๗ เริ่มต้นการต่อสู้ (๑)
๗
เริ่มต้นการต่อสู้
พิธานโทรศัพท์หาหญิงสาวที่เพิ่งแยกกันตอนเช้าด้วยความร้อนรน หล่อนไม่รับสายเขาเลยทั้งที่เพียรโทรหาเกือบยี่สิบสายแล้ว งานก็เยอะจนปลีกตัวไปไหนไม่ได้ คืนนี้ต้องไปร่วมงานแต่งของคนรู้จักอีก มารดาบอกให้เขาควงคู่กับเรนิตาโดยบอกนักบริหารสาวเรียบร้อยแล้ว คงเป็นการยากถ้าจะปฏิเสธ
สุดท้ายก็ตัดใจวางเครื่องมือสื่อสารก่อนทำงานตรงหน้าให้เรียบร้อย พอมีเสียงดังจากจอสี่เหลี่ยมขนาดเล็กก็รีบหยิบขึ้นมาดู เห็นชื่อปลายสายก็ลอบถอนหายใจ ค่อยกดเลื่อนเพื่อรับสายแล้วกรอกเสียงลงไป
“ครับตาต้า” เป็นแฟนสาวของเขานั่นเอง หล่อนคงโทรมาเรื่องงานเย็นนี้
‘เดี๋ยวต้าไปรอพี่ทีมที่บ้านของพี่นะคะ พอดีคุณแม่อยากให้ชิมขนมที่ท่านทำน่ะค่ะ’ เข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยเหลือเกิน แล้วอย่างนี้เขาจะปฏิเสธได้หรือ
“ครับ แค่นี้ก่อนนะพี่ต้องรีบทำงาน” หาทางตัดสายค่อยเอนกายพิงเก้าอี้ ถ้าไม่ยุ่งกับเรนิตาแต่แรกก็คงดีกว่านี้ หรือไม่เจอกิรนันท์ก่อนก็ดี เขาคงขอเธอเป็นแฟนเพียงคนเดียว ไม่ต้องปวดหัวกับรักสามเส้าที่มีตนเองเป็นคนกลาง
จะบอกเลิกแฟนก็พูดยาก จะรักกับอีกคนมันก็ไม่ง่ายในเมื่ออยู่ในวงสังคมที่ถูกจับจ้องตลอดเวลา ถ้าเป็นข่าวแม้แต่นิดเดียวรู้กันไปหมดทั้งบาง
คิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรกับชีวิตตอนนี้ กระทั่งตัดสินใจโทรหากิรนันท์อีกครั้ง ถ้าเธอไม่รับสายหลังกลับจากงานแต่งค่อยไปหาที่คอนโดก็แล้วกัน
‘ฮัลโหล’ ใบหน้าคมยิ้มออกมาทันที ลุกจากเก้าอี้แล้วหยิบสูทมาถือไว้ค่อยเปิดประตูออกจากห้อง ไม่สนใจงานด้วยซ้ำ ลืมความตั้งใจเสียสนิทว่าจะไปหากิรนันท์ทีหลัง
“อยู่ที่ไหน ผมจะไปรับ” เลขาหน้าห้องยืนขึ้นกำลังจะทัก เขาเลยบอกเสียงเบาว่า ‘กลับบ้าน พรุ่งนี้จะมาเซ็นแต่เช้า’ ฝ่ายนั้นทำหน้ายุ่งยากแต่ตามเจ้านายไม่ทันเสียแล้ว ร่างสูงกดลิฟต์ลงไปข้างล่างไม่หันมามองอีกเลย
รีบอะไรขนาดนั้นก็ไม่รู้
‘คอนโดค่ะ’ เสียงของหล่อนอู้อี้จนคิ้วหนาขมวดเข้าหากัน
“เป็นอะไรทำไมเสียงไม่สดใสเลย ป่วยเหรอครับ” ถามด้วยความเป็นห่วง แต่เธอก็ไม่ตอบกลับจึงเกิดความเงียบระหว่างกันขึ้น
พิธานรู้ทันทีว่ามีเรื่องเกิดขึ้นกับหญิงสาวเป็นแน่ มือหนากดไปยังชั้นลานจอดรถวีไอพี ขณะที่หูแนบโทรศัพท์ฟังว่าคนรักพูดอะไร
“เดี๋ยวผมจะรีบไปหา” กดวางสายแล้วออกจากเครื่องโดยสาร ตรงไปยังรถยนต์ของตัวเองจุดหมายคือคอนโดของหญิงสาวที่เป็นดั่งคนรัก ใจมันร้อนรนอยากรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นอะไรทำไมถึงมีน้ำเสียงผิดปกติ หรือจะเกิดอะไรไม่ดีขึ้น
ยิ่งคิดก็เหยียบคันเร่งจนเกือบมิด เขาบีบแตรเพื่อไล่รถคันข้างหน้าที่ขับขวาง วันนี้ขอทำตัวขวางโลกสักวันเพราะห่วงกิรนันท์เหลือเกิน
จนกระทั่งมาจอดยังคอนโดที่หล่อนอาศัย รู้ห้องของร่างบางถึงได้เข้าไปข้างใน แตะคีย์การ์ดที่เธอเคยเอาให้เมื่อเข้ามาภายในลิฟต์ ขึ้นสู่ชั้นที่ร่างบางอาศัย จำหมายเลขห้องขึ้นใจ เมื่อประตูเปิดออกก็เดินแกมวิ่งกระทั่งหยุดอยู่หน้าห้องของคนตัวเล็ก
กดกริ่งแล้วรอสักพัก ได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาก่อนประตูจะถูกเปิดออก ร่างสูงรีบเข้าไปข้างในพลางจับไหล่คนรักแล้วจ้องใบหน้าหวานนิ่ง เห็นดวงตาแดงก่ำราวผ่านการร้องไห้มาก็ทำหน้าเครียด จับจูงเธอให้ตามมาแล้วค่อยนั่งลงที่โซฟา
“เป็นอะไร ใครทำกี้ บอกผมได้ไหม” จับมือเล็กแน่นไม่ยอมปล่อย
“เราเลิกติดต่อกันเถอะค่ะ” หล่อนนั่งข้างเขาก่อนจะก้มหน้ามองตักตนเอง ไม่กล้าสบตาชายหนุ่มกลัวว่าจะเผลอร้องไห้อีกครั้ง
พิธานนิ่งอึ้งจับต้นชนปลายไม่ถูก ทั้งที่เมื่อเช้าก็ยังปกติดีแท้ๆ มันเกิดอะไรขึ้นระหว่างที่ห่างกันอย่างนั้นเหรอ เขาดึงเธอเข้ามาใกล้มากกว่าเดิม เชยคางมนให้เงยเพื่อสบตากัน อย่างน้อยถ้าจะเลิกก็ขอให้ออกมาจากใจจริง
ไม่ใช่พูดอย่างจำยอม
“ทำไมเราต้องเลิกกัน ในเมื่อผมรักกี้ หรือว่ากี้ไม่รักผมแล้ว” คนฟังส่ายหน้าทันทีก่อนจะเม้มปากแน่น ไม่กล้าบอกความจริงให้เขาทราบ
“ถ้ากี้ยังรักผม แล้วทำไมเราต้องเลิกกัน ผมไม่เลิกหรอกนะ” พูดชัดเจนให้คนรักได้ทราบถึงความตั้งใจ ทั้งที่จริงพิธานยังไม่เลิกรากับเรนิตาด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจจับปลาสองมือและมันก็เริ่มควบคุมไม่อยู่เสียแล้ว
“กี้ถูกไล่ออกค่ะ ฮึก” กลืนก้อนสะอื้นแล้วบอกเขาเสียงแผ่ว เข้าไปกอดชายหนุ่มอย่างต้องการหาคนพึ่งพิงทั้งที่เพิ่งบอกเลิก ร่างสูงกอดหล่อนเอาไว้ด้วยความสงสาร ยิ่งได้ยินเสียงร้องไห้ปานจะขาดใจก็กระชับแน่นขึ้น
“ไม่เป็นไร คนเก่งแบบคุณเดี๋ยวก็หางานใหม่ได้ ผมจะช่วย” ลูบแผ่นหลังบางอย่างปลอบปะโลม ก่อนจะนึกได้ถึงเรื่องสำคัญที่เพิ่งเข้าประชุมเมื่อวันก่อนกับบอร์ดบริหาร พวกเขาทุ่มเงินให้ช่องโทรทัศน์เพื่อโฆษณาสินค้าของตนเอง
ทั้งเลือกพรีเซนเตอร์ที่ยังตัดสินใจไม่ได้สักทีว่าจะให้ใครมาทำหน้าที่นี้ กระทั่งความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา ผละจากร่างบางแล้วจ้องมองใบหน้าหวานก่อนยิ้มเจ้าเล่ห์ เช็ดน้ำตาออกให้อย่างอ่อนโยนแล้วเอ่ยประโยคที่ทำให้กิรนันท์อ้าปากค้าง
“กี้อยากเป็นดาราไหม”
“ติดต่อตาทีมไม่ได้เลยเหรอ” คุณรวิภาถามเสียงเครียด ลูกชายคนโตอย่างพิภัชส่ายหน้าแล้วพยายามกดโทรออกอีกครั้ง เขาเพิ่งกลับเข้าบ้านหลังจากต้องนั่งเซ็นอนุมัติหลายโครงการ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ทำงานหนักเนื่องจากใกล้ที่สินค้าตัวใหม่จะออกวางจำหน่ายแล้ว
ลูกสาวตัวเล็กออกจากห้องครัววิ่งมาหาบิดา ขณะที่เรนิตาถือจานขนมวางลงที่โต๊ะเล็กยังห้องรับแขก เธอทำคุกกี้มาฝากหลานตัวน้อยเพื่อเอาใจ และดูเหมือนจะได้ผลเพราะเด็กหญิงกินไม่ยอมหยุด
“พี่ทีมยังไม่มาเหรอคะ” มองท้องฟ้าที่เริ่มมืดก่อนจะถามคุณรวิภา ท่านพยายามยิ้มแต่มันก็ยากเสียเหลือเกิน
“น่าจะรถติดน่ะลูก แม่พยายามโทรหาเหมือนกัน” เรนิตาพยักหน้าเข้าใจ แล้วเข้าครัวเพื่อเอาผลไม้ที่จัดใส่จานมาให้ทุกคน หล่อนอยู่ในชุดเดรสปักเลื่อมสีโอลด์โรส ผมถักเปียข้างเดียวประดับด้วยมุกสีขาว ใบหน้าแต่งอ่อนๆ แต่งามจับตาจนหลานสาวชมไม่ขาดปาก
“น้าต้าสวยมากเลยค่ะ เหมือนเอลซ่าเลย” จับจูงมือกันเข้าครัวทำให้ครอบครัวพัฒนพลอยู่กันสองคน ร่างสูงมองมารดาแล้วเข้าไปหาท่าน
“ยาดมครับคุณแม่” ยื่นยาดมให้และคุณผู้หญิงก็รับไปสูดดมทันที วิงเวียนคล้ายจะเป็นลมเหนื่อยกับพฤติกรรมของบุตรชายคนเล็กเหลือเกิน
โทรศัพท์ไปหาเลขาก็ได้ข่าวว่าลูกชายกลับบ้านนานแล้ว ป่านนี้ควรจะถึงงานกับหนูตาต้าด้วยซ้ำ แต่ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ คิดแล้วก็โมโหจนต้องหยิบเครื่องมือสื่อสารของตนเองแล้วโทรออกหานักสืบที่คุ้นเคยกันอย่างดี
“ไปดูที่คอนโดกิรนันท์ให้หน่อย รถลูกชายฉันอยู่ที่นั่นหรือเปล่า” พิภัชขมวดคิ้วไม่เข้าใจ ค่อยนั่งลงข้างมารดา
“มีอะไรครับคุณแม่” เห็นท่านทำหน้าเครียดจึงถามด้วยความเป็นห่วง คุณรวิภาหันมองลูกคนโตที่ได้ดั่งใจไปเสียทุกอย่าง ขนาดภรรยายังเลือกได้ดีไม่ต้องคอยหนักใจเหมือนคนเล็กที่คว้าแต่ผู้หญิงหิวเงินมาเป็นแฟน
จะยกเว้นก็แต่หนูตาต้าเนี่ยแหละที่เธอชอบ กิริยามารยาทก็งาม ชาติตระกูลสูงส่ง ฉลาดเป็นกรด หน้าที่การงานก็เหมาะสม พร้อมขนาดนี้พิธานยังนอกใจได้ โกรธจนอยากจะจับลูกชายมาตีสักร้อยทีเหลือเกิน
“น้องชายเราน่ะสิ นอกใจหนูตาต้าไปมีคนอื่น แล้วยังคว้าเอาพวกชั้นต่ำมาทำเมีย แม่ล่ะหนักใจกับตาทีมจริงๆ” ว่าแล้วก็สูดยาดม เล่นเอาพิภัชต้องหาพัดมาให้มารดา กลัวว่าท่านจะความดันขึ้นเสียก่อน ช่วงนี้ยิ่งเป็นบ่อยเสียด้วย โกรธอะไรขึ้นมาก็เหมือนความดันขึ้น ต้องรีบทำให้ลงกลัวจะได้พาส่งโรงพยาบาล
เมื่อหลายปีก่อนคุณรวิภาเป็นโรคเกี่ยวกับสมองด้วย กลัวว่าถ้าความดันขึ้นจะทำให้เส้นเลือดแตกจนนำไปสู่ชีวิต ทุกคนถึงได้ระวังเป็นอย่างมากไม่สร้างความเครียดให้ท่าน
“คุณแม่แน่ใจแล้วเหรอครับ”
“ดิมก็รู้ถ้าข่าวไม่ชัวร์แม่ไม่เอามาพูด แล้ววันนี้แม่ไปห้องตาทีมดันเจอผู้หญิงคนนั้น น้องเราหลงมันมากแค่ไหนคิดดูแล้วกัน” เห็นว่าที่ลูกสะใภ้เดินออกมาจากห้องครัวก็เงียบทันที ไม่อยากให้เรนิตารู้ว่าพิธานนอกใจ
“คุณแม่ พี่ดิมคะ กระท้อนลอยแก้วค่ะ” น้องยิหวาถือจานผลไม้ในขณะที่ร่างบางถือถาดของหวานมาวางตรงหน้าคนทั้งสอง ใบหน้าสวยประดับรอยยิ้มอยู่เป็นนิจจนคนเป็นแม่ถอนหายใจ คว้ามือขาวมาจับแล้วเรียกให้นั่งข้างกาย
พิภัชจึงขยับออกไปนั่งโซฟาเดี่ยวกับลูกสาว ปล่อยให้สองสาวต่างวัยนั่งข้างกัน สาวนักบริหารยิ้มหวานให้ท่านเหมือนเดิม
“คุณแม่ลองชิมของว่างก่อนไหมคะ ต้าว่าอีกเดี๋ยวพี่ทีมคงถึง” พูดราวกับรับรู้ว่าตอนนี้ฝ่ายนั้นติดต่อไม่ได้ ใจเธอร้อนรุ่มไม่ต่างกันเพียงแต่กดมันให้ลึก ห้ามแสดงออกเด็ดขาดว่ากำลังนึกคิดอะไร สิ่งที่คุณรวิภารู้เกี่ยวกับหล่อนควรมีแค่เพียงหญิงสาวน่าสงสารที่โดนลูกชายของอีกฝ่ายทรยศ
“แม่ขอโทษนะลูก” ยกมือขึ้นลูบศีรษะอีกฝ่ายอย่างระวัง กลัวจะทำให้ผมเสียทรง
“ขอโทษเรื่องอะไรคะ พี่ทีมมาช้าก็เพราะรถติด คุณแม่อย่าคิดมากเลยนะคะ มากินของหวานให้ชื่นใจดีกว่า” หยิบถ้วยเล็กที่ใส่กระท้อนลอยแก้วให้คุณผู้หญิงของบ้าน พยายามไม่กังวลจนเกินไปถึงตาจะเหลือบมองนาฬิกาบ่อยครั้งก็ตาม
สุดท้ายคืนนั้นเธอก็ไม่ได้ไปงาน และพิธานก็ไม่กลับบ้าน...
เรนิตาไปทำงานด้วยใบหน้าเรียบเฉยแต่ไม่มีใครกล้าเข้ามาคุยด้วยสักคน หล่อนมาประชุมที่บริษัทใหญ่จึงสวมชุดทะมัดทะแมง ไหนต้องออกกองอีกเพราะเพิ่งเปิดกล้องละครอีกเรื่อง ซึ่งเป็นเรื่องความรักวัยรุ่น กดลิฟต์แล้วยืนรอพลางยกมือขึ้นกอดอก
รังสีแผ่ออกจนคนแถวนั้นไม่กล้าเข้าใกล้ อารมณ์เสียตั้งแต่เมื่อคืนที่เป็นแม่สายบัวแต่งตัวคอยเก้อ สุดท้ายคนรักก็ไม่มาและไม่สามารถตามตัวได้ โกรธจนอยากแผดเสียงดังแต่เพราะอยู่ต่อหน้าคุณรวิภาจึงต้องทำหน้าเศร้าแทน
พอมาถึงบ้านก็ได้รับภาพจากนักสืบทันทีว่าพิธานหายไปไหน ที่แท้ก็คลุกอยู่ห้องกับกิรนันท์ และคนที่ถูกทิ้งคือเธอ
มันน่าเจ็บใจเหลือเกิน
ปกติผู้ชายมักจะเลือกหล่อนแทนที่จะเป็นเพื่อนซึ่งไม่มีเสน่ห์สักนิด แล้วทำไมครั้งนี้ชายหนุ่มจึงได้ทำให้เธอขายหน้าได้มากขนาดนี้ กิรนันท์คงหัวเราะเยาะเป็นแน่ที่เหนือกว่า
คิดแล้วก็กำมือแน่นก่อนประตูลิฟต์จะเปิดออก เธอเข้าไปข้างในพร้อมกับพนักงานอีกสองสามคนที่ตั้งใจเว้นตรงกลางไว้ให้ผู้บริหารสาว กดชั้นสูงสุดแล้วกอดอกมองตัวเลข บรรยากาศเย็นยะเยือกจนพนักงานต่างมองหน้ากัน ภาวนาให้ถึงชั้นทำงานของตนโดยเร็ว
กระทั่งตู้โดยสารเหลือเพียงเรนิตาคนเดียว เธอพยายามโทรหาแฟนหนุ่มแต่เขาก็ไม่รับ มันชัดเจนแล้วว่าอีกฝ่ายเลือกใคร ทว่าหล่อนไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้นแน่ แผนการยังไม่จบแค่นี้หรอก คิดจะเล่นกับไฟก็ต้องเจอการเผาไหม้ที่ร้อนแรง
รับให้ได้แล้วกันกี้...
ห้องของผู้บริหารระดับสูงถูกเปิดออก วันนี้หล่อนต้องมาพบประธานบริษัท RED Company สื่อบันเทิงรายใหญ่ที่รวบทั้งละคร หนัง เพลงของประเทศ มีค่ายย่อยมากมายและหนึ่งในนั้นคือ Duck.co.th ที่เธอควบคุม
“สวัสดีค่ะ” ยกมือไหว้คนสูงกว่าวัย แล้วนั่งลงตรงข้าม คุณสันติ กรกิจไพบูรณ์ ผู้ก่อตั้งบริษัทแห่งนี้มาได้กว่าสี่สิบห้าปีแต่กินรวบและก้าวไกลกว่าทีวีช่องที่สร้างมานานเสียอีก อาจเพราะวิสัยทัศน์กว้างไกลเพราะนอกจากจะฉายในไทยยังส่งออกต่างประเทศเป็นเจ้าแรก ทั้งความหลากหลายของเนื้อเรื่องเป็นที่สนใจแก่ประชาชนทั่วไป
ทำให้ชื่อของ RED Company มาเป็นอันดับต้นๆ ของสื่อโทรทัศน์ทรงอิทธิพลแห่งปี และเรนิตาก็ถือหุ้นทั้งยังเป็นบอร์ดบริหารอีกด้วย เธอใช้ความสามารถมาไต่เต้าจนอยู่ระดับนี้โดยอายุยังไม่ถึงสามสิบปีด้วยซ้ำ ถือเป็นบุคคลตัวอย่างของผู้หญิงยุคใหม่
