ตอนที่18. เจ้ามองเห็นข้า
เยี่ยนหรงเหยา เอื้อมมือไปรินน้ำชา กลิ่นหอมละมุนที่ไม่คุ้นเคยทำให้ใบหน้าขาวซีดของเขาเผยรอยยิ้ม
“หากมิได้มีสหายเช่นท่าน ข้าคงไม่มีวาสนาได้ดื่มชาดีเช่นนี้”
“เจ้านี่ช่างกล้านับข้าเป็นสหาย” ใบหน้าสงบนิ่งปรากฏรอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก แต่ดวงตายังจับจ้องที่หมากกระดานเบื้องหน้า
“ท่านมาอย่างสหาย ข้าจึงรับไมตรีเช่นสหาย” เยี่ยนหรงเหยายกน้ำชาขึ้นจิบ ดื่มด่ำกับความละมุนที่ได้รับไปทั่วร่าง จากนั้นจึงปรายตาไปยังกล่องใส่ใบชาที่วางไว้ไม่ไกลนัก
“อย่าได้โลภไปนัก ของจากสวรรค์ เจ้าได้ชิมแค่นั้นก็พอแล้ว” เทพมังกรดินเอ่ยอย่างรู้ทันว่าอีกฝ่ายคิดเช่นไรอยู่
“เช่นนั้นท่านอย่าใช้ความเป็นเทพอ่านความคิดในจิตใจของข้าสิ”
เยี่ยนหรงเหยาส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย
ฮวงหลงเลิกคิ้ว ดวงตาเป็นประกาย “เจ้าแสดงออกชัดเจนเช่นนี้ ข้าไม่จำเป็นต้องอ่านจิตใจของเจ้าเลยสักนิด”
เยี่ยนหรงเหยาหัวเราะเสียงแหบออกมา ตามด้วยไอแรงๆ อีกสองสามครั้ง ฮวงหลงเพียงแค่ปรายตามองอาการเจ็บป่วยของบุรุษวัยยี่สิบปีผู้นี้แล้ววางเม็ดหมากสีดำลงไป
มีไม่กี่คนในรอบหลายร้อยปีที่เขาจะมาเดินหมากกระดานเช่นนี้ และมีมนุษย์ไม่กี่คนที่มองเห็นเขาแม้จะใช้เวทพรางกายก็ตามที หลายปีก่อนที่เขาไม่แน่ใจว่ากี่ปีผ่านมาแล้ว คราวนั้นเยี่ยนหรงเหยาเป็นเด็กชายตัวผอมบาง มองเพียงแวบเดียวก็เห็นพลังชีวิตริบหรี่ ร่างเล็กนั่งหลังงองุ้มที่หน้าหมากกระดาน เม็ดหมากสีขาวและดำวางตรงหน้าไร้คนรอบข้าง เขาจึงลงมายืนมองอยู่นิ่งนานจนได้ยินเสียงเด็กชายเอ่ยขึ้น
“จะนั่งก็ได้นะ”
“หือ?”
เด็กชายเงยหน้าขึ้นสบตากับดวงตาของเขา แก้มตอบจนเห็นโหนกแก้มชัดเจน เบ้าตาลึกและคล้ำ ริมฝีปากแห้งจนเป็นขุย เส้นผมหยาบกระด้าง ทว่าเมื่อเด็กชายยิ้มดวงตาคู่นั้นเป็นประกายฉายแววความหวัง
และดวงตาคู่นี้ทำให้เขารู้ว่าอีกฝ่ายมองเห็นร่างของเขาเข้าแล้ว
“เจ้ามองเห็นข้า?”
เด็กชายพยักหน้าแล้วหยิบเม็ดหมากสีขาววางลงไป หยิบเม็ดหมากสีดำมากำในมือ “ปกติข้ามองเห็นแต่ภูติผี เพิ่งเคยเห็นเทพเป็นครั้งแรก”
คราวนี้เป็นเขาที่พยักหน้าอย่างเข้าใจ เมื่อเห็นเด็กชายไม่มีท่าทีตื่นตระหนกตกใจ เขานั่งลงที่เก้าอี้กลมฝั่งตรงข้าม ภูติวิหคโบยบินลงมาแล้วกลายร่างเป็นเด็กหนุ่มวัยสิบสี่
“ส่านเตี้ยน ชงชาให้ข้าหน่อยสิ”
“ขอรับ” ส่านเตี้ยน รับคำสั่งแล้วผลุบหายไป
“ดูท่านไม่แปลกใจที่ข้ามองเห็นท่าน” เด็กชายเอ่ยขึ้นโดยยังวางสายตาที่หมากกระดานตรงหน้า “มีคนมองเห็นท่านเช่นข้าบ่อยรึ”
ฮวงหลงนิ่งไปเล็กน้อย พลันคิดถึงเจ้าเด็กหญิงจอมซน ช่างเอาแต่ใจผู้นั้น ร่าเริงปราดเปรียวเหมือนกระต่ายป่า และตั้งแต่นางมองเห็นเขา นางทำเหมือนเขาเป็นพี่เลี้ยงเด็กที่เอะอะก็เรียกชื่อเขาเป็นว่าเล่น
ชื่อของเหล่าปวงเทพหาใช่จะเรียกขานได้พร่ำเพรื่อ!
แต่นางก็ทำ!
“ดีจริง ก่อนตายได้เจอเทพเช่นท่าน”
เขาขมวดคิ้ว “เจ้าไม่ใกล้ตายเช่นนั้นหรอก”
“ใครๆ ก็บอกว่าข้าจะมีชีวิตอยู่ไม่ยืนยาวนัก”
“เจ้าจึงเชื่อเช่นนั้น?”
เด็กชายตัวน้อยเงยหน้าขึ้นมองด้วยแววตาประหลาดใจ ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา “อย่างไรคนเราก็ต้องตาย ช้าเร็วสุดท้ายก็ย่อมตาย ข้าเองไม่ใส่ใจอาการเจ็บป่วยของตนเองนัก แต่สงสารคนที่คอยดูแลอยู่มากกว่า ทำให้รู้สึกว่า ทุกวันนี้อยู่ไปก็ทำให้ผู้อื่นลำบากนัก”
“เจ้าช่างเป็นห่วงเป็นใยผู้อื่นยิ่ง” ฮวงหลงหัวเราะในลำคอมองเด็กชายวางเม็ดหมากลงไป เขายิ้มอย่างพอใจ แล้วยื่นปลายนิ้วไปแตะหน้าผากของอีกฝ่าย เป็นเทพก็ใช่ว่าจะมีพลังหยั่งรู้ดินฟ้าอนาคต เพียงแค่ เขาสำรวจดูพลังชีวิตของเด็กชายคนนี้ แม้จะมีชีวิตอยู่อีกสิบปีแต่ต้องผ่านอุปสรรคหนักหนานัก
“เจ้ายังไม่ตายในเร็ววันนี้หรอก เดินหมากเป็นเพื่อนข้าก็แล้วกัน”
เพียงพริบตา เด็กชายอมโรคผู้นั้นก็เติบโตเป็นชายหนุ่มวัยยี่สิบ มีเส้นผมเป็นสีขาวโผลนทั้งศีรษะ แต่ดวงตายังลุ่มลึกและเปี่ยมพลังงานชีวิต แม้ไม่แข็งแรงเท่าชายหนุ่มวัยเดียวกัน แต่นับว่าดีกว่าที่เขาพบเจอในครั้งแรกมากแล้ว
