ตอนที่4.
‘ฮวาเอ๋อร์ เจ้ากลัวเขาผู้นั้นหรือไม่’
‘เหตุใดต้องกลัวด้วยเจ้าคะ ท่านแม่’ เด็กหญิงตัวน้อยในวัยช่างเจรจาเอ่ยถาม
‘มีเพียงเจ้าที่มองเห็นเขาผู้นั้น...’
‘ไม่เจ้าค่ะ ข้าไม่กลัว พี่ชายชอบทำเป็นมองไม่เห็นข้า ทั้งที่ข้าโบกมือส่งยิ้มให้ตั้งหลายครั้ง’
ผู้เป็นมารดากลั้นหัวเราะแล้วยื่นมือไปลูบผมยาวของลูกสาว ‘เหตุใดเจ้าทำเช่นนั้นเล่า’
‘ก็ทุกครั้งที่ข้าเห็นพี่ชายผมสีเงิน เขามักอยู่คนเดียว ไม่มีเพื่อนเล่นเลย ข้าคิดว่าพี่ชายต้องเป็นเหงาแน่ ข้าเลยอยากทำให้พี่ชายหายเหงา’
‘เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าพี่ชายผมสีเงินผู้นั้นเหงา’ เป็นเด็กเป็นเล็กรู้จักเหงาได้อย่างไรกัน
‘ก็...’ เด็กหญิงเอียงคอครุ่นคิดก่อนชี้ที่ดวงตาของตนเอง ‘พี่ชายผมเงินผู้นั้น มีดวงตาหมองเศร้าไม่เหมือนข้าหรือหลิงเอ๋อร์เลยสักนิด พี่ชายผมเงินอยู่ผู้เดียวไม่มีใครเลย เขาต้องเหงาแน่เจ้าค่ะ’
นางมองลูกสาวแล้วส่ายหน้าไปมา เมื่อคราวที่นางได้พบเทพมังกรดินเป็นครั้งแรกนั้น นางอายุเก้าขวบแล้ว แต่นี่ลูกสาวของนางทำเหมือนกับว่าเห็นเทพมังกรดินมาตั้งแต่เกิด เมื่อคิดว่าเทพผู้นั้นที่แวะเวียนมาคงเพราะยังเป็นห่วงนางแต่ไม่ปรากฏกายให้นางเห็น ทว่าซิ่นฮวากลับมองเห็นแต่ซิ่นหลิงเป็นฝาแฝดกลับไม่เห็น เมื่อคิดเช่นนี้ นางจึงกระซิบบอกความลับเกี่ยวกับ ‘พี่ชายผมเงิน’ ให้ซิ่นฮวาล่วงรู้ นั้นคือ ‘ชื่อ’ ของเทพมังกรดิน
ชื่อของปวงเทพมิใช่สิ่งที่สมควรกล่าวเล่นพร่ำเพรื่อ แต่ซิ่นฮวามิได้สนใจเรื่องนั้น ตั้งแต่ห้าขวบ นางก็เรียก ‘พี่ชายผมเงิน’ มาเป็นเพื่อนเล่นของนาง เรื่องนี้เกิดความคาดหมายของนางนัก ในคืนหนึ่ง เทพมังกรปรากฏตัวเบื้องหน้านางด้วยสีหน้าฉาบความไม่พอใจอยู่หลายส่วนแต่ไม่ได้โกรธเกรี้ยวถึงขนาดจะเผาเมือง
‘เจ้าให้ลูกสาวของเจ้ารู้ชื่อของข้า’
‘เรื่องนั้น...’ ยังไม่ทันจะอธิบายอะไร เทพมังกรดินผู้แสนสง่างามองอาจเดินวนไปมาเหมือนหนูติดจั่น คล้ายเจอคู่ปรับที่ไม่อาจต่อกรได้
‘นางเป็นเด็กแต่เจ้าเล่ห์มากกลอุบายนัก ข้าจะทำอะไรก็มิได้ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็ก’ เทพมังกรเดินพร่ำบ่นเดินวนไปวนมาเบื้องหน้านาง ยามนี้เขามองนางมิใช่ด้วยสายตาของบุรุษที่มองหญิงสาวอีกแล้ว แต่เป็นสายตาที่มองกันอย่างมิตรสหายมากกว่า
‘ท่านมิได้ใช้เวทมนตร์พรางกายกับนางหรือ?’
‘เคยแล้ว ปกติข้าใช้เวทพรางกายย่อมไม่มีผู้ใดมองเห็น แต่เด็กนั่นกลับยังเห็นข้าแถมโบกไม้โบกมือให้ข้าอีก’ เขาถูกเด็กห้าขวบปั่นหัวจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน เด็กคนนี้ช่าง! ไม่เหมือนมารดาที่เรียบร้อยอ่อนหวานเลยสักนิด!
‘พี่ชาย...เป็นนางที่เห็นท่าน มิใช่ข้าทำให้นางมองเห็น’
ถ้อยคำของนางทำให้เทพมังกรดินชะงักเท้า ร่างนิ่งงันไปราวกับเพิ่งได้สติ ก่อนจะหลับตาลงร้องโอดครวญอยู่ในใจ
‘เด็กนั่นที่ท่านพูดถึงคือบุตรสาวของข้า อย่างไรก็ตาม ข้าหวังใจว่าพี่ชายจะเอ็นดูนาง’
ว่านหนิงเหมยที่เวลานี้นางเป็นชายาของชินอ๋องเฟยเทียน และเป็นมารดาของบุตรทั้งสาม แม้ซิ่นฮวาจะซุกซนจนมีเรื่องให้ผู้เป็นมารดาอย่างนางต้องปวดเศียรเวียนเกล้าแทบทุกวัน แต่เรื่องดีเรื่องเดียวในความซุกซนนี้คือทำให้ ‘พี่ชาย’ หรือ ‘เทพมังกรดิน’ ผู้แสนเยียบเย็นมีรอยยิ้ม
นางส่ายหน้าไปมา หวังว่า ‘พี่ชาย’ จะรู้ตัวว่าเขายิ้มทุกครั้งที่พูดถึง ‘เจ้าเด็กนั่น’ ของนาง
ความครื้นเครงที่หายไปนานกลับมาอีกครั้ง กว่าห้าปีที่ซิ่นหลิง กันอี๋ และซาโม่ออกเดินทางไปร่ำเรียน แม้มีองครักษ์อย่างเจิ้งหู่เจิ้งไฉเดินทางไปด้วย แต่นี่เป็นการเดินทางไกลครั้งแรกของพวกเขาและใช้ชีวิตไกลบ้านเกิด กลับมาครั้งนี้เด็กชายทั้งสามเติบโตขึ้นมาก กลายเป็นบุรุษรูปร่างสูงใหญ่และสง่างาม ซิ่นหลิงถอดแบบบุรุษร่างนักรบจากบิดา ในขณะที่กันอี๋ยังคงเป็นบุรุษพูดน้อย ใบหน้าคมคายประดับรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปากอยู่เสมอ ส่วนซาโม่รูปร่างสูงใหญ่ที่สุดในบรรดาเด็กชายทั้งสาม ทว่าดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นมีแววเจ้าเล่ห์และไม่ยอมใคร
