ตอนที่5. ตำหนักชินอ๋อง
แม้เจ้าของตำหนักจะเป็นถึงชินอ๋อง แต่เจ้าของตำหนักใคร่สนใจธรรมเนียมเช่นคนในเมืองหลวงนัก ผู้ที่อยู่รวมโต๊ะอาหารเย็นจะเป็นรองแม่ทัพหญิง ทหารผู้ติดตามและหญิงรับใช้ประจำตัวพระชายา ทว่าทุกคนเป็นมิตรสหายคนสนิทที่จริงใจกับเจ้าของตำหนักมากที่สุด จึงทำให้ระหว่างพวกเขาเป็นสหายรัก
หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย ซิ่นฮวาปรากฏกายอีกครั้งในชุดสีชมพูกลีบบัว ใบหน้างดงามอ่อนหวาน ดวงตาดุจหงส์ ใบหน้าประดับรอยยิ้มอยู่เสมอ ผิวอ่อนบางดุจหยกใส มิอาจกล่าวได้ว่านางเป็นโฉมสะคราญล่มเมือง ทว่าความงดงามที่ประกอบในตัวหญิงสาวนั้นก็ทำให้ผู้คนไม่อาจถอนสายตาได้
ซิ่นฮวาลอบมองมารดา เมื่อเห็นสีหน้าไม่ถือโทษโกรธที่นางแอบหนีออกไปนอกตำหนักตามลำพังแล้วก็ลอบถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก นางยกมือลูบหน้าอกตัวเองเป็นการปลอบขวัญ ท่าทางของหญิงสาวทำให้แฝดผู้พี่ที่นั่งรออยู่ก่อนแล้วถึงกับปล่อยเสียงหัวเราะอย่างไม่เกรงใจอีกฝ่าย ซิ่นฮวาขึงตาใส่แต่ซิ่นหลิงเพียงไหวไหล่ไม่สนใจ
“เอาละ ไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้นานแล้ว พวกเจ้าก็เหมือนกัน ใช้ชีวิตอยู่บนเขาหนางเจียงมานาน วันนี้กินให้อิ่มหน่ำเถิดนะ”
เป็นเสียงจื่อเหยี่ยน บ่าวคนสนิทของพระชายาหนิงเหมยเอ่ยขึ้นมา แม้เป็นหญิงรับใช้แต่ในวันนี้ได้รับอนุญาตให้นั่งร่วมรับประทานอาหารพร้อมกัน นางมองลูกชายที่ยามนี้เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก หางตาพลันมีน้ำตาซึมออกมา จากชีวิตทาสหนีตายไม่คิดว่าจะได้มีชีวิตมาถึงวันที่ได้เห็นลูกชายเติบใหญ่เช่นนี้ และหากไม่เพราะบุตรชายของนางได้ติดตามซิ่นหลิงไปร่ำเรียนกับท่านอาจารย์ฟู่ซิวอี๋ ผู้เคยเป็นอาจารย์ของท่านอ๋องมาก่อน กันอี๋ของนางคงไม่ได้มีวาสนาเช่นนี้
“เห็นแบบนี้แล้วคิดถึงวันเก่าๆ ขาดแค่กุนซือปากร้ายผู้นั้น” รองแม่ทัพ
ซานม่านหวาเอ่ยขึ้นพลางหยิบน่องไก่ชิ้นโตส่งให้ลูกชาย นางเป็นหญิงมีนิสัยห้าวหาญ แต่เพื่อ ‘ซาโม่’ บุตรชายของตนแล้ว นางมักเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้เสมอ ภายนอกมาร์คัสเหมือนคนไม่ค่อยพูดจา แต่เมื่ออยู่กับคนที่รู้สึกสนิทใจก็เปิดเผย
รอยยิ้ม ลักษณะเด่นทั้งจากมารดาและบิดาหล่อหลอมให้ซาโม่บุรุษรูปร่างสูงใหญ่ ดวงตาสีน้ำตาล และหากมองดวงตาคู่นี้ใต้แสงอาทิตย์เจิดจ้าจะเห็นว่าดวงตาคู่นี้เป็นประกายสีแดงร้อนแรง
“ก่อนกลับมาบ้าน ข้าได้แวะไปเยี่ยมเยือนซิ่นเจี่ยงแล้ว พวกเขาสบายดียิ่งและฝากความระลึกถึงทุกคนด้วย” ซิ่นหลิงเอ่ยตอบ แต่ไม่ได้เล่าทั้งหมดความว่ากุนซือคนสนิทของบิดาโอดครวญอยากกลับตุนหวงเพียงใด
“ดีจริงพวกพี่ได้เดินทางกันตั้งแต่อายุสิบสอง ข้าสิปีนี้อายุสิบสี่แล้วยังต้องอยู่เฝ้าตำหนักอยู่เลย” ซิ่นสือบ่นขึ้นมาบ้าง
“ก็ใครให้เจ้าเกิดช้าไปตั้งสามปีเล่า” ซิ่นหลิงอดหยอกเย้าน้องชาย ไม่ได้เจอกันห้าปี น้องชายตัวน้อยคนนั้นกลับกลายเป็นหนุ่มน้อยหล่อเหลาเสียแล้ว หากได้ฝึกปรือเคี่ยวกรำตนเองอีกสักหน่อย ต้ององอาจไม่แพ้ใครเป็นแน่
“เอาเถิดๆ เรื่องนี้ไว้ค่อยคุยกันทีหลัง ตอนนี้กินข้าวกันก่อนเถิด” คราวนี้พระชายาเอ่ยปากด้วยตนเอง ทุกคนจึงมุ่งความสนใจมาที่อาหารตรงหน้าซึ่ง
ตระเตรียมเพื่อต้อนรับบุตรชายที่เพิ่งได้กลับบ้าน
หลังอาหารค่ำผ่านไป เหล่าผู้ใหญ่ต่างปล่อยให้เด็กๆ ได้พูดคุยกันตามประสาพี่น้อง แต่ละคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน อ่อนแก่กันแค่ปีเศษ แม้กันอี๋เกิดก่อนแต่ซิ่นหลิงกับซิ่นฮวาไม่เคยเรียก ‘พี่’ นำหน้า มิใช่ว่าเป็นเพราะเขาเป็นเพียง
บุตรชายของบ่าวรับใช้ แต่เพราะความสนิทสนมของพวกเด็กๆ มากกว่า
เนื่องจากชินอ๋องเฟยเทียนรักใคร่เอาอกเอาใจบุตรสาวยิ่งนัก ในสวนกระจ่างใจจึงตบแต่งอย่างงดงามราวแดนสวรรค์ บิดาสั่งทำชิงช้างดงามให้บุตรสาวที่รักได้นั่งเล่นพักผ่อน ซึ่งกลายเป็นมุมโปรดของซิ่นฮวา แม้เป็นยามค่ำคืนแต่แสงจากโคมไฟที่ประดับประดาตกแต่งงดงามให้ความรู้สึกสว่างสดใส
