บทที่ 21
“นายต่อยผมให้ตายเลยก็ได้ ถ้าเรื่องแค่นี้มันผิดมากนัก”
ถ้อยคำที่เอ่ยออกมาเต็มไปด้วยความท้าทาย ปราศจากการสำนึกผิดโดยสิ้นเชิง เจตน์ประคองตัวเองให้ยืนอย่างมั่นคงอีกครั้ง สีหน้าดูราบเรียบ แต่ดวงตานั้นจ้องตอบแบบไม่มีลดละ
“ฉันไม่ได้ต่อยแก เพราะแกคิดจะมาพลอดรักกับคะนิ้งที่นี่ แต่ฉันต่อยแก เพราะฉันรู้ว่าแกกำลังสร้างเรื่องโกหกต่างหากล่ะ!” ชายหนุ่มตวาดลั่น “ถ้าอยากพลอดรักกันจริง ทำไมไม่ให้คะนิ้งออกไปหาที่บ้านพัก มีเหตุผลอะไรถึงต้องขึ้นมาใช้ห้องเก่าเมียฉันเป็นที่ระบายอารมณ์ แล้วอีกอย่างนะ...ถ้าจะมาทำอะไรอย่างที่ว่างจริงๆ ล่ะก็ ทำไมถึงไม่รีบจูงมือกันเข้าไปในห้องเลยล่ะ จะมัวยืนหันซ้ายหันขวาดูต้นทางหาพระแสงอะไร!” เหตุผลพวกนี้ทำเอาคะนิ้งกับเจตน์มองสบตากันอย่างอึดอัด ทุกสิ่งที่อาชาพูดล้วนแล้วแต่สมเหตุสมผล และมันก็ทำให้ทั้งคู่หมดสิ้นคำพูดที่จะหามาแก้ตัวได้อีก
ป้ามะลิกับสาวใช้อีกสองคน กำลังช่วยกันตรวจดูความเรียบร้อยที่ชั้นล่าง ก่อนที่จะปิดไฟแล้วแยกย้ายกันไปพักผ่อนเหมือนทุกวัน แต่ระหว่างที่พากันเดินผ่านบันไดนั้น บังเอิญได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจากข้างบนเสียก่อน จึงชักชวนกันรีบขึ้นมาดูว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
เมื่อเห็นผู้เป็นลูกชายถูกต่อยจนเลือดกบปาก แทนที่จะปราดเข้าไปถามไถ่ด้วยความห่วงใย ป้ามะลิกลับมองด้วยสายตานิ่งเฉย ขณะเดินไปยืนอยู่เคียงข้างอาชา นางได้ยินทุกอย่างหมดแล้ว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเรื่องนี้ใครกันที่เป็นฝ่ายผิด
บัวตองกับนงนุชมองสบหน้ากัน แล้วหันไปมองคะนิ้งอย่างอิดหนาระอาใจ ที่ผ่านมานอกจากจะพยายามทำตัวเหนือกว่าเด่นกว่าราวกับตัวเองไม่ใช่สาวใช้แล้ว และยังชอบแสดงนิสัยข่มพวกเดียวกันอีก ที่ร้ายกว่านั้นคือมักขยันสร้างเรื่องให้เจ้านายปวดหัวเสียจริงๆ
“มองอะไรกันอีพวกนี้!” คะนิ้งหลุดปากตวาดใส่
“คะนิ้ง!” เป็นอีกครั้งที่อาชาตวาดขึ้นอย่างเหลืออด “ฉันทนนิสัยแย่ๆ ของเธอไม่ไหวแล้ว ต่อไปนี้ไม่ต้องมาวุ่นวายให้ฉันเห็นหน้าอีก คนอย่างเธอคงเหมาะที่จะทำงานอยู่แต่ในครัว คอยช่วยป้ามะลิทำอาหาร แล้วทำงานบ้านตามที่ป้ามะลิสั่งทุกอย่าง ห้ามโยนหน้าที่ให้สาวใช้คนอื่นเด็ดขาด คราวนี้ถ้าเธอยังกล้าขัดคำสั่งฉันอีกล่ะก็ ฉันจะให้เธอย้ายไปทำงานในรีสอร์ตแทน แล้วห้ามกลับมาเหยียบบนเรือนใหญ่อีก!”
“นาย!” คะนิ้งทำหน้าเหมือนถูกราดด้วยน้ำร้อน
“บัวคอยดูแลรับใช้นายหญิงให้ดี อย่าให้มีอะไรขาดตกบกพร่องได้ ส่วนนุชดูแลเรื่องทั่วไป ถ้ามีอะไรผิดปกติหรือดูน่าสงสัย ให้รีบมารายงานฉันทันทีเลยนะ” อาชาทำเหมือนคะนิ้งเป็นเพียงอากาศธาตุ เขาหันไปพูดกับสองสาวใช้ที่ยืนสงบเงียบอยู่ไม่ไกล เมื่อพวกเธอรับคำเรียบร้อย เขาจึงเบนสายตาไปหยุดนิ่งอยู่ที่เจตน์อีกครั้ง
“ส่วนแกอย่าชะล่าใจให้มากนักนะไอ้เจตน์ คนอย่างฉันไม่ได้โง่อย่างที่แกคิด คราวนี้ฉันจะยอมใจดีให้อีกครั้ง ถือเสียว่าเห็นแก่ป้ามะลิ แต่ถ้ายังไม่เลิกคิดสกปรกกับเมียฉันอีก แกได้ไปนอนเล่นอยู่ในทะเลแน่ แล้วถ้าแกอยากรู้ว่าฉันจะทำตามที่พูดจริงหรือเปล่า...ลองดูก็ได้นะ” ทุกคนรู้ดีว่าสิ่งที่ออกจากปากของนายหนุ่ม นั่นไม่ใช่แค่เพียงการข่มขู่
อาชาเป็นคนใจดี ใจกว้าง ปล่อยให้คนทำผิดได้กลับตัวกลับใจเสมอ แต่ก็ไม่ควรลืมไปว่าในทุกๆ โอกาส มันย่อมมีวันสิ้นสุด และเจตน์ก็ใช้มันเปลืองจนเกินไปแล้ว
เจตน์มองร่างสูงที่หมุนตัวเดินห่างออกไปด้วยท่าทีที่เหนือกว่าทุกประการ สันกรามนูนขึ้นด้วยความแค้นเคือง ถือว่าตัวเองเป็นเจ้านาย แค่กระดิกนิ้วก็มีอำนาจจัดการได้ทุกอย่าง จึงไม่มีใครหน้าไหนกล้าต่อกรด้วย
แต่นั่นไม่ใช่สำหรับคนอย่างเจตน์...
เขาไม่มีความจำเป็นต้องกลัวใคร และไม่ต้องกังวลเลยด้วยซ้ำว่าจะไม่มีที่ซุกหัวนอน ถึงวันหนึ่งจะถูกไล่ออกไปจากเกาะเภา แต่ใช่ว่าจะต้องกลายเป็นคนเร่ร่อนเสียหน่อย บนผืนแผ่นดินนี้ยังมีที่ว่างให้เขาได้จับจองอีกมาก เจตน์ตั้งเป้าหมายไว้ในใจแล้วว่าสักวันจะออกไปให้พ้นจากเกาะแห่งนี้ แต่ก่อนไป...เขาสัญญากับตัวเองว่าจะฝากรอยแผลใหญ่ไว้ให้อาชาดูต่างหน้าด้วย
“อย่าแม้แต่จะคิดเชียวนะเจตน์” เสียงดุดันของมารดาดังขึ้น ราวกับอ่านใจของลูกชายออกอย่างทะลุปรุโปร่ง
“แม่พูดอะไรของแม่ฮะ!” แทบไม่มีเลยสักครั้งที่ใช้จะพูดดีๆ ให้ผู้เป็นแม่รู้สึกรื่นหู ชายหนุ่มแสดงท่าทีฉุนเฉียวชัดเจน ก่อนจะตวัดสายตามองอย่างขุ่นเคือง
“แม่ก็แค่หวังดี อยากเตือนว่าอย่าคิดเล่นกับไฟ เพราะสุดท้าย แล้วคนที่จะถูกเผาจนตาย...ก็คือตัวแกเอง”
“ฮึ! เอาความหวังดีของแม่ไปเตือนเจ้านายที่แม่รักแม่บูชาโน่นเถอะ คนอย่างไอ้เจตน์ไม่ได้เกิดมาเพื่อแพ้!”
“แม่รู้จักคนตระกูลนี้ดี นายเอื้อนิสัยเหมือนนายใหญ่ เด็ดขาดและทำตามคำพูดเสมอ”
“แล้วยังไง!”
“ไม่แล้วยังไงหรอก เอาเป็นว่าถ้าหายนะมาถึงเมื่อไร อย่ามาขอให้แม่ช่วยก็แล้วกัน ที่ผ่านมาแม่ช่วยเจตน์มาเยอะจนกลายเป็นความเคยตัวไปแล้ว ถ้ายังคิดจะทำอะไรไม่ดีอีก แม่คงต้องให้นายเป็นคนตัดสินใจเอง” พูดจบป้ามะลิก็เดินแยกตัวลงไปข้างล่างทันที
บัวตองกับนงนุชรีบชวนกันตามลงไปติดๆ ทิ้งให้เจตน์หงุดหงิดใจอยู่กับคะนิ้งตามลำพัง โดยไม่รู้เลยว่าสายตาของอาชายังคงจับจ้องอยู่ตลอด จนกระทั่งสองหนุ่มสาวพากันแยกย้ายลงไปข้างล่าง
