุณพยาบาลครับ เลือดไหลออกมาจากแผลของเด็กดื้อนี่อีกแล้วครับ” เพทายเอ่ยบอกพยาบาลสาวทันทีที่เธอก้าวเข้ามาภายในห้อง ร่างระหงในชุดพยาบาลสีขาวรีบเข้าไปเปิดผ้าพันแผลออกจากขาขาวเนียนของมัสยา สายตาพิจารณารอยแผลด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“สงสัยต้องเย็บแผลใหม่แล้วล่ะคะ” พยาบาลสาวคนสวยเอ่ยกับเขา มัสยาหน้าซีดไปอีกรอบเมื่อได้ยินว่าตัวเองจะต้องเย็บแผลใหม่อีกครั้งหนึ่ง
“ไม่ต้องเย็บใหม่ไม่ได้เหรอคุณพยาบาล” คนป่วยถามอย่างมีความหวัง เหงื่อกาฬแตกพลั่กเพราะความเจ็บปวด
“คงไม่ได้ค่ะ เพราะว่าแผลของคุณฉีกกว้างกว่าเดิม” พยาบาลสาวชี้แจง
“ถ้างั้นก็รบกวนคุณพยาบาลหน่อยนะครับ มาเจอคนป่วยดื้อๆก็แบบนี้แหละ” เพทายพูดสนับสนุนอย่างจงใจยั่วให้เธอโมโห แต่มัสยาเองก็ทำได้แค่เพียงมองหน้าเขาอย่างไม่พอใจเท่านั้น
หลังจากนั้นไม่นานนักหญิงสาวก็ถูกพาตัวออกจากห้องพักฟื้นแล้วมุ่งหน้าไปที่ห้องทำแผล เพทายเองก็ตามมารออยู่ที่หน้าห้องเช่นกัน เมื่อครู่เขาไม่อยากให้พยาบาลสังเกตเห็นแผลที่แขนเข้า จึงสวมเสื้อแจ็คเก็ตตัวโปรดทับเอาไว้ และเมื่อเห็นว่าแถวนี้ไม่มีใครอยู่ เขาจึงถอดเสื้อนอกออกอย่างระมัดระวัง ซึ่งมันก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่พยาบาลวัยกลางคนเดินผ่านมาทางเขาพอดี สายตาของเธอจับจ้องมาที่แขนของชายหนุ่มนิ่งก่อนจะตัดสินใจเดินเข้ามาถามไถ่อาการ
“เอ๊ะ แขนคุณไปโดนอะไรมาคะ เลือดออกเยอะมากเลย” คุณพยาบาลท่าทางใจดีถามชายหนุ่มทันทีที่สังเกตเห็นบาดแผลที่ดูแล้วค่อนข้างลึก
“อ๋อ พอดีเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะครับ อย่าห่วงเลย แผลแค่นี้เอง” เพทายพูดยิ้มๆเพื่อแสดงให้รู้ว่าเขาไม่เป็นอะไรจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นคุณพยาบาลก็ยังยืนยันที่จะพาตัวเขาเข้าห้องทำแผลไปอีกคนให้ได้ และไม่ว่าเพทายจะพยายามบ่ายเบี่ยงเช่นไรก็ไม่เป็นผล
ตอนนี้สีหน้าของเขาคล้ายกับกำลังกังวลหรือกลัวอะไรบางอย่าง หากแต่เมื่อคุณพยาบาลถามขึ้นชายหนุ่มกลับเอาแต่ก้มหน้าเงียบ เพทายยอมรับว่าเขาไม่เคยกลัวต่อความเจ็บปวดใด แต่จะมีใครสักกี่คนที่จะล่วงรู้ว่าชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าเคร่งขรึมเช่นเขา...จะกลัวเข็มฉีดยาขนาดหนัก
