ตอนที่27.ไม่รู้เหตุใด
มิใช่เพียงพรจากสวรรค์ แต่มันคือการฝึกฝน เพียงเพื่อให้ได้ส่งเสียงเพลงบรรเลงนี้แด่เทพมังกรดิน นางทุ่มเทแรงกายและใจอย่างมหาศาล เพื่อคนผู้นั้น นางยอมเคี่ยวกรำตนเองเพื่อให้วันนี้นางงามสง่า และเหมาะสมกับเขาอย่างที่สุด
ซิ่นฮวาไม่สนใจหรอกว่า สตรีควรเก็บงำความรู้สึกของตนไว้ในใจ ในเมื่อเขาคือสิ่งเดียวที่หัวใจนางปรารถนา นางย่อมทำทุกสิ่งเพื่อให้ได้เขามา เพื่อหวังได้ครอบครองหัวใจรักของเขา
ไม่รู้เหตุใด นางเชื่อมาตลอดว่ามีแต่ตนเท่านั้นที่ทำให้คนผู้นั้นมีความสุขได้ แท้จริงแล้วนางปวดใจทุกครั้งที่มองเห็นรอยเศร้าจากแววตาของเขา ผู้ซึ่งเป็นเทพแต่ดูทุกข์ทรมานจากความเศร้าที่ไร้สาเหตุ หรืออาจจะมีแต่นางไม่รู้ และที่นางไม่รู้ก็คือเหตุใดนางจึงปักใจบุรุษผู้นั้นเสียเหลือเกิน ราวกับว่าสาวตาของนางเฝ้ามองเพียงเขา เป็นเช่นนี้มานานนับนิรันดร์
เสียงสุดท้ายหายไปในอากาศ บทเพลงที่นางบรรเลงสิ้นสุดลง นางหลับตาลงครู่หนึ่ง รอคอยบางสิ่งอยู่อึดใจ ท้องฟ้าสว่างไสวพลันโปรยเม็ดฝนลงมา พร่างพรมแต้มแต่งอาภรณ์สีขาวไข่มุกของหญิงสาวกระจายจนชุ่ม เสียงโห่ร้องยินดีและผู้คนพากันร่ายรำอยู่เบื้องล่าง ใบหน้าหวานเผยรอยยิ้มละมุน นางลุกขึ้นหมุนตัวเดินออกมาจากตั่งเตี้ยที่นั่งอยู่เมื่อครู่ จื่อเหยี่ยนก้าวเข้ามาอย่างนอบน้อมบรรจงคลุมเสื้อคลุมบนร่างที่เริ่มเปียกชื้นเพราะฝนที่ตกลงมาหลังการบวงสรวง ซึ่งเป็นเช่นนี้ทุกปี ผู้คนรอคอยความชุ่มชื้นที่เทพมังกรดินโปรยฝนลงพร่ำพื้นดิน
เท้าที่สวมรองเท้าปักลายดอกไม้สีขาวนั้นชะงักไปเล็กน้อย นางสัมผัสถึงสายตาคู่หนึ่งที่จ้องมองนางอยู่ไม่ไกลนัก หญิงสาวไม่ได้หันไปมองเพียงแค่รับรู้ถึงสายตาคู่นั้นแล้วก้าวเดินลงจากปะรำพิธี บิดาและมารดาที่ยืนอยู่ใกล้ดึงความสนใจของนางไปหมดสิ้น มารดาส่งยิ้มอ่อนโยนให้บุตรสาว ยื่นมือไปแตะมือของลูกแล้วเอ่ยขึ้น
“รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเสีย มีแขกมารอพบเจ้า”
“แขก?”
ซิ่นฮวามองมารดาอย่างฉงนแล้วย้ายสายตามองไปยังบิดาที่มีสีหน้าเรียบนิ่ง นางพยักหน้ารับเดินไปพร้อมกับจื่อเหยี่ยน หญิงรับใช้รุ่นใหญ่ซึ่งเป็นมารดาของกันอี๋ และเหตุที่นางซุกซนเกินกว่าหญิงรับใช้ทั่วไปจะรับมือไหว มารดาจึงต้องให้
จื่อเหยี่ยนมาคอยดูแลซิ่นฮวาด้วยตนเอง
แม้นางซุกซนและเอาแต่ใจ แต่นางก็เป็นคนรู้กาลเทศะอย่างดียิ่ง นางเดินกลับมาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกชุ่มออก เป็นอาภรณ์สีชมพูงดงามดุจดอกบัวที่โผล่พ้นน้ำ มีจื่อเหยี่ยนช่วยแต่งทรงผมให้นาง
“แขกที่ท่านแม่พูดถึงเป็นผู้ใดกัน”
“ไม่ทราบเจ้าค่ะ”
“น้าจื่อเหยี่ยนพูดกับข้าธรรมดามิได้หรือ? ที่นี่ก็ไม่มีใครเสียหน่อย”
หญิงสาวเบ้ปาก “อย่างไรน้าจื่อเหยี่ยนก็เป็นมารดาของกันอี๋ ข้านับถือเขาเป็นสหาย”
จื่อเหยี่ยนหัวเราะน้อยๆ นางรู้ว่าท่านหญิงน้อยของนางมิใคร่ชอบแต่งกายมากด้วยเครื่องประดับ จึงปักปิ่นดอกไม้ ต่างหูมุก และกำไลหยกให้เพียงแค่นั้น
นางผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วเพราะไม่ต้องการให้ ‘แขก’ รอนาน
จื่อเหยี่ยนพาหญิงสาวมาที่ห้องรับรอง เมื่อเดินเข้ามานางเห็นซิ่นหลิงอยู่พร้อมกับบิดามารดาแล้ว แม้ไม่เห็นเงาซิ่นสือน้องชายคนเล็ก แต่รู้ว่าต้องแอบซ่อนอยู่ที่ใดที่หนึ่งเป็นแน่
“ขออภัยที่ให้รอเจ้าค่ะ” ซิ่นฮวาเอ่ยขึ้นและมองผู้ที่กำลังลุกขึ้นจากเก้าอี้ เพียงนางเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดเจน ดวงตากลมจ้องเขม็งไปยังชายผู้นั้น เวลานี้เขาสวมอาภรณ์งามสง่าด้วยผ้าไหมสีน้ำเงินเข้ม ประดับพู่ห้อยหยกที่บ่งบอกได้ว่ามิใช่คนธรรมดา ชายผู้นั้นจ้องมองนางกลับเช่นกัน ทว่าเพียงนางเห็นเขาขยับริมฝีปาก นางก็รีบเดินไปเคียงข้างมารดา หวังให้คนผู้นั้นจำนางไม่ได้
ชินอ๋องเฟยเทียนเห็นบุรุษจ้องมองบุตรสาวตาแทบไม่กะพริบก็แสร้งกระแอมไอออกมา ทำให้ชายผู้นั้นยอมละสายตาจากบุตรสาวสุดรักของตนได้
