บท
ตั้งค่า

ตอนที่ ๑ : ความหลังในวัยเยาว์

ในสังคมที่กว้างใหญ่และคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมาย ในสายตาของใครหลายคนอาจมองว่ามันดูอบอุ่นและมากพร้อมไปด้วยมิตรภาพ แต่สำหรับเด็กสาววัยสิบสี่ปีอย่าง อัมพิกา อัครชุมพล หรืออ้อ เธอกลับมองว่าสังคมที่เธออยู่นั้นมันเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจยิ่งนัก เพราะคนชั่วมักมีความสุขกว่าคนที่ทำความดีเสมอ พวกคนเลวต่างทำเพื่อผลประโยชน์ของตนเองโดยไม่คำนึงถึงมนุษยธรรมเลยสักนิด คนเหล่านี้ก็เป็นได้แค่ขยะสังคมเท่านั้น อยู่ไปก็รังแต่จะสร้างความมัวหมองมากขึ้นทุกวัน และการกวาดล้างพวกมันก็เป็นสิ่งที่สามารถกระทำได้ยากยิ่ง เพียงเพราะคำว่า ‘เงิน’ และ ‘อำนาจ’

อัมพิกาเดินยิ้มแก้มปริกลับบ้านอย่างอารมณ์ดี เพราะเปิดเทอมวันแรกก็ได้รับตำแหน่งหัวหน้าห้องเสียแล้ว ถ้าพ่อของเธอรู้ก็คงดีใจมากแน่ๆ น่าเสียดายที่วันนี้ท่านผิดสัญญาที่บอกว่าจะไปรับที่โรงเรียน ไม่อย่างนั้นเธอก็คงได้บอกข่าวดีนี้ให้ท่านรู้เร็วขึ้น

เด็กสาววัยใสคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยจนเดินมาถึงหน้าบ้านโดยไม่รู้ตัว เมื่อเปิดประตูรั้วใหญ่ออกแล้วเธอก็รีบวิ่งเข้าไปในบ้านทันที แต่ทว่าก็ต้องหยุดฝีเท้านิ่งอยู่อีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงโวยวายดังมาจากข้างใน อัมพิกาเดินเข้าไปแนบหูกับประตูไม้บานใหญ่อย่างช้าๆ เสียงเอะอะโวยวายของคนที่อยู่ในบ้านทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้คิดเลยสักนิดว่ามันจะเป็นสิ่งที่เปลี่ยนชีวิตของเธอไปตลอดกาล

“พ่อ!” อัมพิการ้องอย่างตกใจทันทีที่เปิดประตูเข้าไปในบ้าน ข้าวของข้างในกระจุยกระจายไม่เป็นทิศเป็นทาง แจกันใบสวยที่เธอเพิ่งไปเดินเลือกมาเพื่อเป็นของขวัญวันเกิดให้พ่อก็แตกละเอียดอยู่บนพื้น

ตอนแรกอัมพิกามีเรื่องราวใหม่ๆมากมายที่น่าตื่นเต้นจะมาเล่าให้ผู้ให้กำเนิดของตัวเองฟัง หากแต่ก็ต้องลืมความคิดนั้นไปเสียสิ้นเมื่อเห็นชายฉกรรจ์หลายคนตรงเข้าทุบตีเขาอย่างไม่ปราณี ถึงแม้เด็กสาวจะไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ก็รู้ได้ทันทีว่าคนพวกนี้คงไม่ได้มาดีแน่

ผู้ชายรูปร่างกำยำอีกคนตรงเข้ามาจับแขนของเธอเอาไว้มั่น แม้จะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากพันธนาการอันเอารัดเอาเปรียบนั้นได้ อัมพิการู้สึกใจหายอยู่ไม่น้อยเมื่อสังเกตเห็นเลือดสีแดงสดไหลซึมออกจากมุมปากของบิดา

ร้อยตำรวจเอก ‘สุทิน อัครชุมพล’ มองหน้าลูกสาววัยสิบสี่ปีอย่างห่วงใยไม่แพ้กัน เขาไม่อยากให้อัมพิกาต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่เป็นไปตามที่คาดหวังอีกแล้ว

อัมพิกายังเด็กและอ่อนต่อโลกมากในสายตาของคนเป็นพ่อ มันยังไม่ถึงเวลาที่เธอจะต้องมาเห็นความชั่วร้ายของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์ทำร้ายกันเองในเวลานี้ ตลอดเวลาสิบสี่ปีที่ผ่านมาเขาทะนุถนอมเธอด้วยความรักความเอาใจใส่อย่างที่สุด ทำหน้าที่เป็นทั้งพ่อและแม่อย่างสมบูรณ์แบบเพียงเพราะไม่อยากให้เธอกลายเป็นเด็กที่ขาดความอบอุ่น การที่แม่ของอัมพิกาจากไปตั้งแต่ให้กำเนิดเธอได้เพียงแค่สามวันนั้น มันก็ทำให้เธอเหลือเขาเป็นที่พึ่งที่สุดท้ายแล้ว

เสียงเปิดประตูและปิดลงอย่างไม่เบามือเรียกให้ร้อยตำรวจเอกสุทินหลุดจากภวังค์แห่งความคิด เมื่อหันไปมองที่ประตูก็พบร่างสูงใหญ่ของต้นเหตุเรื่องทั้งหมดยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น

‘ปฐพี ภิมุขมนตรี’ เดินเข้ามาด้วยสีหน้าบึ้งตึง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มอย่างพึงพอใจเมื่อเห็นสภาพของอีกฝ่าย รอยยิ้มของเขาดูน่ากลัวมากสำหรับอัมพิกา มันเป็นรอยยิ้มที่เธอมั่นใจว่าจะไม่มีทางลืมลงได้แน่ๆ ใบหน้าคมเข้มของเขาดูน่าเกรงขามอยู่ไม่น้อย หนวดเคราที่ถูกตัดแต่งได้รูปนั่นก็ยิ่งเพิ่มความดุดันให้แก่เขามากขึ้นไปอีกเกือบเท่าตัว

“ปฐพี ไม่ว่าแกคิดจะทำอะไรฉัน ฉันไม่สน ขอเพียงอย่ายุ่งกับลูกสาวฉันก็พอ ยัยอ้อไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลย” ร้อยตำรวจเอกสุทินกล่าวขึ้นเป็นเชิงขอร้อง ถึงแม้น้ำเสียงที่พูดออกมานั้นจะดูนิ่งเฉย หากแต่อารมณ์ที่เกิดกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง

เขารู้ดีว่าปฐพีมาที่นี่เพราะอะไร สิ่งที่พวกมันต้องการก็คือชีวิตของเขา...

นั่นก็เพราะว่าเมื่อหลายวันก่อนร้อยตำรวจเอกสุทินได้นำกำลังเข้าจับกุมคนของปฐพีในขณะที่กำลังขนย้ายสินค้าเถื่อนรวมทั้งยาเสพย์ติดอีกสารพัดชนิดข้ามไปยังเขตชายแดน สินค้าถูกยึดไว้เป็นของกลางได้ทั้งหมด ซึ่งสร้างความเสียหายให้แก่ปฐพีเป็นอย่างมาก ส่วนสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้ก็คือผลตอบแทนที่ตำรวจอย่างเขาต้องตั้งหน้ารับ เพราะอย่างน้อยการได้ทำเพื่อชาติบ้านเมืองก็เป็นหน้าที่อันภาคภูมิใจสำหรับบุคคลที่ได้ขึ้นว่าเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อยู่แล้ว

“แกคิดว่าจะขออะไรฉันได้งั้นหรือ ไอ้สุทิน!” ปฐพีเอ่ยขึ้นพร้อมกับกระชากคอเสื้อของร้อยตำรวจเอกสุทินไว้แน่น ก่อนจะปล่อยหมัดพุ่งไปยังใบหน้าของอีกฝ่ายทันที

“ปล่อยพ่อหนูนะคะ อย่าทำพ่อหนูเลย” อัมพิกาทนเห็นบิดาถูกทำร้ายไม่ได้อีกจึงร้องขออย่างน่าเวทนา และมันก็ทำให้ปฐพีสังเกตเห็นว่าเธออยู่ในบ้านหลังนี้ด้วย

ปฐพีหันไปจ้องหน้าเด็กสาวอย่างครุ่นคิดพร้อมกับระบายรอยยิ้มออกมาแต้มที่มุมปาก ร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาหาเธอด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก ทั้งดูน่ากลัวและน่าสงสัยไปพร้อมๆกัน

“นังหนูนี่น่ารักดีนะ โตขึ้นคงสวยน่าดูเลย” ปฐพีเอ่ยพร้อมกับใช้นิ้วชี้เชยคางมนให้เงยหน้าขึ้นประสานสายตากับเขา หากแต่ความหวาดกลัวกลับทำให้สายตาของเธอจับจ้องไปที่ร่างของร้อยตำรวจเอกสุทินอย่างมั่นคงเพื่อใช้เขาเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ

“ปฐพี แกอย่ายุ่งกับลูกสาวฉันนะ ปล่อยลูกฉันไปซะ แล้วจะฆ่าฉันก็เชิญเลย” ร้อยตำรวจเอกสุทินกล่าวขึ้นอย่างขอร้องอีกครั้ง หัวใจของคนเป็นพ่อแทบแตกสลายเมื่อรู้เจตนาอันชั่วร้ายของอีกฝ่ายว่ากำลังคิดจะทำอะไร

“แกไม่ต้องห่วงหรอกไอ้สุทิน เพราะยังไงวันนี้แกก็ได้ตายใจสมใจแน่ แต่มันก็น่าสนุกนะถ้าได้ทำอะไรบางอย่างที่ทำร้ายจิตใจแกบ้าง เหมือนที่แกทำลายของๆฉันยังไงเล่า!” ปฐพีพูดตวาดลั่นก่อนจะจุดบุหรี่สูบเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ที่กำลังคุกรุ่น

“ฉันขอร้องล่ะ แกจะชั่วได้ถึงขั้นทำร้ายเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆได้เชียวหรือ ลูกฉันอายุเพิ่งจะสิบสี่ปีเองนะ อย่าทำร้ายแกด้วยวิธีเลวทรามแบบนี้เลย ฉันขอร้องเถอะ” ร้อยตำรวจเอกสุทินยังคงร้องขอ แม้จะไม่มั่นใจนักว่าคนเลวแบบปฐพีจะยอมทำตามหรือไม่ แต่มันก็ดีกว่าทนดูโดยไม่ทำอะไรสักอย่าง

“เฮ้อ แกนี่ทำฉันใจอ่อนจนได้เลย” ปฐพีสบถเบาๆ แล้วพูดขึ้นอีกครั้งอย่างชัดเจน

“เพชร เอานังหนูนี่เข้าห้องไป ฉันยกให้” เขาบอกคนสนิทวัยยี่สิบปี เจ้าของชื่อ ‘เพทาย ขอมเดช’ หรือ ‘เพชร’ ก่อนจะหัวเราะชอบใจที่ได้แกล้งให้ร้อยตำรวจเอกสุทินเจ็บปวด เพทายแสดงสีหน้าเห็นใจเด็กสาวแต่ก็ไม่อาจขัดคำสั่งผู้มีพระคุณได้

ชายหนุ่มหันไปมองหน้าร้อยตำรวจเอกสุทินอย่างมีความหมาย ต้องการให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาไม่คิดจะทำอะไรที่เลวร้ายแบบนั้นกับอัมพิกาแน่ๆ เพทายได้แค่หวังในใจว่าร้อยตำรวจเอกสุทินจะเข้าใจความหมายและท่าทางที่เขาพยายามสื่อให้ แต่แล้วเขาก็รู้ว่าตนทำสำเร็จ เมื่อเขาสังเกตเห็นสีหน้าผ่อนคลายและแววตาของร้อยตำรวจเอกสุทิน

เพทายตรงเข้าไปดึงเด็กสาวมาไว้ในอ้อมกอดทันที อัมพิกาทั้งร้องทั้งดิ้นด้วยความกลัวสุดชีวิต เธอเองก็ไม่ใช่เด็กเล็กๆที่ยังไม่รู้ประสีประสาอะไร เธอรู้และเข้าใจดีว่าคนพวกนี้คิดจะทำอะไรกับเธอ

ปฐพีเห็นท่าทางไม่ทุกข์ร้อนของร้อยตำรวจเอกสุทินก็รู้สึกขัดใจนัก เขาสั่งให้ชายหนุ่มปล่อยเด็กสาวลง ก่อนหันไปคว้าปืนที่เหน็บอยู่ตรงเอวกางเกงของเพทายมาถือไว้อย่างรวดเร็ว อัมพิกาถือโอกาสในช่วงที่เพทายปล่อยให้เธอเป็นอิสระ ถลาเข้าไปกอดบิดาเอาไว้แน่น

“ดูแลตัวเองนะลูก ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ลูกต้องเข้มแข็งนะอ้อ” ร้อยตำรวจเอกสุทินเอ่ยทั้งน้ำตา เขาโอบกอดบุตรสาวไว้แน่นอีกครั้งเพราะรู้ดีว่านี่คือโอกาสสุดท้ายแล้ว

“ไม่นะคะ พ่ออย่าพูดแบบนี้สิ ถ้าจะตาย อ้อก็ขอตายไปกับพ่อ อ้ออยู่ไม่ได้หรอกค่ะถ้าไม่มีพ่อ” อัมพิการ้องไห้อย่างหนัก มือเล็กกำคอเสื้อบิดาเอาไว้แน่นเมื่อเพทายมาดึงเด็กสาวให้ออกห่าง

“อ้อ พ่อรักลูกมากนะ ถ้าลูกรักพ่อ ลูกต้องเข้มแข็งและผ่านมันไปให้ได้ พ่อเชื่อว่าความดีที่พ่อทำเอาไว้จะช่วยปกป้องลูกเอง” ร้อยตำรวจเอกสุทินพูดขึ้นพร้อมกับจุมพิตเบาๆที่หน้าผากเนียนของบุตรสาวเป็นครั้งสุดท้าย อัมพิกาเองก็หอมแก้มบิดาอย่างแสนรักเช่นกัน

เพทายจำต้องดึงอัมพิกาออกมาให้ห่างๆ เพราะไม่อยากให้เจ้านายของเขาโมโหจนทำร้ายเธอไปด้วยอีกคน ภาพแห่งความเศร้านี้มีผลต่อจิตใจของชายหนุ่มเป็นอย่างมาก เขาเองก็เคยสูญเสียกับสิ่งที่เธอกำลังพบเจอมาก่อนจึงเข้าใจดีว่าอัมพิการู้สึกทรมานใจมากถึงเพียงใด

ปฐพีไม่พูดจาใดๆกับร้อยตำรวจเอกสุทินอีก เขาแสยะยิ้มอย่างน่ากลัวอีกครั้งพร้อมกับง้างไกปืนขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมที่จะสาดกระสุนไปยังเป้าหมาย ร้อยตำรวจเอกสุทินส่งยิ้มบางๆให้บุตรสาวเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหลับตาลงเพื่อยอมรับในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

ปัง!!

เสียงปืนที่ดังก้องขึ้นเป็นเหตุให้อัมพิกาถึงกับสะดุ้งสุดตัวพร้อมกับหลับตาแน่น เด็กสาวลืมตาขึ้นมองไปยังจุดที่บิดานั่งอยู่อีกครั้งก็ต้องพบเจอกับภาพที่สร้างความสะเทือนใจให้แก่เธออย่างที่สุดในชีวิต ในตอนนี้แม้แต่น้ำตาก็ไม่อาจไหลออกมาได้เสียด้วยซ้ำ ร่างเล็กบอบบางสั่นระริกเพราะกำลังตกอยู่ในอาการตกใจสุดชีด

ปฐพียิ้มอย่างเยือกเย็น หากแต่แววตาของเขากลับฉายแววประหลาดบางอย่างที่มันไม่ใช่ความโหดเหี้ยม ร่างสูงใหญ่ของเขาเดินตรงเข้ามาหาเด็กสาวอย่างช้าๆ ทรุดตัวลงนั่งระดับเดียวกันกับเธอก่อนจะเอ่ยบางอย่างที่ถือว่าเป็นการจุดชนวนความแค้นเพิ่มขึ้นไปอีก

“ขอโทษนะนังหนู ขอโทษที่ฉันต้องทำแบบนี้ต่อหน้าเธอ แต่เอาเถอะ ถ้าเธอต้องการแก้แค้นฉันให้พ่อเธอล่ะก็...ฉันจะรอนะ” ฆาตกรหมาดๆพูดขึ้นอย่างเย้ยหยัน แต่เขาคงไม่รู้หรอกว่ามันเป็นการท้าทายเด็กสาวตรงหน้ามากถึงเพียงใด

อัมพิกานั่งนิ่งไม่พูดจา สายตายังคงจ้องไปร่างของบิดาที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น แต่ทว่าในหูกลับได้ยินทุกคำพูดของปฐพีและจดจำสิ่งที่เขาพูดเอาไว้จนขึ้นใจ ปฐพีสั่งให้เพทายทำตามเป้าหมายเดิมที่เขาคิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ชายหนุ่มจึงจำต้องลากหญิงสาวที่ดูเลื่อนลอยเข้าห้องไปตามคำสั่ง

เพทายรอจนปฐพีและพรรคพวกกลับออกไปจนหมด เขาจึงได้ขยับเข้าไปใกล้ๆอัมพิกาด้วยความเป็นห่วง เด็กสาวยังคงนั่งนิ่งอยู่เช่นเดิม สีหน้าซีดเซียวไร้สีเลือดนั้นดูนิ่งเฉยไม่บ่งบอกความรู้สึก ส่วนแววตาก็ดูเหมือนไม่อยากรับรู้สิ่งใดอีกต่อไปแล้วเช่นกัน

“อ้อ อ้อได้ยินพี่ไหม” เพทายเรียกเสียงดัง แต่เมื่อเห็นอัมพิกายังคงเป็นเช่นเดิม เขาจึงจับไหล่บางไว้แน่นแล้วเขย่าแรงๆเพื่อช่วยเรียกสติของเธอให้กลับคืนมา

“อ้ออย่าเงียบแบบนี้สิ อ้อจำพี่ไม่ได้แล้วหรอ นี่พี่เพชรไง นึกดีๆสิอ้อ มองหน้าพี่สิ” เพทายยังคงไม่ยอมแพ้และรั้งใบหน้าของเธอให้หันมามองเขา อัมพิกาเองมองหน้าเพทายโดยไม่ได้ขัดขืน พยายามดึงสติให้กลับมาสู่ความจริงได้สำเร็จ จากนั้นเธอจึงเริ่มนึกขึ้นมาได้ทีละนิดว่าเขาเป็นใคร

ช่างเป็นความบังเอิญที่ดีนักเมื่ออัมพิกาจำได้ว่าเพทายคือพี่ชายที่แสนดีคนนั้นของเธอ พี่ชายต่างวัยที่มักจะช่วยเหลือเธอมาตลอดในวัยเด็ก เวลาที่ถูกเพื่อนแกล้งหรือมีปัญหาต่างๆเกิดขึ้น เพทายจะเป็นคนแรกที่เข้าปลอบโยนและอยู่เคียงข้างเธอในฐานะรุ่นพี่เสมอ ถึงแม้ว่าวันหนึ่งเขาจะหายไปโดยไม่ได้ร่ำลาก็ตาม

เขาและเธอเคยเรียนอยู่ที่โรงเรียนเดียวกันมาก่อน แต่เมื่อพ่อแม่ของเพทายตายไปเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ ปฐพีก็เป็นผู้อุปการะส่งเสียให้เขาได้ร่ำเรียน ซึ่งมันก็ต้องแลกด้วยการทำทุกอย่างที่ปฐพีต้องการเพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณ เพทายต้องหายหน้าหายตาไปหลายปีโดยไม่กล้ากลับมาพบหน้าเธอก็เพราะเหตุนี้เอง

“พี่เพชร พ่ออ้อ มัน...มันฆ่าพ่ออ้อ ฮือๆ” เด็กสาวร้องไห้ออกมาอีกครั้งพร้อมกับโผเข้ากอดเขาแน่น เพทายรู้สึกโล่งอกขึ้นมาบ้าง เมื่ออัมพิกาไม่ได้เสียสติไปอย่างที่เขากำลังกลัว

“ร้องออกมาให้เต็มที่เลยนะ พี่เข้าใจว่าอ้อเจ็บปวดแค่ไหน” เพทายบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพร้อมกับยกมือหนาขึ้นลูบศีรษะของเธอเบาๆ เสียงสะอื้นของร่างให้อ้อมกอดทำให้เขาปวดใจอยู่ไม่น้อยที่ไม่อาจช่วยเหลืออะไรเธอได้ดีมากไปกว่านี้

เพทายไม่เข้าใจเลยว่าอะไรที่ทำให้ปฐพีถึงกลายเป็นคนเลวร้ายและเลือดเย็นถึงขั้นกล้าฆ่าคนบริสุทธิ์แบบบี้ ทั้งที่ในตอนแรกเขาเพียงแค่ทำธุรกิจเถื่อนเท่านั้น แต่ไม่ว่าปฐพีจะทำทุกอย่างไปเพราะเหตุผลใด หลังจากนี้ไปเพทายก็จะไม่ยอมเป็นเครื่องมือสกปรกของใครอีกต่อแล้ว

อัมพิกาซุกหน้าร้องไห้อยู่กับอกเพทายไม่ยอมหยุด ภาพบิดาถูกยิงแสกหน้ายังคงตราตรึงในหัวใจดวงน้อยๆอย่างชัดเจน แต่จู่ๆเธอก็ผละออกห่างจากเขาแล้วพยุงร่างที่ไร้เรียวแรงของตนลุกขึ้นอย่างช้าๆ จากนั้นก็เดินไปเปิดประตูห้องออก แล้วตรงไปหาร่างบิดาที่นอนแน่นิ่งอยู่กับกองเลือดสีแดงฉานทันที

ภาพที่เห็นอย่างชัดเจนทำให้ร่างบอบบางทรุดลงบนพื้นอีกครั้งพร้อมกับร่ำไห้ปานจะขาดใจ เพทายนั่งลงข้างๆโดยไม่รู้เหมือนกันว่าจะสรรหาคำพูดอะไรมาช่วยปลอบใจเธอได้ อัมพิกาก้มลงสวมกอดร่างไร้วิญญาณของร้อยตำรวกเอกสุทินไว้แน่นด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย เลือดสดๆไหลพรั่งพรูออกจากศีรษะของเขาไม่ยอมหยุด ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ผุดขึ้นตอกย้ำความเจ็บปวดของอัมพิกาอีกครั้ง

“พ่อ! พ่อฟื้นขึ้นมาพูดกับอ้อก่อนสิคะ ลืมตาสิ ลืมตาเถอะนะคะพ่อ ฮือๆ” อัมพิการ้องเรียกบิดาอย่างบ้าคลั่งเพราะทำใจไม่ได้ที่จะต้องรับรู้ว่าเขาได้จากเธอไปแล้ว

อัมพิการ้องไห้เสียงดังอย่างไม่สนใจอะไรอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อตอนนี้พ่อของเธอไม่ได้อยู่ข้างกายเหมือนที่ผ่านมา ชีวิตที่เหลืออยู่ยังจะมีค่าอะไรอีก อัมพิกาคิดอย่างสับสนพร้อมกับกอดร่างของบิดาแน่นขึ้นไปอีก ความรู้สึกทุกข์ทรมานและสูญเสียทำให้เธอไม่อาจทนรับได้ ร่างบางสั่นสะท้านก่อนจะหมดสติไปทั้งที่ยังกอดรัดร่างไร้วิญญาณเอาไว้แน่น

เพทายถลาเข้าไปหาเธอก่อนจะช้อนร่างบอบบางขึ้นไว้ในอ้อมแขน ในเวลานี้เขาคิดว่าถ้าเธออยู่ในการปกป้องของตำรวจก็น่าจะปลอดภัยที่สุด เพราะปฐพีคิดจะทำอะไรต่อไปเขาเองก็ไม่อาจคาดเดาได้

เพทายพาอัมพิกาไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด เมื่อเห็นเธอถึงมือแพทย์แล้วจึงหมดห่วง และเมื่อได้ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว ชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าคมคายจึงผละลงมากดโทรศัพท์สาธารณะเพื่อแจ้งตำรวจ อย่างน้อยๆทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็คงจัดคนคุ้มกันเธออยู่แล้ว อัมพิกาเองก็จะปลอดภัยจากปฐพี แต่ว่ามันก็คงแค่สักพักหนึ่งเท่านั้น เว้นเสียแต่ว่า...

เมื่อนึกมาถึงจุดนี้แล้วเพทายก็ถึงกับยิ้มออกมาอย่างมีความหวัง ไม่ลังเลที่จะต่อโทรศัพท์ไปหาบุคคลหนึ่งซึ่งเขาคิดว่าจะต้องให้ความช่วยเหลืออัมพิกาได้แน่ๆอย่างรวดเร็ว

“สวัสดีครับ ผมขอสายท่านผู้กำกับสมเกียรติหน่อยครับ” เพทายรีบบอกจุดประสงค์ของตัวเองทันทีที่ปลายสายเป็นฝ่ายทักทายขึ้น

‘ผู้กำกับสมเกียรติ ชัยภานุ’ นายตำรวจผู้ซึ่งมากด้วยคุณธรรมที่กำลังพยายามหาและรวบรวมหลักฐานของปฐพีเพื่อล้มล้างขบวนการของพวกมันให้หมดสิ้น หากเพทายเสนอตัวเป็นสายให้ผู้กำกับสมเกียรติ เขาก็อาจมีหนทางช่วยอัมพิกาให้ปลอดภัยด้วยก็ได้

“ไม่ทราบว่านั่นใครจะเรียนสายกับท่านเหรอครับ” เสียงที่คงเป็นของลูกน้องคนสนิทเอ่ยถามขึ้นอย่างมีมารยาท

“ช่วยเรียนท่านให้ทีนะครับว่าผมมีเรื่องสำคัญของปฐพีจะเรียนให้ทราบ” คำตอบของเพทายทำให้อีกฝ่ายรีบตกปากรับคำทันที หลังจากนั้นเพียงอึดใจเดียวบุคคลที่เขาต้องการสนทนาด้วยก็อยู่ในสายเรียบร้อย ทุกอย่างเป็นตามที่เขาคาดเอาไว้ไม่มีผิดเพราะผู้กำกับสมเกียรติสนใจเสมอหากเป็นเรื่องของปฐพี

เพทายบอกเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างให้เขาฟังอย่างละเอียดแล้วก็ต้องยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจเมื่อผู้กำกับสมเกียรติให้สัญญาว่าจะเป็นผู้อุปการะอัมพิกาไว้เอง โดยมีข้อต่อรองแค่เพียงว่าเพทายต้องรายงานความเคลื่อนไหวของปฐพีให้เขารู้อยู่เป็นระยะๆไป

หลังจากนี้ไป เขาเองก็จะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ดูแลอัมพิกาด้วยเหมือนกัน

9 ปีต่อมา

เจ้าของร่างบางในชุดเดรสสีขาวยาวเหนือเข่ากำลังเล่นกับลูกสุนัขที่ชื่อมีมี่อย่างสนุกสนาน ในเวลานี้อัมพิกาอายุย่างเข้ายี่สิบสามปีแล้ว เธอเติบโตเป็นสาวสวยที่มากพร้อมไปด้วยความงามและความเข้มแข็งจนคนรอบข้างก็ยังอดชื่นชมไม่ได้

กาลเวลาที่ล่วงเลยไปทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปมากมาย แต่ทว่าสิ่งเดียวที่ยังไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยก็คือความแค้นที่อัมพิกายึดถือมาตลอดเวลาเก้าปี แม้ว่าผู้กำกับสมเกียรติจะเลี้ยงดูเธอให้อบอุ่นและเพียบพร้อมเพียงใด แต่ก็ไม่อาจลบล้างบาดแผลในใจหญิงสาวให้ลดน้อยลงได้ หนำซ้ำนับวันมันก็ยิ่งร้อนแรงมากขึ้นอีกด้วย

“อ้อ มาหาพ่อหน่อยสิลูก” เสียงผู้กำกับสมเกียรติเรียกหาหญิงสาว

นับตั้งแต่วันที่เธอมาอยู่ที่นี่ ผู้กำกับสมเกียรติก็ขอให้อัมพิกาเรียกเขาว่าพ่อ เพราะรู้สึกถูกชะตาราวกับเป็นบุตรสาวแท้ๆของเขา อัมพิกาเองก็ยินดีที่จะเรียกเขาว่าพ่อเช่นกัน เพราะผู้กำกับสมเกียรติถือเป็นผู้มีพระคุณอย่างที่สุดสำหรับเธอ

“ค่ะพ่อ” อัมพิกาขานรับ มือบางอุ้มเจ้ามีมี่ขึ้นไว้ในอ้อมแขนก่อนจะรีบเดินไปหาบิดาบุญธรรมทันที

“เล่นกับเจ้ามีมี่แต่เช้าเชียวนะลูก” ผู้กำกับสมเกียรติเอ่ยขึ้นยิ้มๆพร้อมกับยกมือหนาขึ้นลูบไล้ศีรษะลูกสาวอย่างเอ็นดู

“อ้อไม่มีอะไรทำนี่นา แล้วคุณพ่อมีอะไรเหรอคะ เรียกอ้อแต่เช้าเชียว”

“อ๋อ พ่อว่าจะให้ลูกโทรไปชวนเพชรมาทานข้าวที่นี่หน่อยน่ะ” คำตอบของผู้สูงวัยตรงหน้าทำให้อัมพิการีบพยักหน้ารับ ก่อนจะวิ่งเข้าไปในบ้านเพื่อโทรศัพท์หาเพทาย

ตลอดเวลาที่ผ่านมา เพทายทำหน้าที่ดูแลและห่วงใยอัมพิกาดั่งน้องสาวคนหนึ่ง แต่ผู้กำกับสมเกียรติรู้ดีว่าชายหนุ่มไม่ได้คิดกับลูกสาวบุญธรรมของเขาเพียงแค่นั้น ความใกล้ชิดของทั้งสองคนทำให้เพทายมีความรู้สึกที่มากต่อคำว่าพี่ชายน้องสาวซึ่งเขาเองก็ไม่คิดจะหวงห้าม เพราะอย่างน้อยเพทายก็เป็นคนที่ช่วยเหลืออัมพิกาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ส่วนอัมพิกาจะรู้สึกเช่นใดชายหนุ่ม เขาเองก็ไม่อาจรู้ได้เช่นกัน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel