3
“เป็นไงล่ะ? เรื่องน้องน่ะ...” พ่อถามอย่างเป็นห่วง พอลูกชายคนเดียวทำไม่พูดจา ทั้งที่มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ลูกชายบ้านนี้พูดแทบนับคำได้ โดยเฉพาะบนโต๊ะรับประทานอาหาร
ในคฤหาสน์หลังใหญ่โตโอ่อ่าสมฐานะคุณพ่อที่เป็นศัลยแพทย์ชื่อดังของเมืองไทย
บ้านสไตล์ยุโรปโบราณหลังนี้ตกแต่งในสไตล์โมเดิร์นงานไม้ เน้นสีของประตูเป็นแบบเก่ามีกลอนและที่บิดสีดำสนิทเหมือนประตูบ้านฝรั่ง พื้นเงามันสลับกันไปกับพื้นหินอ่อนสีเทารองรับการตกแต่งแบบธรรมชาติ
ให้ความรู้สึกเหมือนบ้านริมชานเขาในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ด้วยความที่เจ้าของบ้านสร้างไว้เป็นเรือนหอ และคงอยากระลึกความหลังในสมัยแรกรักกันใหม่ ๆ
มื้อเช้าวันนี้เป็นข้าวต้มทรงเครื่องฝีมือแม่บ้านคนเก่าแก่คือแม่อิ่ม ยังมีขนมปังฝรั่งเศส เค้กช็อกโกแลตดูน่ารับประทานของแม่ที่ไปเดินซูเปอร์มาเก็ตมาเมื่อวาน
จานของคุณหมอหนุ่มมีเพียงข้าวต้มทรงเครื่อง เขารับประทานมันอย่างเชื่องช้า มือปัดโทรศัพท์ดูข่าวสารบ้านเมือง ราคาหุ้นเหมือนทุกวัน
“ดีครับ...”
“ดี...? มันยังไงลูก คือเราจะกลับมาคบกัน... หรือว่าให้พ่อกับแม่ช่วยอะไรอีกไหม?” แม่วางช้อนลงถามอย่างเป็นห่วงพอกัน ปัญหาน่าหนักใจที่สุดเป็นปัญหาของลูกชาย
ครอบครัว ‘นันทพิวัฒน์’ มีพ่อแม่ที่วัน ๆ ทำแต่งาน ทิ้งลูกชายให้อยู่คนเดียวลำพังจนเกษียรแล้วต้องมานั่งกุมขมับเอาทีหลัง
“ลูกอิฐ... มีอะไรบอกพ่อกับแม่นะลูก... เราสองคนช่วยลูกได้นะ ช่วยได้ทุกเรื่องเลย” ทั้งแววตาและน้ำเสียงแสนอ่อนโยนของคุณแม่อ้อนวอนอย่างถึงที่สุด หล่อนเฝ้าโทษตัวเองว่าเป็นเพราะไม่มีเวลาให้ลูก และก็จนปัญญาเหลือเกิน
“ไว้มีแล้วผมจะบอก... ขอบคุณมากสำหรับเรื่องเมื่อวานนี้” สองมือรวบช้อนแล้วยกผ้าเช็ดปากอย่างสุภาพ สำหรับงานของคนไข้สาวที่ถูกจองคิวตรวจมาด้วยฝีมือของพ่อแม่เขาเอง
ใบหน้าหล่อเหลาเงยจากถ้วยข้าวต้มว่างเปล่าพอรับประทานมันจนอิ่ม ยกมือไหว้ประนมก้มศีรษะอย่างนอบน้อม
“สวัสดีครับพ่อ แม่... ผมไปทำงานแล้วนะครับ”
ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าของเขายังคงไร้อารมณ์ คุณหมอหนุ่มในเชิ้ตสีขาวสะอาดพร้อมทำงานหยัดกายลุกขึ้นสุดความสูง เก็บเก้าอี้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยก่อนจากไปเงียบ ๆ
เรียกเสียงถอนหายใจหนักของคนข้างหลังที่มองแผ่นหลังของลูกชายไปจนลับตา คุณแม่คงรับประทานอาหารต่อไม่ลง วางช้อนลงบนจานเบา ๆ
“เนตรเป็นห่วงลูกจริง ๆ นะคะพี่ก้อง... ตั้งแต่เลิกกับอันนามา วัน ๆ ไม่พูดจากับใคร ทำแต่งานยังกับจะเป็นเจ้าของโรงพยาบาลซะเอง”
“เออ... นั่นสิ ไอ้ลูกชายฉัน นับวันมันทำตัวยังกับผีดิบเดินได้ พี่อิ่มว่างั้นไหม?” คุณพ่อหันไปถามหาความเห็นจากแม่บ้านสาววัยหกสิบห้าปี อายุมากสุดในบ้านที่เข้ามาเก็บถ้วยชาม เมื่อคืนนี้คนในบ้านเพิ่งจะนั่งดูหนังผีดิบกันเลยนึกขึ้นได้
“เหมือนค่ะคุณก้อง... ถ้าโลกนี้มีซอมบี้ขึ้นมา อีแก่อย่างพี่คงได้วิ่งหนีคุณอิฐคนแรก”
“เออ ดีนะ ดูหนังกันแล้วมามโนเป็นตุเป็นตะ เห็น ๆ อยู่ว่าคน ซอมบี้ที่ไหนจะหล่อขนาดนี้” คุณแม่ชมลูกไม่ขาดปากเป็นประจำ
บ้านใหญ่โตหลังนี้อยู่กันแค่หกคน มีพ่อแม่ ลูกชาย พ่อบ้านแม่บ้าน และคนขับรถยนต์ประจำตัวของนายแพทย์ก้องเกียรตินั้นอยู่ในบ้านหลังเล็กอีกฝั่งหนึ่ง ถัดจากสวนหลังบ้านไป
ยายอิ่มอยู่ในฐานะคนคอยช่วยเหลือดูแลบ้านให้สะอาดเรียบร้อยมากเสียกว่าคนใช้ ด้วยทำงานมาสามสิบปี เมื่อก่อนนี้ยังเป็นแม่นมคอยดูแลลูกชาย และลูกสาวเพื่อนสนิทเจ้าของบ้านให้เวลาทุกคนออกไปทำงาน นำเด็กน้อยมาฝากไว้กับแม่บ้าน
บางครั้งอันนาก็มาเที่ยวเล่นที่นี่ตั้งแต่ครอบครัวกลับมาอาศัยอยู่เมืองไทย คุณพ่อคุณแม่จึงจัดห้องนอนแขกไว้ให้เฉพาะสำหรับเธอเหมือนกับว่าเป็นลูกสาวอีกคน
เด็กทั้งสองคนอายุห่างกันเกือบแปดปี สองถึงสามเดือนเจอหน้ากันครั้งหนึ่งหรือบ่อยกว่านั้นแล้วแต่ความสะดวกของผู้ใหญ่
หากนายแพทย์ก้องเกียรติไม่ไปหาเพื่อนรัก บ้านอันนามักมาเยี่ยมเยียนบ้านของคุณหมอเป็นประจำ ไม่ได้ขาดการติดต่อกันไปเหมือนเพื่อนคนอื่น ๆ
กระทั่งวันที่ลูก ๆ เริ่มมีความรู้สึกชอบพอตามผู้ใหญ่ช่างยุ ทุกคนในบ้านและญาติ ๆ ก็รู้ ทุกอย่างคงเป็นไปได้ด้วยดีหากไม่ติดนิสัยเงียบขรึมเย็นชาของครองภพ
“แต่ละวันกลับบ้านมาปุ๊บ เข้าห้องนอนตัวเอง ห้องหนังสือ ปิดประตูเงียบไม่พูดจากับใคร พี่เฝ้าบ้านอยู่ เห็นกับตาค่ะบางทีแกน่ะแอบเหงาเศร้าซึมอยู่คนเดียว”
“นี่ถ้ายังไม่เลิกเป็นแบบนี้ พี่ว่าเราพาลูกหมอไปหาจิตแพทย์ที่โรงพยาบาลหน่อยดีไหมนะ? เพื่อน ๆ เนตรน่ะ ถ้าให้แม่ตรวจเองล่ะไม่มีทาง”
แม่บ้านอาวุโสทำหน้าตกใจกับคำว่าจะพาหมอไปหาหมอ ก่อนเดินไปเก็บจานข้างหลังบ้าน เจ้าของบ้านจัดการขนมปังของตัวเองแล้วมองไปยังเก้าอี้บริเวณหัวโต๊ะของลูกชายเหมือนว่าเจ้าตัวยังอยู่
“ปัญหามันอยู่ที่กินข้าวได้ครบมื้อ น้ำหนักไม่ลด ไม่มีอาการป่วย ปกติดีทุกอย่างนี่สิ mdd[1] ก็ไม่น่าใช่ ไปตรวจหมอจะจ่ายยาอะไรล่ะคะ?”
“อืม... นั่นสินะ”
คุณพ่อเออออตามคุณแม่ที่เป็นจิตแพทย์ในวงการมานาน ต่างจากเขาเป็นศัลยแพทย์ ส่วนลูกชายของพวกเขานั้นเป็นสูติ-นรีแพทย์
ไม่ได้หมายความว่าหมอจะรู้ไปหมดทุกอย่าง ในเมื่อเป็นคนละหมอ…
จิตแพทย์สาววัยห้าสิบห้าจึงเริ่มอธิบายเรื่องโรคซึมเศร้านั้นส่งผลต่อการควบคุมความอยากอาหาร สามารถส่งผลได้ทั้งสองรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้น หรือน้ำหนักตัวที่ลดลง
แต่ครองภพใช้ชีวิตตามปกติ น้ำหนักไม่ขึ้นไม่ลงยังมีอารมณ์เข้าฟิตเนส ไปวิ่งออกกำลังกายทุกอาทิตย์อีกต่างหาก
กว่าจะลากความยาวสาวความยืดไปไกล ท้ายสุดแล้วคุณแม่ก็หนักใจเหลือเกิน
“เฮ้อ! ฉันจะบ้าตาย... มีลูกสักคนมันปวดหัวขนาดนี้ ทำหมันไปนานละ”
“ไม่เอาน่าคุณ มีมาแล้วจนมันโตขนาดนี้ละ มาพูดอะไรไม่น่าฟัง ลูกจะเสียใจเอานะ” คุณพ่อปราม จากที่นั่งฝั่งตรงข้าม จากนั้นก็เริ่มทำหน้าเครียดตาม ประสาคนเป็นหมอเขาคิดว่ามันอาจเป็นเรื่องใหม่ ๆ ที่ไม่เคยรู้มาก่อนก็ได้
