ตอนที่ 2 หว่านเสน่ห์ 1
วันนี้เพทายอาสามาส่งอัมพิกาที่มหาวิทยาลัยด้วยตัวเอง เพราะผู้กำกับสมเกียรติเกิดไม่สบายขึ้นมากะทันหัน หญิงสาวเองก็รู้สึกเป็นห่วงบิดาอยู่ไม่น้อย แต่วันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรกที่เธอไม่อาจพลาดได้ นั่นก็เพราะเพทายเพิ่งบอกข่าวดีให้อัมพิการู้ว่า ‘ภพธรรม ภิมุขมนตรี’ ลูกชายคนเล็กของปฐพีได้ย้ายเข้ามาเรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกันกับเธอ
เพทายยังบอกหญิงสาวอีกว่าภพธรรมอายุเท่ากันกับเธอ แต่ย้ายจากมหาวิทยาลัยเอกชนมาเรียนต่อปีที่ 4 ที่มหาวิทยาลัยรัฐชื่อดังแห่งนี้ด้วยเหตุผลเพียงเพราะว่าเบื่อสภาพแวดล้อมเดิมๆ
ลักษะนิสัยที่เห็นได้ชัดของภพธรรมคือการที่เขาเป็นคนหัวอ่อนและมองโลกในแง่ดีจนเกินไป การที่ถูกเลี้ยงมาอย่างเอาอกเอาใจจึงทำให้ภพธรรมกลายเป็นคนที่ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของคนอื่นๆ ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่ดีมากสำหรับอัมพิกา
“ว่าแต่ไอ้ปฐพีมีลูกชายแค่คนเดียวเองเหรอคะ” อัมพิกายังคงถามต่อ การรู้ข้อมูลของศัตรูเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่มันยิ่งเกิดประโยชน์กับเธอมากขึ้นเท่านั้น
“เปล่าหรอก เขามีลูกชายทั้งหมดสองคน แต่ว่าอีกคนไปอยู่กับแม่ที่ต่างประเทศตั้งแต่เด็กๆแล้วล่ะ” เพทายยังคงตอบคำถามของหญิงสาว แต่ในใจก็อดสงสัยไม่ได้ว่าอัมพิกากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
“อ้าว ทำไมล่ะคะ” หญิงสาวถามขึ้นระหว่างเปิดประเป๋าสะพายใบสวยเพื่อหยิบลิปกลอสสีชมพูอ่อนขึ้นมาแต่งแต้มริมฝีปากอิ่มให้น่าดึงดูดมากขึ้น
“ก็คุณภูกับคุณผู้หญิงเกิดไปรู้ความเลวของนายปฐพีเข้าน่ะสิ ท่านเลยขอหย่าแล้วพาคุณภูไปอยู่ที่อังกฤษ...นี่อ้อเชื่อไหม คุณภูไม่เคยเรียกเขาว่าพ่อเลยนะหลังจากที่รู้เรื่องเข้า” เพทายอธิบายอย่างละเอียดก่อนจะเลี้ยวรถเข้าไปยังลานจอดรถของมหาวิทยาลัย
“สมควรแล้วล่ะค่ะ คนอย่างมันควรถูกทิ้งซะบ้างก็ดี” อัมพิกายังคงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังเช่นเดิม แววตาของเธอแสดงถึงความเกลียดชังอย่างเห็นได้ชัด
เพทายมองหน้าหญิงสาวที่ตนรักอย่างไม่วางตาทั้งที่วันนี้เธอก็ดูสวยและน่ารักเฉกเช่นทุกวัน อัมพิกาทั้งสวย ทั้งเก่งและความกตัญญูรู้คุณ สังเกตได้ชัดจากการที่อัมพิกาเลือกเรียนบริหารธุรกิจ เพียงเพราะผู้กำกับสมเกียรติอยากให้เธอรับช่วงธุรกิจต่อจากท่าน
อัมพิกามีดีกรีเป็นถึงดาวมหาวิทยาลัยและเป็นรุ่นพี่ที่ป๊อปปูล่ามากที่สุดในตอนนี้ แต่จะว่าไปเขาเองก็ไม่ได้ยินดีกับตำแหน่งของเธอสักเท่าไรนัก เพราะมันทำให้ชายหนุ่มหลายคนมาเกาะแกะกับอัมพิกาของเขามากขึ้นทุกวัน
“ตั้งใจเรียนนะคะ คนเก่ง” เพทายเอ่ยก่อนจะโน้มใบหน้าไปจุมพิตที่หน้าผากมนเบาๆ ส่วนอัมพิกาก็หอมแก้มชายหนุ่มด้วยกลับไปเพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่เพทายว่าเธอรักเขา หญิงสาวโบกมือให้ชายหนุ่มที่ขับรถจากไป ก่อนจะหันหลังเดินกลับไปอย่างเร่งรีบโดยไม่ทันระวัง
ร่างบางล้มลงไปกองบนพื้นทันที รู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อเท้าจนทำให้ไม่สามารถยันกายลุกขึ้นได้อีก หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองคนที่จงใจผลักเธอล้มอย่างต้องการคำตอบ
“ทำไมถึงทำแบบนี้ล่ะ เธอเป็นใคร” อัมพิกาถามขึ้น มือบางยังคงกุมข้อเท้าที่เริ่มบวมแดงเอาไว้
“ฉันก็เป็นคนที่ไม่ชอบเธอไงล่ะ อยากทำตัวเด่นดีนัก โดนซะบ้างก็ดี” หญิงสาวร่างผอมสูงเอ่ยขึ้นอย่างหาเรื่อง แต่มีหรือที่คนอย่างอัมพิกาจะยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียว เธอไม่จำเป็นต้องใช้กำลังอย่างผู้หญิงคนนี้หรอก เพราะสมองกำลังสั่งงานให้ทำอะไรบางอย่างทันทีที่เห็นใครคนหนึ่งกำลังวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาทางเธอพอดี
“โอ๊ย อย่าทำอะไรอ้อเลยนะคะ” อัมพิกาเปล่งเสียงร้องออกมาไม่เบานักเพื่อให้บุคคลที่สามได้ยินอย่างชัดเจน และมันก็สร้างความงุนงงให้แก่หญิงสาวร่างผอมสูงที่กำลังจะเดินจากไปอยู่ไม่น้อยด้วย
“หยุดนะ ทำอะไรหัดเกรงใจสถาบันบ้างสิครับคุณ” ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเอ่ยเสียงดังพร้อมกับเข้ามาพยุงร่างของอัมพิกาให้ลุกขึ้น หญิงสาวร่างผอมสูงคนนั้นทำท่าคล้ายจะเอ่ยอะไรบางอย่างหากแต่ถูกขัดขึ้นเสียก่อน
“รีบไปซะ ถ้าไม่อย่างนั้น ผมจะแจ้งเรื่องนี้ให้ทางมหาวิทยาลัยทราบ” ชายหนุ่มพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ทำให้คนถูกกล่าวหารีบเดินจากไปอย่างเสียมิได้
ภพธรรมมองหน้าหญิงสาวในอ้อมแขนนิ่ง แม้เขาจะเคยใกล้ชิดกับผู้หญิงสวยๆมาเยอะ แต่ทว่าก็ยังไม่มีใครน่าหลงใหลและงดงามเท่ากับเธอเลยสักคน ดวงตากลมโตที่จ้องมองเขาอยู่ดูมีเสน่ห์เย้ายวน จมูกโด่งสวยก็รับกับริมฝีปากบางได้รูปอย่างลงตัว
“ภพธรรม นายมาทำอะไรที่นี่วะ ไม่รอเราเลย” เสียงโวยวายของหญิงสาวน่าตาน่ารักคนหนึ่งดึงให้ภพธรรมรู้สึกตัวอีกครั้ง เขายิ้มบางๆให้อัมพิกาก่อนจะหันไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนสาวยืนหน้าบึ้งอยู่ห่างๆ
อัมพิกาชะงักเล็กน้อยก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆอย่างนึกดีใจ ไม่น่าเชื่อเลยว่าโชคชะตาจะทำให้เธอได้พบกับเขาได้เร็วถึงเพียง แถมยังเป็นการพบกันที่บังเอิญมากเสียด้วย
ภพธรรม ภิมุขมนตรี
‘มัสยา ไพศาลศิริ ’ หรือ ‘หยก’ ยืนมองหน้าหญิงสาวในอ้อมกอดของเพื่อนหนุ่มอย่างแปลกใจ และรู้สึกคุ้นตาอย่างประหลาด แต่ทว่านึกยังไงก็นึกไม่ออกว่าเคยพบเธอที่ไหนมาก่อน
อัมพิกาเองก็มองหญิงสาวกลับอย่างพิจารณาเช่นกัน มัสยาดูน่ารักและสวยหวานราวกับตุ๊กตาที่มีชีวิต ถึงแม้ว่าผมสีดำขลับของเธอจะถูกตัดจนสั้นเหมือนเด็กผู้ชาย แต่รูปร่างอรชรกับผิวพรรณขาวเนียนละเอียดก็บอกได้ชัดเจนว่าเธอเป็นผู้หญิง
“เกิดอะไรขึ้นเหรอภพ” มัสยาถามขึ้นในขณะที่เข้าไปช่วยประคองอัมพิกาอีกแรง
“เราเดินผ่านมาทางนี้พอดีน่ะหยก ก็เลยเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังจะทำร้ายคุณ...”
“อัมพิกาค่ะ เรียกว่าอ้อก็ได้นะคะ” หญิงสาวแทรกขึ้นพร้อมส่งสายตายั่วยวนให้เขา
มัสยาเองก็เป็นผู้หญิงเช่นเดียวกันกับอัมพิกา มีหรือที่เธอจะมองไม่ออกว่าสิ่งที่หญิงสาวอีกคนกำลังแสดงออกนั้นสื่อถึงสิ่งใด ถึงจะรู้สึกไม่พอใจกับการกระทำของอัมพิกาเท่าไหร่นัก แต่เธอก็ช่วยภพธรรมพยุงหญิงสาวให้ลุกขึ้นเดินอีกครั้ง แต่ทว่าไม่สำเร็จเพราะอัมพิกายืนยันว่าเธอเดินไม่ไหวจริงๆ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วก็พอจะเดินได้ เพียงแต่เลือกที่จะไม่เดินก็เท่านั้น
“ภพคะ ช่วยอุ้มอ้อทีได้ไหม อ้อเดินไม่ไหวจริงๆ” อัมพิกาเอ่ยอย่างสนิทสนม ภพธรรมรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเต้นแรงเพราะความตื่นเต้น แต่มัสยากลับมีท่าทีหงุดหงิดเพราะดูออกว่าอัมพิกากำลังเสแสร้ง
“อะไรกัน แค่นี้เดินเองไม่ได้เหรอ เท้าก็บวมแค่นิดเดียวเอง” มัสยาบ่นออกมาอย่างตรงไปตรงมาจนภพธรรมต้องส่งสายตาดุๆให้เธอ
ภพธรรมจัดการช้อนร่างของอัมพิกาขึ้นไว้ในอ้อมแขนอย่างไม่ลังเลอีก ส่วนเจ้าของร่างบางเองก็ตวัดแขนขึ้นโอบรอบคอชายหนุ่มเอาไว้แน่นเช่นกัน ใบหน้าที่ห่างกันเพียงเล็กน้อยทำให้หนุ่มๆคนอื่นพากันมองภพธรรมตาเป็นมันด้วยความอิจฉา แต่อัมพิกากลับถือโอกาสที่ได้ใกล้ชิดในครั้งนี้พิจารณาลูกชายของศัตรูอย่างใจเย็น
ภพธรรมเป็นผู้ชายผิวพรรณเนียนละเอียดไม่ต่างไปจากผู้หญิง จมูกโด่งสวยกับริมฝีปากหยักลึกทำให้ใบหน้าขาวสะอาดนั้นดูน่าหลงใหล ดวงตาเรียวยาวบริสุทธิ์บ่งบอกถึงความซื่อตรงของเขาโดยที่อัมพิกาเองก็มองออกได้ไม่ยาก น่าเสียนักที่เขาเกิดมาเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของคนชั่วช้าอย่างปฐพี เพราะถ้าไม่อย่างนั้นหญิงสาวก็คงยินดีมากที่ได้เป็นเพื่อนกับเขา
ภพธรรมวางร่างบางลงบนเตียงอย่างระมัดระวังเมื่อเดินมาจนถึงห้องพยาบาล อัมพิกาสังเกตเห็นว่ามัสยาไม่ได้ตามเข้ามาด้วย คงเป็นเพราะรู้สึกไม่ถูกชะตากับเธอกระมัง ภพธรรมส่งผ้าเย็นให้หญิงสาวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ความมีน้ำใจโดยไม่ผ่านการเสแสร้งของเขาทำให้อัมพิการู้สึกประทับอยู่ไม่น้อย แต่เรื่องแค่นี้ก็ไม่อาจทำให้ความคิดที่จะใช้เขาเป็นเครื่องมือเริ่มสั่นคลอนลงได้ง่ายๆ
อัมพิกาสังเกตเห็นเหงื่อเม็ดเล็กๆผุดพรายขึ้นบนใบหน้าขาวสะอาด เธอจึงใช้ผ้าเช็ดหน้าที่มีในกระเป๋าถือซับเหงื่อให้อย่างนุ่มนวล ภพธรรมถือโอกาสนั้นจับมือของอัมพิกาเอาไว้ และเมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจเขาจึงก้มหน้าลงกระซิบที่ข้างหูอัมพิกาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“คุณคือของขวัญชิ้นแรกในวันเปิดเทอมของผม ถ้าไม่รังเกียจ...วันนี้ผมขอเลี้ยงอาหารเย็นสักมื้อนะครับ” ภพธรรมยืดตัวขึ้นยืนเต็มความสูงอีกครั้งก่อนจะเดินออกจากห้องไปด้วยท่าทางมีความสุข เขายอมรับว่าได้หลงรักหญิงสาวหน้าสวยคนนี้เข้าซะแล้ว
มัสยานั่งหมุนแหวนเงินที่ชอบใส่เป็นประจำอยู่อย่างครุ่นคิด ยังรู้สึกไม่พอใจอัมพิกาอยู่มากแต่ว่ามันไม่ใช่ในลักษณะของการหึงหวง อาการหงุดหงิดที่เธอเป็นอยู่นั้นมันเกิดจากความเป็นห่วง กลัวว่าเพื่อนชายหัวอ่อนของตัวเองจะเสียท่าให้แม่เสือสาวหูตาแพรวพราวอย่างอัมพิกา
เธอกับภพธรรมเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่เด็กๆ เวลาไปไหนมาไหนหรือทำอะไร ภพธรรมก็จะมีเธอเคียงข้างไปด้วยแทบทุกครั้ง แม้กระทั่งเรื่องย้ายมหาวิทยาลัยในครั้งนี้ก็เหมือนกัน มัสยาก็ต้องตามมาคอยเป็นเบ๊ให้เพราะพ่อของเขาขอร้องเธอด้วยตัวเอง และสัมพันธภาพที่ดีระหว่างเพื่อนก็ทำให้เธอปฏิเสธไม่ลง
มัสยาใช้เวลาหลังเลิกเรียนพยายามคิดทบทวนว่าเธอเคยเจออัมพิกาที่ไหนมาก่อนกันแน่ แต่เมื่อนึกอย่างไรก็นึกไม่ออก ร่างบางน่าทะนุถนอมจึงตัดสินใจเดินเตร่ไปจนถึงลานจอดรถเพื่อรอกลับบ้านพร้อมกับเพื่อนหนุ่ม แต่แล้วเธอก็ถึงกับอ้าปากเหวอไปทันทีที่เห็นภพธรรมกำลังพาอัมพิกาขับรถออกจากไป ดูเหมือนว่าชายหนุ่มอีกคนที่เพิ่งลงจากรถก็มีอาการไม่ต่างไปจากเธอมากสักเท่าไหร่นัก
“อ้อ” เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นกระทบโสตประสาทของมัสยา
เมื่อหันไปเห็นเจ้าของร่างสูงที่ยืนอยู่ไม่ไกลเข้าเต็มตา รอยยิ้มแห่งความดีใจปรากฏขึ้นบนริมฝีปากบางน่ารักนั้นทันที ในที่สุดสิ่งที่กำลังค้างคาใจอยู่ก็ได้รับคำตอบเสียที มัสยาจำได้แล้วว่าคนที่อยู่กับเพทายบ่อยๆก็คืออัมพิกานั่นเอง
ทุกๆครั้งที่เธอไปหาภพธรรมทีบ้านภิมุขมนตรีก็มักจะเห็นเขาปั้นหน้าบึ้งตึงอยู่เสมอ แต่ถ้าวันไหนที่มัสยาบังเอิญได้เห็นเขาอยู่กับอัมพิกาตามที่สาธารณะหรือข้างนอกบ้านภิมุขมนตรี ใบหน้าถมึงทึงนั้นก็จะกลับกลายเป็นยิ้มแย้มอย่างมีความสุขเสียทุกครั้งไป
‘น่าหมั่นไส้นัก เคยรู้บ้างไหมนะว่าแฟนตัวเองกำลังคิดจะนอกใจน่ะ’
มัสยาคิดเมื่อเห็นใบหน้าดุดันนั้นยังคงไม่แสดงความรู้สึกใดๆ เพทายเป็นฝ่ายหันมาจ้องหน้าเธอบ้าง เมื่อเห็นมัสยายังคงจ้องหน้าเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย
“มองอะไรไม่ทราบยะ ไม่เคยเห็นคนหรือไง” มัสยาเป็นฝ่ายพูดขึ้นเพื่อลดอาการประหม่าของตัวเอง แววตาที่เขาใช้จ้องมองนั้น ทำให้หญิงสาวรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วใบหน้า
“เคยเห็นสิ ฉันก็แค่ไม่เคยเห็นใครที่ดูบ้าบอแบบเธอก็เท่านั้นเอง” คำพูดของเขาฟังดูราบเรียบ แต่กลับทำให้คนตัวเล็กรู้สึกเดือดดาลอยู่ไม่น้อย มัสยาตรงเข้าไปผลักอกเพทายเต็มแรง แต่ร่างสูงใหญ่กลับไม่สะดุ้งสะเทือนเท่าที่ควร หนำซ้ำยังกระชากร่างเล็กเข้าหาแผงอกกว้างอีกด้วย
เพทายลดสายตาลงพิจารณาหญิงสาวก๋ากั่นที่ดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดอีกครั้ง เธอเป็นผู้หญิงที่น่ารักมากเลยทีเดียว แต่ทำไมเธอถึงทำตัวไม่ต่างไปจากเด็กผู้ชายเลยสักนิด มัสยาจ้องหน้าเพทายอย่างไม่พอใจพร้อมกับพยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจากอ้อมกอดของเขา
“ไอ้ผู้ชายเห็นแก่ตัว ไอ้ฉวยโอกาส ไอ้บ้าชอบรังแกผู้หญิง ปล่อยสิ” มัสยาก่นด่าอย่างรู้สึกเจ็บใจ
“นี่เธอยังกล้าเรียกตัวเองว่าผู้หญิงอีกหรอ” ชายหนุ่มโต้กลับด้วยน้ำเสียงล้อเลียน ความโกรธจัดทำให้มัสยาออกแรงกระทืบเท้าเพทายเต็มแรง แต่ทว่าชายหนุ่มกลับยิ้มเย็นอย่างไม่ยี่หระ
