บทที่ 5
แพรรุ้งหันซ้ายหันขวา สมองกำลังคิดว่าจะเอาเจ้าลูกแมวตรงหน้าฝากไว้ที่ไหนดี เพราะเธอต้องไปทำงานก่อน กว่าจะเสร็จก็อีกหลายชั่วโมง ในเมื่อไม่มีที่ให้ฝากจึงตัดสินใจหอบหิ้วเจ้าลูกแมวไปที่ทำงานด้วย ก่อนจะฝากไว้ที่ป้อมยามแล้วเดินกางร่มคันใหญ่ที่ได้มาจากบุรุษนิรนามฝ่าสายฝนที่จะคงตกต่อเนื่องเข้าไปยังร้านสะดวกซื้อเพื่อซื้อนม รวมถึงผ้าขนหนู
ก่อนจะกลับมาเช็ดขนให้แมว ซึ่งมันก็ยังคงร้องเหมียวๆ เลียหลังมือแพรรุ้งไปมา จากนั้นเธอก็เทนมให้ดื่ม ขณะที่เจ้าแมวกำลังกินนมอย่างเอร็ดอร่อย แพรรุ้งก็เอื้อมมือไปลูบหลังมันเบาๆ ก่อนจะได้ยินเสียงร้องเหมียวๆ ติดกันหลายครั้งเหมือนขอบคุณสำหรับนมอร่อยๆ
“หิวล่ะสิ เดี๋ยวจะพาไปหาบ้านใหม่ให้นะ เพราะฉันคงเลี้ยงแกไม่ได้แน่” น้ำเสียงใสๆ เอ่ยกับเพื่อนร่วมโลกที่คุยกันคนละภาษา ก่อนจะลูบหลังเจ้าแมวเบาๆ แล้วตัดใจพามันไปส่งยังบ้านหลังใหม่ ซึ่งก็คงต้องรอเธอเสร็จงานเสียก่อน เมื่อเจ้าลูกแมวกินนมจนหมด แพรรุ้งก็ฝากฝังให้ลุงยามหน้าบริษัทดูแลเจ้าแมวน้อยแทนเธอ
จากนั้นหญิงสาวก็ขึ้นไปทำงาน ส่วนบ้านหลังใหม่สำหรับเจ้าลูกแมวแพรรุ้งคิดออกแล้วว่าควรเป็นที่ไหน เพราะแค่คิดใบหน้าว่าที่แม่บุญธรรมของเจ้าเหมียวก็ลอยเข้ามาจนแพรรุ้งยิ้มร่า พอพักเที่ยงจึงลงมารับเจ้าลูกแมวก่อนจะพามันตรงไปบ้านหลังใหม่ทันที ฝนก็ช่างตกได้ทั้งวันไม่ยอมหยุด แต่ถึงจะไม่ชอบฝนมากแค่ไหน แพรรุ้งก็ต้องใช้ชีวิตอยู่กับมันให้จงได้ วันไหนฝนตกอย่างเดียวก็ดีหน่อย แต่หากวันไหนฝนมาพร้อมเสียงฟ้าร้อง ฟ้าผ่าเธอก็ต้องมีอันสะดุ้งโหยงยามได้ยินเสียง
เสียงออดที่ดังหน้าบ้าน ทำให้เจ้าของบ้านเดินกางร่มออกมาดู
“มาพร้อมฝนเลยนะแก”
“เหมือนชื่อแกนั่นแหละ” คนพูดยิ้มให้เพราะเพื่อนเธอคนนี้มีชื่อเล่นว่าฝนนั่นเอง แม้จะไม่ชอบฤดูฝนอันเปียกชื้น แต่การมีเพื่อนที่ชื่อว่าฝนมันก็คนละประเด็นกัน
“ทำไมวันนี้มาแท็กซี่ แล้วรถแกไปไหน” ขณะพูดจิตติมา ก็เอื้อมมือไปลูบต้นแขนที่เปียกชุ่มไปด้วยฝนให้แพรรุ้ง
“จอดไว้ที่คอนโด เบื่อรถติดเมื่อเช้าเลยนั่งรถไปไฟฟ้าไปทำงาน แต่มีเหตุด่วนให้ต้องนั่งรถพี่แท็กมาหาแกที่บ้าน”
“เหตุด่วนอะไร เออ...จะอะไรก็ช่าง ตอนนี้เข้าบ้านมาก่อน” เจ้าของบ้านเปิดประตูให้กว้าง เพื่อต้อนรับแขกที่เธอแสนจะสนิทสนม เพราะขืนยังอยู่ตรงนี้นานๆ ก็มีสิทธิ์เปียกมากไปกว่านี้แน่ ดีไม่ดีอาจได้ไข้หวัดเป็นของแถม
แพรรุ้งเดินเข้าบ้านพร้อมกล่องกระดาษที่อุ้มไม่ยอมวาง มืออีกข้างถือร่มคันใหญ่ มองผิวเผินเหมือนคนบ้าหอบฟางไม่มีผิด เมื่อเข้ามาในบ้าน จิตติมาก็เดินไปหยิบผ้าขนหนูมาส่งให้แพรรุ้งเช็ดหน้าเช็ดตา
“แล้วนั่นหอบอะไรมา”
“ในนี้มีของสำคัญ” พูดจบก็มองไปยังลังที่วางอยู่ข้างๆ ตัว แพรรุ้งหาลังมาเปลี่ยนให้เจ้าแมวน้อยแล้ว เพราะลังใบเก่ามันเปียกน้ำจนหอบหิ้วไม่ได้
“ของสำคัญ อะไร” เครื่องหมายคำถามเกิดกับจิตติมาทันที ก่อนจะชะเง้อมองลงไปในกล่อง แต่ก็มองไม่เห็นเพราะปิดฝาอยู่
“ฝนแกรักแมวใช่ไหม” ประโยคคำถามของแพรรุ้งทำเอาจิตติมางง ว่าอยู่ๆ เพื่อนถามถึงเรื่องนี้ทำไม เพราะคำตอบนั้นแพรรุ้งน่าจะรู้ดีกว่าใคร
“รักสิว่าแต่แกถามฉันทำไม จะมาขอลูกฉันไปเลี้ยงเหรอ ไม่ให้ย่ะ”จิตติมาส่ายหน้าปฏิเสธ สาวร่างอวบ ผิวคล้ำนัยน์ตาคมตามแบบฉบับสาวเมืองปักษ์ใต้มองแพรรุ้งขณะรอคำตอบจากคำถามที่ได้ถามไปเมื่อครู่ เธอไม่ได้หวงแมวจนให้เพื่อนเลี้ยงไม่ได้
“รีบออกตัวเชียวนะ”
“แค่แซวเฉยๆ นะ เพราะฉันรู้ว่าแกเองก็เป็นคนรักสัตว์มากคนหนึ่ง”
“จ้ะคุณแม่แมว” แพรรุ้งเอ่ยยิ้มๆ กับความรักที่มีให้แมวของจิตติมา เพราะนี่คือสัตว์เลี้ยงสายพันธุ์ที่เพื่อนเธอรักและโปรดปรานมากที่สุด ถึงขั้นมีฟาร์มแมวเป็นของตัวเอง แต่ดูท่าเจ้าของฟาร์มจะแย่งขนมแมวกินบ่อยๆ ตัวถึงได้อวบระยะสุดท้ายกึ่งๆ จะอ้วนขึ้นทุกวันแบบนี้
“ฉันไม่ได้มาขอแมวแกไปเลี้ยง แต่จะฝากแมวให้แกเลี้ยงต่างหาก”
“ฝากแมวเลี้ยง”
“อื้อ… พอดีไปเจอมันถูกทิ้งอยู่แถวๆ รถไฟฟ้านะ น่าสงสารไม่กล้าทิ้งไว้ตรงนั้นเลยเอามาด้วย แต่จะให้ฉันเลี้ยงก็กลัวว่า…”
“จะตายเอาได้” ประโยคต่อท้ายของจิตติมาทำให้แพรรุ้งยิ้มเขิน ใจจริงเธออยากเลี้ยงสัตว์ไว้เป็นเพื่อนเช่นกัน แต่การใช้ชีวิตในปัจจุบันของเธอดูเหมือนจะไม่เหมาะ กลัวบรรดาสัตว์เลี้ยงจะอดข้าว อดน้ำถึงขั้นสิ้นชีพเอาได้ง่ายๆ เป็นบาปติดตัวเธอซะเปล่าๆ ที่เลี้ยงดูพวกมันได้ไม่ดี
“เกลียดจริงคนรู้ทันเนี่ย”
“ไม่รู้แล้วจะเรียกว่าเพื่อนแกเหรอ” จิตติมาย่นจมูกให้เพื่อน
“แมวที่ว่า อย่าบอกนะว่าอยู่ในลังนี้”
“ใช่เลย” แพรรุ้งพยักหน้ารับ ก่อนจะเปิดกล่องออกให้จิตติมาได้เห็นลูกแมวตัวน้อยที่นั่งทำตาใสแป๋ว รอคนเลี้ยงใจดีอยู่ พอกล่องถูกเปิดออก เสียงทักทายเหมียวๆ ก็ดังขึ้น
“แหม...รู้งาน ร้องทักแม่ใหม่ใหญ่เลยนะ” คำพูดของแพรรุ้งทำเอาคนฟังอย่างจิตติมานั่งอมยิ้ม แพรรุ้งเอื้อมมือไปอุ้มลูกแมวขึ้นมาวางบนตัก จิตติมาใช้สายตากวาดมอง แมวที่เห็นคงไม่ใช่แมวสายพันธุ์พิเศษอะไร แต่รูปลักษณ์สมส่วนดูดีอาจเป็นไปได้ว่าตัวพ่อหรือแม่สักตัวอาจเป็นแมวสายพันธุ์ส่วนอีกตัวก็พันธุ์ทางก็เป็นได้
“หน้าตาน่ารักดี ขนสีขาว ตาสวย โครงหน้าก็สวย ดูท่าคงไม่ใช่แมวลูกครึ่งใช่ไหมเรานะ ตัวผู้ซะด้วย” คำพูดของเพื่อนทำให้แพรรุ้งแอบยิ้ม ก่อนจะพูดแซวขึ้น
“แกดูแมวหรือดูคนจะส่งประกวดนางงาม”
“แมวย่ะ” เสียงห้วนๆ ของคนที่เพื่อนๆ เรียกว่าแม่แมวหันมาตอบแพรรุ้ง เดี๋ยวก็เปลี่ยนใจไม่รับเลี้ยงเจ้าแมวตัวตรงหน้าซะเลย
