๗ เริ่มต้นการต่อสู้ (๒)
“ผมจะถามคุณเกี่ยวกับเรื่องละครที่ยังหานางเอกไม่ได้” แค่เกริ่นเรื่องก็เริ่มเครียดเสียแล้ว ถ้าล่าช้าเกินไปงบก็ต้องบานปลาย แน่นอนว่าทางบริษัทต้องออกให้ทว่ามาพร้อมความกดดันที่ผลงานต้องออกมาดีและสร้างกำไรมหาศาลเท่านั้น
“ตอนนี้กำลังเร่งแคสติ้งค่ะ” หานางเอกและผู้หญิงที่ตรงตามคาแรคเตอร์ทั่วฟ้าเมืองไทย แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ถูกใจสักที
“ไม่ต้องหาแล้ว ผมมีคนที่ตรงกับบท” เรนิตานิ่งไปครู่หนึ่ง นั่นเป็นการบังคับกลายๆ ให้เด็กของตนเองลงละคร ซึ่งก็มีหลายครั้งที่เด็กเส้นได้เล่นเป็นตัวเอก บางคนก็มีฝีมือจริงซึ่งเธอก็ไม่ได้ว่าอะไร ทว่าบางคนเนี่ยสิที่เล่นแข็งอย่างกับหิน
ก็ต้องเข็นกันให้ตลอดรอดฝั่ง เหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจจนไม่อยากรับเด็กพวกนี้มาเป็นหนึ่งในตัวละคร ยิ่งถ้าใครเป็นตัวเอกที่ต้องแบกทั้งเรื่องยิ่งแล้วใหญ่
เธอได้แต่ภาวนาไม่ให้มันเป็นเช่นนั้น..
“นี่รูปเขา สัปดาห์หน้าก็ฟิตติ้งเลยแล้วกัน เดี๋ยวมันจะเลยกำหนด ต้องฉายพร้อมประเทศจีนด้วย” รับรูปภาพมาดูก่อนจะเบิกตากว้าง แทบไม่เชื่อตาตัวเองว่าต้องรับผู้หญิงคนนี้มาเป็นนางเอกละครที่ทุ่มเทเขียนบทจนดึกดื่น หาข้อมูลจนไม่ได้หลับได้นอน
กิรนันท์เนี่ยนะ!
“ทำไมเป็นผู้หญิงคนนี้คะ” ถามขึ้นทันทีด้วยเสียงที่เข้ม ดวงตาเรียวกดดันคนนั่งตรงข้ามหลงลืมสถานะไปชั่วขณะ
“เขาตรงตามบทที่วาง ผมอ่านเรื่องย่อคร่าวๆ ก็คิดว่าเหมาะสม” หาเหตุผลที่หล่อนไม่เชื่อสักนิด ถ้าดูจากบทแล้วได้นักแสดงที่เหมาะสมเลยพวกเธอคงไม่ต้องเหนื่อยแคสติ้งหรอก
แบบนี้เด็กขายน้ำแข็งก็คงเป็นนางเอกได้
“เด็กเส้นของใครคะ คุณพิธานอย่างนั้นเหรอ” ถามตรงไม่เกรงใจคนอายุมากกว่าสักนิด
คุณสันติทำหน้าไม่ชอบใจจนเธอนึกขึ้นได้ว่าเขาเป็นผู้อนุมัติงบในการทำละคร และเป็นประธานบริษัทที่ตนทำงานอยู่ด้วย การใช้คำพูดเมื่อสักครู่ไม่สุภาพนักและค่อนข้างเสียมารยาทจนต้องปิดปากเงียบเช่นเดิม
“ที่จริงมันก็ไม่ใช่หน้าที่ผมต้องมาตอบความอยากรู้ของคุณ แต่ในเมื่อถามผมก็จะบอกให้แล้วกัน ใช่ เธอเป็นคนที่คุณพิธานฝากเป็นนางเอก พร้อมเงินสนับสนุนละครอีกสามล้านบาท ซึ่งมันช่วยให้คุณทำงานช้าได้อีกสองสัปดาห์”
เรนิตากำมือแน่นเมื่อรู้ว่าพิธานฝากฝังกิรนันท์ไม่พอยังทุ่มเงินอีกตั้งสามล้าน พยายามไม่แสดงสีหน้าโกรธออกไปแต่ก็ทำได้ยากเหลือเกิน หล่อนหยิบรูปของผู้หญิงหน้าไม่อายมาถือไว้แล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
“ถ้าอย่างนั้นขอตัวนะคะ สวัสดีค่ะ” ยกมือไหว้ก่อนเดินออกจากห้องทันที โกรธจนหน้าแดงก่ำ ใครเข้ามาในครรลองสายตาก็โดนจ้องราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
ปล่อยไว้ไม่ได้เสียแล้ว แบบนี้คงต้องบุกไปหาเพื่อคุยให้รู้เรื่อง
ว่าที่นางเอกหน้าหวานนั่งรับประทานผลไม้อย่างมีความสุข ดูละครช่องที่ตนเองกำลังจะไปเล่นเป็นนางเอก ใบหน้าเปล่งปลั่งราวเป็นคนละคนกับหญิงเมื่อวานซึ่งเอาแต่ร้องไห้ พิธานช่างดีกับหล่อนเสียเหลือเกิน แบบนี้จะให้เลิกได้อย่างไร
ปัญหาแม่ผัวลูกสะใภ้ก็มีกันถมไป ถ้าอยู่ด้วยกันยากนักก็แค่ให้ชายหนุ่มย้ายมาอยู่กับเธอเท่านั้นเอง จะเหลือก็แต่เรื่องเรนิตาเท่านั้น แต่ไม่ใช่เรื่องยากนักหรอกในเมื่อพิธานไม่ได้ชอบอีกฝ่ายสักหน่อย คิดพลางยิ้มเยาะเย้ย
เคยเป็นแต่ที่หนึ่ง ลองมาเป็นที่สองต้องตามหลังเธอบ้างคงเจ็บใจน่าดู ดวงตากลมโตจ้องโทรทัศน์แล้วสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ของคอนโด
ลุกขึ้นพลางดึงเสื้อยืดลงค่อยเดินไปรับสาย กรอกเสียงลงไปปกติก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อได้ยินชื่อของคนที่มาเยือน
“อะไรนะคะ เขาบอกว่าชื่อเรนิตาจริงเหรอ” ตั้งตัวไม่ทันใครจะคิดว่าอดีตเพื่อนจะมาหาตนเองถึงคอนโด และไม่ต้องให้เดาก็รู้ทันทีว่าธุระคืออะไร
ทว่าพอมองชุดที่ตัวเองใส่ก็เริ่มคิดหนัก หน้าแต่งแล้วขอแค่เปลี่ยนชุดไม่ให้ดูน่าสมเพชก็พอ อยากสวยในสายตาของคู่อริบ้าง
‘ค่ะ เธอบอกต้องการคุยกับคุณเป็นการส่วนตัวบนห้อง’ คิดหนักเมื่อแขกแสดงความต้องการเช่นนั้น
“ให้ขึ้นมาเลยก็ได้ค่ะ” รีบวางสายทันทีแล้วตรงไปยังห้องแต่งตัว เลือกชุดเดรสสำหรับใส่อยู่บ้านซึ่งแพงที่สุดมาสวม มัดผมไม่ให้ดูกระเซอะกระเซิงก่อนที่จะได้ยินเสียงกริ่ง ตรวจความเรียบร้อยอีกครั้งจึงได้เดินไปที่ประตู
เปิดออกช้าๆ ก่อนจะสบสายตาเข้ากับแขกสาวที่สวยตั้งแต่หัวจรดเท้าจนน่าอิจฉา เรนิตาน่ามองไปทุกสัดส่วนจนหล่อนยังสงสัยว่าเหตุใดพิธานจึงได้นอกใจอีกฝ่ายมาหาตนเอง แล้วแบบนี้เขาจะมั่นคงต่อเธอจริงหรือเปล่า
แขกสาวเข้ามาข้างในพลางสำรวจโดยรอบ ยกยิ้มมุมปากเมื่อของภายในแทบไม่มีอะไรเลย มองผลไม้ที่วางไว้บนโต๊ะหน้าจอโทรทัศน์ก็ทราบทันทีว่าอีกฝ่ายคงกำลังว่างงานสุดๆ ถึงขนาดนั่งรับชมละครในช่องที่เธอทำงานอยู่
“ฉันมายินดีกับเธอที่จะเข้ามาเป็นนางเอกละคร ในสังกัดที่ฉันดูแล” นั่งลงยังโซฟายาวที่เป็นรูปตัวแอล ขณะที่เจ้าของห้องก็เดินไปเก็บจานแล้วนำน้ำมาเสิร์ฟ ค่อยนั่งลงใกล้กับเพื่อนที่ไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่นัก
“ไม่เห็นต้องมาด้วยตัวเองเลย ยังไงสัปดาห์ฉันก็ต้องไปฟิตติ้งอยู่แล้ว” พูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตีหน้าซื่อราวกับว่าเรนิตาไม่รู้เรื่องเพื่อนทรยศ
“ไม่ได้สิ ฉันก็ต้องมาแสดงความยินดีกับเธอก่อน อยากดูหน้าว่าที่นางเอกสักหน่อยว่าด้านแค่ไหนถึงได้ทำเป็นไม่รู้บาปไม่รู้บุญยุ่งกับแฟนคนอื่นแบบหน้าไม่อาย” นั่งไขว้ห้างพลางยกมือขึ้นค้ำคาง จ้องกิรนันท์นิ่งขณะที่ริมฝีปากแสยะยิ้มราวสมเพช
“เธอพูดอะไร” ถึงใจจะเต้นแรงมากแค่ไหนแต่ที่แสดงออกให้คนตรงข้ามเห็นคืออาการไม่รู้ไม่ชี้ จนเรนิตาหัวเราะร่วน พลางยกมือขึ้นมาปรบเสียงดัง
“ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมให้เธอมาเป็นนางเอก ตีบทผู้หญิงแสนซื่อเก่งจริงๆ เลยนะ ถ้าฉันไม่ฉลาดคงดูแทบไม่ออกว่าเธอร้ายแค่ไหน” ตอกกลับแล้วทำหน้านิ่ง ขณะที่คนโดนว่าเริ่มไม่ชอบใจเสียแล้ว ทั้งที่พูดดีด้วยแล้วทำไมถึงประชดประชันกันอยู่ได้
ในเมื่อคนที่พิธานเลือกคือเธอ อีกฝ่ายก็ควรจะถอยห่างไม่ใช่เหรอ ไม่ใช่ตามราวีผู้หญิงที่ชายหนุ่มรัก กิรนันท์คิดเอาแต่ได้ไม่สนว่าตนเองเป็นฝ่ายมาทีหลังสักนิด
“เธอต้องการอะไรกันแน่” ไม่อยากคาดเดาเลยถามไปตรงๆ แล้วแขกคนสวยก็ไม่อ้อมค้อมเช่นเดียวกัน เธอจ้องผู้หญิงหน้าไม่อายด้วยแววตาโกรธแค้น
“ถ้าฉันบอกให้เธอเลิกยุ่งกับพี่ทีม คนอย่างเธอก็คงไม่ทำตามหรอก ขนาดแม่เขาไล่ออกจากบริษัทยังใช้มารยาให้พี่ทีมพามาเป็นนางเอกได้ เหนือชั้นเชิงจนฉันอยากมอบรางวัลให้จริงๆ”
คิดไว้ไม่มีผิดว่าอีกฝ่ายต้องรู้เรื่องนี้ ตอนแรกก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่แต่ได้ยินประโยคเมื่อครู่ทำให้มั่นใจว่าเรนิตารู้เรื่องของเธอกับพิธานเป็นอย่างดี อาจจะรู้มานานแล้วด้วยซ้ำทำให้จากที่คิดว่าอยู่เหนือกว่าต้องพังทลายลง
สุดท้ายเธอก็ด้อยกว่าอีกฝ่าย...
“ที่ฉันไม่เข้ามาห้ามหรือยุ่งเกี่ยวเพราะคิดว่าเขาคงแค่เล่นๆ กับเธอ ฉันเข้าใจว่าช่วงนี้ตัวเองงานยุ่งไม่ค่อยมีเวลาให้พี่ทีมเท่าไหร่ จะหาเศษหาเลยกับผู้หญิงง่ายๆ ก็ไม่แปลก และดูเหมือนเธอก็ยอมเล่นกับเขาด้วยสิ ง่ายอย่างที่คิดจริงด้วย” ยิ้มขำขันขณะที่แววตาสมเพชผู้หญิงตรงหน้าเหลือเกิน
คนฟังเม้มปากแน่น ไม่คิดว่าต้องมาโดนถากถางในห้องของตนเอง กำมือแน่นแล้วลุกขึ้นเต็มความสูงที่มี 165 เซนติเมตร มองตอบกลับอย่างไม่ยอมแพ้เช่นเดียวกัน มาถึงขั้นนี้คงไม่มีอะไรต้องปกปิดกันอีกต่อไปแล้ว
“ใช่ ฉันกับคุณทีมเรากำลังคบกัน และเขาก็รักฉันไม่ใช่เธอ เขาบอกว่าจะไปเลิกกับเธอ” บอกน้ำเสียงฉะฉาน ทำเอานักบริหารสาวต้องลุกขึ้นพลางหัวเราะเสียงดัง ไม่อยากจะเชื่อว่ากิรนันท์จะเอาจริงเอาจังกับคำพูดลวงหลอกพวกนั้น
ถ้าเป็นเธอคงไม่เชื่อสักนิด พิธานก็แค่ผู้ชายมักมายจับปลาสองมือ ถ้าไม่ติดที่อยากเอาชนะป่านนี้คงทิ้งเขาไปนานแล้ว
“แล้วเธอก็เชื่อเขาอย่างนั้นเหรอ ถามจริงเถอะ วิ่งอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์สนุกไหมจ๊ะ มองโลกในแง่ดีเกินไปหรือเปล่า อ่อนหัดเรื่องผู้ชายสินะ เดี๋ยวฉันจะสอนให้ว่าการที่เขาพูดแบบนั้นหมายถึงต้องการจะเก็บเธอไว้เป็นเมียน้อย ไม่ออกหน้าออกตา ให้อยู่ในมุมเงียบๆ เข้าใจหรือเปล่า”
มองคนตัวเล็กกว่าที่เม้มปากแน่น ดวงตาแดงก่ำเหมือนจะร้องไห้ อายุปูนนี้แล้วปีหน้าก็จะสามสิบไม่อยากเชื่อเลยว่าอ่อนต่อโลกขนาดนี้ ผู้ชายเข้ามาพูดดีด้วยป้อยอหวานนิดหน่อยก็อ่อนระทวย ไม่สงสัยเลยว่าเหตุใดถึงกลายเป็นมือที่สาม
โง่ให้เขาหลอกแบบนี้ไง...
“คุณทีมไม่ใช่คนแบบนั้น เขารักฉัน เขาเลือกฉันไม่ใช่เธอ” มั่นใจในตัวเองและคำพูดของชายหนุ่ม มองแววตาเขาออกว่าหลงรักเธอมากแค่ไหน
แล้วผู้ชายคนนั้นเหรอจะโกหกกันได้ลงคอ ไม่มีทางหรอก เรนิตาก็แค่อยากทำให้เขวเพื่อจะได้เข้ามาแย่งชิงเขา มันต้องเป็นอย่างนั้นแน่
“แล้วเธอคิดว่าครอบครัวของเขาจะรับได้ไหมล่ะกับลูกสะใภ้ที่ครอบครัวไม่มีอะไรเลย แถมยังเข้ามาด้วยการเป็นมือที่สามอีก แค่คิดจะเริ่มก็แพ้แล้ว ทุกวันนี้ความรักอย่างเดียวมันไปกันไม่รอดหรอกนะ เธอกับพี่ทีมอยู่คนละสังคมกัน ที่ฉันบอกก็เพราะความหวังดี” เข้าไปตบไหล่เล็ก ทว่าเจ้าของห้องกลับสะบัดหนี
“ฉันไม่เชื่อเธอหรอก เธอก็แค่อยากได้เขาคืน” เกือบจะหลุดหัวเราะออกมาแล้วแต่ยั้งไว้ได้ทัน
ผู้หญิงเลือกได้อย่างเธอน่ะเหรอต้องการชายหนุ่มที่ทรยศตนเอง ที่มีให้ตอนนี้ไม่ใช่ความรักสักนิด ก็แค่อยากเอาชนะ ให้พิธานรู้ซะบ้างว่าอย่ามาเล่นกับความรู้สึกหล่อน!
“ฉันไม่ได้จนตรอกเหมือนเธอ เฮ้อ ฉันต้องไปทำงานแล้ว แวะมาแสดงความยินดีด้วยเฉยๆ ไว้เจอกันสัปดาห์หน้านะ” โบกมือลาแล้วหยิบกระเป๋าแบรนด์ดังมาคล้องแขนเอาไว้
เดินออกจากห้องของกิรนันท์ทันทีปล่อยให้อีกฝ่ายยืนอยู่กับที่พลางคิดหนัก คำพูดของเรนิตาเชื่อถือได้แค่ไหนกัน...
แต่นั่นไม่สำคัญในเมื่อเธอตัดสินใจแล้วว่าจะเดินหน้า ถึงทางมันจะคดเคี้ยวหรือยากลำบากมากเพียงใด ขอแค่มีพิธานอยู่ข้างกายก็พอแล้ว
