ตอนที่26. คนจากแคว้นหาน
ภายนอกร่ำลือกันไปว่า ท่านหญิงซิ่นฮวาเป็นบุตรีที่รักของชินอ๋องเฟยเทียนนางจึงเอาแต่ใจตนเองเป็นที่หนึ่ง สิ่งใดไม่ถูกใจก็ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน เป็นหญิงสาวที่ครอบครองความงามและความร้ายกาจในคนเดียว ซิ่นฮวาปล่อยให้คนอื่นเข้าใจไปเช่นนั้น เพราะนางไม่ต้องการให้ผู้ใดส่งแม่สื่อมาเยือนประตูตำหนักอ๋อง เรื่องนี้
ซิ่นหลิงย่อมรู้ดี
ยอมให้ผู้อื่นเข้าใจผิดด้วยเรื่องเช่นนี้ ซิ่นหลิงได้แต่ส่ายหน้าไปมา
“เจ้าสบายใจได้แล้วสินะ” ซาโม่ที่ฟังอยู่เงียบๆ เอ่ยขึ้นมา แล้วยกมือยืดแขนตัวเองราวกับเมื่อยขบมานาน “ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ข้าอยากกินขนมอร่อยๆ
แล้วสิ”
ซิ่นฮวาหัวเราะคิกคัก ยามใดที่นางส่งเสียงหัวเราะ ราวกับดอกไม้ก็ร่วมใจกันผลิบานรับเสียงกังวานใสของนาง หญิงสาวที่เติบโตท่ามกลางความรักและเอาใจใส่จากคนรอบข้าง ไม่เคยมีเรื่องใดมารบกวนจิตใจ ดวงตาฉ่ำหวานคู่นั้นไม่เคยหลั่งน้ำตาเพราะความเศร้าโศก ซึ่ง...มีแต่นางเองเท่านั้นที่รู้
“เช่นนั้นไปกินของว่างกันเถิด พวกเจ้าไม่อยู่จวนหลายปีได้กินของอร่อยกันบ้างหรือไม่” ซิ่นฮวายื่นมือไปตีไหล่ของซาโม่อย่างหยอกล้อเช่นวัยเด็กที่เคยหยอกเล่นกัน ทว่ามือนิ้วมือเล็กๆ แตะถูกต้นแขนของซาโม่ ใบหน้าของหญิงสาวพลันชะงัก นางหยุดเดินแล้วออกแรงบีบต้นแขนของอีกฝ่าย
“เจ้าทำอะไร” ซาโม่ก้มมองหญิงสาวบีบๆ จับๆ แขนของตนด้วยสีหน้างุนงง
“สวรรค์! เจ้าไปทำอะไรกับแขนมา! ไยแข็งเป็นก้อนหินเช่นนี้!” สมัยเด็กนางกับซิ่นหลิงซุกซนนัก บิดาสั่งสอนฝึกวรยุทธ์ให้แต่นางก็ทำไม่ได้ ทว่านิสัยไม่ยอมแพ้ใครง่ายๆ ทำให้นางกระโจนตะลุมบอนกับเด็กชายอยู่บ่อยครั้ง เนื้อตัวเปื้อนฝุ่นมอมแมมเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว
“พวกเจ้าฝึกยุทธ์แล้วเป็นเช่นนี้หรือ?” นางขมวดคิ้วแล้วหันไปจับแขนของซิ่นหลิงบ้าง ซึ่งก็ไม่ต่างจากซาโม่เลยสักนิด “นี่กันอี๋ก็เป็นเช่นเดียวกันใช่หรือไม่”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น” ซิ่นหลิงหัวเราะร่า แล้วจับมือของซิ่นฮวาขึ้นดู “ขอข้าดูมือของท่านหญิงหน่อยซิ โอ้! เพื่อฝึกบรรเลงกู่เจิงถวายเทพมังกรดิน เจ้าฝึนฝนจนปลายนิ้วด้านไปหมดแล้ว”
นางชักมือกลับพร้อมเบ้ปากใส่
ซิ่นฮวาคล้องแขนซิ่นหลิงและซาโม่ นางทำเหมือนครั้งที่ยังเป็นเด็ก จึงไม่ได้คิดว่านี่เหมาะสมหรือไม่ นางกำนัลเดินเข้ามาแล้วชะงักไปเล็กน้อยก่อนเอ่ยปากรายงาน
“เรียนคุณชายซิ่นหลิง ท่านอ๋องเชิญให้เข้าพบที่ห้องโถงกลางเจ้าค่ะ”
“ท่านพ่อมีเรื่องอะไรรึ” ซิ่นฮวาขมวดคิ้ว ไยเรียกแต่ซิ่นหลิงไม่เรียกนางไปด้วย
“บ่าวมิทราบเจ้าค่ะ”
“แล้วมีใครอยู่ในนั้นบ้าง” ซาโม่ถามแทนอย่างรู้จิตใจของอีกสหาย
“บ่าวไม่ทราบ มิเคยเห็นหน้ามาก่อน ได้ยินจากพ่อบ้านจ้าวต้าว่าเป็นคนจากแคว้นหาน”
“คนจากแคว้นหาน?” ซิ่นฮวาขมวดคิ้ว พอหันไปสบตากับซิ่นหลิง อีกฝ่ายรีบส่ายหน้าไปมา
“ท่านพ่อมิได้เรียกเจ้า ห้ามเจ้าเข้าไปเด็ดขาด”
“ข้าแค่อยากรู้เท่านั้น”
“อยากรู้ก็รอข้าออกมาก่อนแล้วจะเล่าให้ฟัง” เขาแกะมือที่คล้องแขนของเขาออกแล้วผลักเบาๆ ให้ร่างเล็กอยู่กับซาโม่
“ซาโม่ เจ้าดูนางไว้อย่าให้ซุกซน”
“ขอรับ!” ซาโม่รับคำสั่งแต่ยังกระตุกยิ้มทะเล้นให้ซิ่นฮวา ปล่อยให้ซิ่นหลิง ก้าวเท้ายาวๆ จากไปอย่างรวดเร็ว
“ซาโม่! เจ้าไปรับคำสั่งซิ่นหลิงได้อย่างไร! พวกเราเป็นสหายกันนะ” นางพยายามบิดแขนตนเองออกมากมือแกร่งของซาโม่
ซาโม่อ้าปากคล้ายจะพูดแต่เปลี่ยนใจไม่พูดอะไรออกไป เขาไม่ออกแรงอะไรมากนักเพราะเกรงว่าลำแขนเรียวเล็กของหญิงสาวจะเป็นรอยช้ำ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง เพียงกะพริบตาครั้งเดียว เขากลับมาเป็นเช่นเดิม
เขาไม่เหมือนกันอี๋ และไม่มีวันคิดกับนางเป็น ‘สหาย’ อย่างแน่นอน
หญิงสาวในอาภรณ์สีขาวพิสุทธิ์ ไร้ลวดลายใด ทว่าเนื้อผ้าที่ทอจะเส้นไหมอย่างดีมันวาวราวไข่มุก ยามนางเคลื่อนไหวร่างกายใต้แสงอาทิตย์ราวกับจะเปล่งแสงสีขาวออกมา ทุกการเคลื่อนไหวของนางหยุดสายตาทุกคู่ให้จ้องมองนาง ร่างเพรียวบางอัญเชิญดอกไม้นานาพรรณขึ้นสู่แท่นพิธี เมื่อเสร็จแล้วนางจึงเดินเยื้องย่างไปนั่งที่ตั่งเตี้ย เบื้องหน้ามีกู่เจิงวางรอคอยอย่างสงบ ปลายนิ้วดุจลำเทียนวางบนเส้นสายกรีดพลิ้วบรรเลงเสียงแหว่วหวาน
