บทที่ 1
นาฬิกาแขวนผนังบอกเวลาจวนจะเที่ยงคืนอยู่รอมร่อ เวลานี้ดึกสงัดเกินกว่าจะออกมายืนรับลมอยู่ตรงระเบียงของห้องนอน แต่ในช่วงที่หนักหนาต่อความรู้สึกแบบนี้ มันยากนักที่จะข่มตาให้หลับลงได้ ร่างบอบบางในชุดนอนสีชมพูอ่อนหลับตาพริ้ม ปล่อยให้สายลมผะแผ่วโลมเลียใบหน้าและพัดพาเรือนผมนุ่มสลวยให้ปลิวสยายเต็มแผ่นหลัง
ปกติหญิงสาวมักหลับสนิทไปตั้งแต่ช่วงหัวค่ำของทุกวัน เพราะต้องตื่นเช้ามืดมาทำขนมหวานส่งให้ตามร้านรวงต่างๆ เป็นการหารายได้มาแบ่งเบาภาระครอบครัวด้วยอีกทาง เนื่องจากพักหลังมานี้สถานการณ์ภายในบ้านเริ่มย่ำแย่ เธอจึงนำฝีมือในการทำขนมโบราณที่คุณย่าเคยสอนไว้ก่อนสิ้นลมมาใช้ทำมาหากิน ช่วงชีวิตส่วนใหญ่รินนารานั้นมักขลุกอยู่กับคุณย่าเสมอ ท่านเป็นคนอบรมสั่งสอนเธอให้เป็นกุลสตรี แต่ก็ไม่ได้ยัดเยียดมากเสียจนทำให้เธอกลายเป็นแม่สาวหัวโบราณ
รินนารา วรชาติ เจ้าของใบหน้าสวยหวานหยดย้อยวัยยี่สิบห้าปี อาศัยอยู่ที่บ้านหลังใหญ่แห่งนี้มาตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ หลังจากที่มารดาของเธอเสียชีวิตไป เมื่อตอนที่ให้กำเนิดเธอได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง สิบปีให้หลังบิดาก็แต่งงานอีกครั้งกับดวงยิหวา น่าเศร้านักที่เริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ไม่นาน บิดาก็ต้องมาจากไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ เหลือเพียงรินนารากับดวงยิหวาเท่านั้นที่ยังอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ต่อไป พร้อมด้วยหนี้สินมากมายที่ผู้เป็นแม่เลี้ยงได้ก่อเอาไว้จนพอกพูน สิ่งนี้เองที่ทำให้เธอต้องเดินทางไปยังเกาะแห่งหนึ่งของจังหวัดภูเก็ตในเช้าวันรุ่งขึ้น เพื่อขอเจรจาเรื่องการผ่อนผันหนี้สินกับเจ้าหนี้รายใหญ่
เจ้าหนี้ที่ครั้งหนึ่งเคยวิ่งเล่นด้วยกันอย่างสนิทสนม…
รินนารายิ้มอ่อนโยนเมื่อนึกถึงเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อน เธอได้รู้จักกับหนุ่มรุ่นพี่ที่อายุห่างกันห้าปี เขาเป็นคนน่ารักอ่อนโยน มีรอยยิ้มอบอุ่นให้กับเธอทุกครั้งที่พบหน้ากัน นอกจากจะอยู่บ้านใกล้เรือนเคียงมีเพียงรั้วกั้นแล้ว ยังเรียนอยู่ที่โรงเรียนเดียวกันด้วย ฉะนั้นรินนาราจึงได้ใกล้ชิดกับเขามากเป็นพิเศษ เนื่องจากบิดาของเธอขอให้ชายหนุ่มช่วยพาเธอกลับบ้านพร้อมกันในทุกวัน ดูเหมือนเขาจะไม่อิดออดหรือรำคาญใจใดๆ เพราะยังอาสาพาเธอไปโรงเรียนพร้อมกันทุกเช้าอีกด้วย จนกระทั่งเขาเรียนจบมัธยมปลายและสอบติดมหาวิทยาลัยชื่อดังในเชียงใหม่ ครอบครัวของเขาจึงพากันย้ายไปจากที่นี่
เด็กหญิงรินนาราแอบร้องไห้อยู่นานกับการจากไปของพี่ชายข้างบ้าน แต่เวลาที่เคลื่อนคล้อยผ่านไปทำให้เขากลายเป็นเพียงแค่ความทรงจำอันงดงาม นอกจากนั้นยังเปรียบเสมือนรักครั้งแรกที่ฝังอยู่ในใจของหญิงสาวอีกด้วย คิดมาถึงตรงนี้หัวใจดวงน้อยก็เต้นรัวอย่างประหลาด พรุ่งนี้แล้วสินะที่จะได้พบกันอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเขาจะเติบโตมากขึ้นแค่ไหน แล้วจะยังคงเป็นผู้ชายที่อบอุ่นอ่อนโยนแบบเดิมอยู่หรือเปล่า
“เฮ้อ ลูกหนูหวังว่าพี่เอื้อคงจะไม่ใจร้ายกับคุณดวงนะคะ” รินนาราภาวนา ขอให้การเดินทางไปเจรจาเรื่องผ่อนชำระหนี้ เป็นไปตามที่ดวงยิหวาคาดไว้ ไม่อย่างนั้นทางออกสุดท้ายก็คือต้องขายบ้านหลังนี้ กระนั้นก็ใช่ว่ามันจะเพียงพอต่อหนี้สินที่มี บ้านหลังนี้มีมูลค่าแค่ห้าล้านบาทเท่านั้น แต่หนี้ก้อนใหญ่ที่ดวงยิหวาใช้ความเป็นคนเคยรู้จัก หยิบยืมมาจากครอบครัวชายหนุ่ม สูงถึงสิบล้านบาทเลยทีเดียว
ยิ่งคิดก็ยิ่งเพิ่มความวิตก สุดท้ายรินนาราจึงตัดสินใจพาตัวเองกลับไปนอนบนเตียงกว้าง ลืมตามองความมืดอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเผลอหลับไป มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่แสงสว่างส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง ถือเป็นความโชคดีที่เมื่อคืนลืมปิดผ้าม่าน ไม่อย่างนั้นเธอต้องเดินทางไปถึงสนามบินไม่ทันขึ้นเครื่องแน่
ร่างบางในชุดกระโปรงสีโอลด์โรสที่ยาวระดับเข่ารีบหิ้วกระเป๋าสะพายเดินลงมาข้างล่าง ไม่ลืมเช็กดูอีกครั้งว่าไม่ได้ลืมเอกสารสำคัญอย่างบัตรประจำตัวประชาชน เมื่อมั่นใจว่าพร้อมแล้วก็ตั้งท่าจะก้าวเท้าออกจากบ้านไป ดวงยิหวาที่กำลังเดินออกมาจากห้องรับแขกเห็นเข้าพอดี จึงรีบร้องเรียกไว้ก่อน
“เดี๋ยวก่อนลูกหนู”
“คะคุณดวง” รินนาราหันมาสบตา สีหน้าเรียบเฉยเป็นปกติ
“เดินทางดีๆ ล่ะ นี่เงิน เอาไปไว้ใช้จ่ายส่วนตัวนะ” แม้เวลานี้เงินทองจะร่อยหรอ แต่ผู้เป็นแม่เลี้ยงก็ไม่คิดจะไร้น้ำใจ แบ่งปันเงินที่ยังพอมีเหลือเก็บให้หญิงสาวไปสามพันบาท “แล้วอย่าอดข้าวเด็ดขาดเลยนะ รู้ไหมว่าผอมจนตัวจะปลิวอยู่แล้ว”
“คุณดวงเก็บไว้เถอะค่ะ ลูกหนูยังพอมีอยู่ ค่าตั๋วเครื่องบินก็จ่ายเรียบร้อยหมดแล้ว”
