บทที่ 2. ไม่ใช่พรหมลิขิต แต่เป็นผมลิขิต
ไปรยาเดินตรวจดูความเรียบร้อยของอาหารที่จัดนำมาเป็นของว่างระหว่างพักการประชุมสัมมนา หญิงสาวตรวจดูทุกอย่างอย่างพิถีพิถัน แน่นอนว่าเธอเป็นหนึ่งในพนักงานที่ได้รับความไว้วางใจให้ดูแลความเรียบร้อยในงานส่วนนี้ทุกครั้ง เพราะความละเอียดรอบคอบพิถีพิถันในการทำงานนั่นเอง เมื่อดูแล้วว่าทุกอย่างตรงตามที่เจ้านายสั่งเธอกับปัทมาก็ยืนรอเพื่อให้บริการแขกที่มาสัมมนาพร้อมกับพนักงานของรีสอร์ตอีกสองคน
“มีแขกประมาณกี่คนนะน้องปาย”
“30 คนค่ะ ผู้บริหารห้าคน พนักงานอีก 25 คน”
“ห้องวีฯ นี่เรียบร้อยใช่ไหม พี่เกร็งจังเลย” ปัทมาว่าท่าทางดูเกร็งๆ ตามที่บอกอย่างเห็นได้ชัด
“ทำไมต้องเกร็งล่ะคะ ออกงานก็บ่อย” ไปรยายิ้มๆ
“เกร็งสิ ก็บริษัทนี้เป็นบริษัทใหญ่ด้วย เห็นว่าผู้บริหารเป็นฝรั่งด้วย พนักงานที่มาก็มีฝรั่งตั้งหลายคน ร่วมสิบคนได้มั้ง พี่พูดฝรั่งไม่เป็นนี่นากลัวทำอะไรไม่ถูก” ปัทมาทำหน้ายุ่ง
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ พวกเราจัดทุกอย่างไว้เป็นชุดๆ แล้ว พวกเขาแค่มาหยิบไป เราก็แค่รอเติมชา กาแฟถ้าพวกเขาต้องการ อีกอย่างห้องวีฯ ปายจัดการเอง พี่ปัทอยู่กับน้องๆ ด้านนอกก็ได้”
“แหม.. พี่ก็รอให้น้องปายพูดคำนี้ล่ะ” ปัทมายิ้มกว้างอย่างโล่งใจ ไปรยาก็ทำเพียงแค่ยิ้มด้วยความขบขัน
“อย่ามาขำพี่น่า ตัวเองพูดภาษาอังกฤษได้นี่ ไม่ต้องกังวลอะไร”
“ปายไม่ได้ขำอะไรเลยนะคะ”
“ย่ะ..” ปัทมาทำทีค้อนสาวรุ่นน้องไม่จริงจังนัก
“พวกเขาออกมาแล้ว เดี๋ยวปายเข้าไปห้องวีฯ ก่อนนะคะ” ไปรยาดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือแล้วก็เดินไปที่ห้องรับรองของผู้บริหารทันที...
ไปรยาจัดเตรียมของเพื่อรอต้อนรับคณะผู้บริหารของบริษัทที่มาสัมมนาเงียบๆ แล้วยืนรอพวกเขาหน้าประตูอย่างสุภาพเรียบร้อยจนเมื่อคณะผู้บริหารเดินมาทีละคน เธอก็ยกมือไหว้พวกเขาและยิ้มให้ทุกคนอย่างอ่อนหวานเป็นมิตร แต่เมื่อเธอเห็นหน้าแขกคนสุดท้ายทำให้เธอยืนนิ่งและรอยยิ้มที่มีบนใบหน้าหายไป และเธอได้แต่ยืนตะลึงมองเขาอย่างตื่นตระหนก...
“คุณเรย์...” ชื่อของเขาผ่านเรียวปากอิ่มออกมาแผ่วเบา แต่ชายหนุ่มเจ้าของชื่อทำเพียงปรายตามองเล็กน้อยแล้วเดินผ่านไปเหมือนไม่เห็นเธอในสายตา... ไปรยายืนนิ่งอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะสุดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ รวบรวมสติของตนกลับคืนมาแล้วเดินไปทำหน้าที่ของตนอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง...
ไปรยารีบเดินกลับร้านโดยไม่รอปัทมา แต่ก็บอกให้รุ่นพี่รู้ว่าตนจะกลับก่อน แต่อาการรีบร้อนของเธอทำให้อนงค์มองอย่างแปลกใจ...
“อ้าว.. น้องปาย ท่าทางรีบร้อนเชียว มีอะไรรึเปล่า”
อนงค์มองว่าไปรยาอาจจะมีเรื่องด่วนหรือสำคัญที่บ้านหรือว่าลูกชายของไปรยาเกิดอะไรขึ้นถึงได้ดูรีบร้อนและรีบกลับบ้านทันที วันนี้ไปรยากับปัทมาได้ทำงานแค่ครึ่งวัน
“พอดีปายรู้สึกไม่ค่อยสบายน่ะค่ะ ว่าจะรีบไปหาหมอก่อนร้านหมอปิด” เธอจำใจต้องโกหกไปทั้งที่ละอายใจ
“อ้อ.. คงจะตากฝนวันก่อนอะเนอะ รีบๆ ไปเถอะ ขับรถดีๆ ล่ะ”
“ขอบคุณค่ะพี่นงค์” ไปรยารีบออกไปทันทีและมุ่งตรงกลับบ้านอย่างว่องไวจึงไม่ได้เห็นว่ามีใครบางคนติดตามเธออยู่ตลอดเวลา...
“อ้าวหนูปายวันนี้ทำไมกลับเร็วล่ะ”
“วันนี้ไม่มีงานค้างค่ะป้านอม แล้วก็มีเบรกนอกร้านเลยได้ทำงานครึ่งวันค่ะ..” ไปรยายิ้มให้นางบางๆ แล้วมองหาลูกชาย
“หนูเรียวล่ะคะ”
“นอนหลับอยู่นู่นแน่ะ วันนี้เล่นซนทั้งวันไม่ยอมนอนสักที เล่นจนหมดแรงนั่นล่ะถึงได้หลับ หลับไปเมื่อสักพักนี่เอง” ป้านอมเล่าเรื่อยๆ
“วันนี้ป้านอมกลับก่อนก็ได้นะคะ หรือจะอยู่รอเจ้าตัวยุ่งตื่น”
“ไม่เป็นไร พอดีวันนี้ป้าจะไปซื้อของมาไว้ พรุ่งนี้วันพระใหญ่กะว่าจะไปวัดตอนเช้า แล้วค่อยแวะมาหาหนูเรียว”
“ได้ค่ะ แต่ว่าพรุ่งนี้ป้านอมไม่ต้องรีบมาก็ได้นะคะ ปายหยุดพอดี”
“อ้อ.. ดีเลย งั้นป้าจะมาตอนบ่ายๆ ละกันนะ”
“ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ” ป้าประนอมยิ้มบางๆ แล้วลากลับบ้านไป ไปรยาหันรีหันขวางอย่างระแวงแล้วรีบเข้าบ้านและปิดประตูอย่างแน่นหนา...
หญิงสาวเดินไปดูลูกชายที่หลับอยู่บนเบาะแล้วถอนใจเบาๆ ครุ่นคิดถึงคนที่ตนเพิ่งได้พบเจอในวันนี้ แม้เขาจะไม่ได้พูดคุยทักทายเธอ แต่ไปรยารู้สึกได้ว่าเขามองเธออยู่ตลอดเวลาที่ทำหน้าที่ของตนจนงานสัมมนาสิ้นสุดลง...
เขามาที่นี่ได้อย่างไร.. แล้วเธอจะได้เจอเขาอีกไหม.. เขาจะตามมาเอาเรื่องเธอหรือเปล่า.. หญิงสาวนอนลงข้างๆ ลูกชายมองใบหน้ากลมป้อมน่ารักน่าชังนั้นอย่างแสนรักสุดหัวใจ...
“แม่สัญญาว่าจะดูแลหนูให้ดีและจะไม่ยอมให้ใครมาพรากลูกไปจากแม่เด็ดขาด”
ไปรยาบอกตัวเองและรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่างที่น่าหวาดหวั่นเกาะกุมใจ...
