4
“พี่ว่าน่าจะเอาไปเป็นเคสศึกษา เนตรเคยเจออะไรแบบนี้ไหมล่ะ?”
“เนตรเคยเจอประมาณว่า... อกหักแล้วกินหนักกับอีกเคสหนึ่งเป็นโรคจิตเภท[2] มันสามารถพัฒนาไปสู่ภาวะทางจิตประเภทอื่น ฮิคิโคโมริซินโดรม[3] เก็บตัวจากสังคมเริ่มมาแต่เด็ก ๆ ส่วนมากเป็นเด็กญี่ปุ่น เพราะสภาวะกดดัน บางรายพัฒนาเป็นโรคเครียดทีหลัง... ตอนเล็ก ๆ ตาอิฐชอบไปโรงเรียน เรียนเก่งด้วยซ้ำ... ไม่ใช่อยู่ดีค่ะ”
จากนั้นคุณพ่อและคุณแม่จึงหันหน้ามาพูดคุยกันเรื่องสภาวะทางจิต
นายแพทย์ก้องเกียรติในฐานะสามียินดีเปิดรับความรู้แลกเปลี่ยนกับภรรยาที่เป็นจิตแพทย์ หากมีความเห็นไม่ตรงกัน วิธีแก้ปัญหาของครอบครัวหมออย่างพวกเขาคือเอาเอกสารทางวิชาการและงานวิจัยมาถกเถียง
ในส่วนของข้อสรุปที่ไม่มี... หาไม่ได้นั้น พวกเขาเลือกที่จะเงียบและเปลี่ยนเรื่องสนทนาไปเสียเลย เพื่อความปรองดองของครอบครัว เป็นแบบนี้มาตลอดตั้งแต่ลูกชายเลือกเรียนแพทย์ตามพ่อและแม่
ทางคุณพ่อได้คุยอะไรไปเรื่อยเปื่อยในวันหยุดของเขาซึ่งปลดเกษียรแล้วมาเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลและเจ้าของคลินิก ก่อนจะนึกถึงหญิงสาวอีกคน
“เอ้อ... เนตรเจอลูกอันบ้างไหม? พี่ว่าช่วงนี้หายหน้าหายตา ปกติกลับบ้านทุกเดือน เดือนละหน นี่ห้องนอนแขกบ้านเราหยากไย่ขึ้นหมดละ พี่ว่าเงียบเหงา...”
คนอายุมากก็เป็นอย่างนั้น เนตรดาวแตะมือลงบนมือที่มีรอยเหี่ยวย่นตามวัย นานแพทย์ก้องเกียรตินั้นสูงหล่อแม้มีพุงหน่อย ๆ ด้วยเป็นคนชอบดื่มสังสรรค์
“เนตรได้ยินจากอดัมว่าอันนาซื้อคอนโดฯ อยู่แถวที่ทำงานนะคะ ลูกบอกว่ายังไม่มีรถเป็นของตัวเอง เพิ่งเรียนจบทำงานไม่กี่ปี อยากประหยัดเงิน นั่ง bts เอา... เดี๋ยวก็คงมามั้ง”
“อืม... ไม่เป็นไร ไม่มาพี่จะโทรตาม แล้วเมื่อวานเป็นไง... สำเร็จไหม?” คุณพ่อลดเสียงลง ขยิบตาทำตัวเป็นพรายกระซิบหลังสั่งลูกน้องให้จัดส่งคนไข้สาวไปห้อง ‘นายแพทย์ครองภพ นันทพิวัฒน์’ แทนแพทย์หญิงอีกคน
“เนตรแอบถามหมออีกแผนกมา มีคนบอกว่าแฟนเก่าคุณหมอเดินคอตกออกจากห้องตรวจ ไม่รู้ว่ามีอะไรนอกจากนั้นไหมนะ?”
“อ้าว... พี่ก็อุตส่าห์นั่งลุ้นแทบแย่ สองคนนี้นี่มันยังไงกัน...”
“ไว้จะไปหลอกถามคุณพยาบาลให้นะคะ แถวนั้นมีหลายคนสายกรองข่าว คุณกมล พยาบาลมือขวาของลูกอิฐก็เด็กเนตรเอง”
คุณแม่ไม่วายคุยโม้ เรื่องนินทาคันปากคงไม่เข้าใครออกใคร แม้ข้อมูลส่วนตัวของคนไข้นั้นทางโรงพยาบาลเอกชนมีการเก็บรักษาความลับได้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว
เนตรดาวอยู่ฝ่ายจิตเวชโรงพยาบาลที่มีสามีเป็นหุ้นส่วนใหญ่ และอดีตผู้อำนวยการ หล่อนมีหูตาเป็นสัปปะรดคงไม่แปลก เว้นแต่เรื่องนอกโรงพยาบาลคงไม่มีใครรู้
“ทำตัวน่าสงสัย...? ตอนเลิกกัน ไม่เห็นจะบอกผู้ใหญ่สักคน” คุณพ่อเลิกคิ้วขึ้นด้วยเห็นเป็นอย่างนั้น เวลาสองคนเจอหน้ากันจะมีหนึ่งคนเดินหนี ไม่พ้นว่าเป็นลูกชาย
น่าเจ็บใจที่สุด! คือเดือนที่แล้วตอนอันนาแวะเวียนมาไหว้ผู้ใหญ่เหมือนทุกเดือน ดันมีหนุ่มเฟอร์รารีสีแดงแปร้ดแต่งตัวโก้หรูมาจอดรออยู่หน้าบ้าน ก่อนที่หญิงสาวจะเก็บเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้บางส่วนที่ลืมไว้ที่นี่ ลากกระเป๋าเดินทางใบเล็กออกไป
คนในบ้านเห็นอยู่ว่าคุณหมอหนุ่มเดินจากโต๊ะรับประทานอาหารไปดื้อ ๆ แต่ไปแอบเกาะอยู่หลังกำแพงทำน้ำตาซึม
“ไม่รู้แหละ... มาหักอกลูกชายเนตรไม่ยอม เราต้องไปคุยกับบ้านนั้นกันนะคุณ”
“คุยอะไร?” ในน้ำเสียงราบเรียบของคุณพ่อ ยกกาแฟขึ้นจิบดูยังไงก็ไม่ต่างจากหน้าตาเซ็งโลกของลูกชาย เนตรดาวปักส้อมลงบนจานผลไม้ดังฉึก!
“สินสอด... ที่เคยหมั้นไว้น่ะ ทวงคืนมาให้หมดทุกแดง!”
“งก...”
“ไม่สนค่ะ คนไหนมาหักอกตาอิฐ ต้องเฉ่งทุกบาททุกสตางค์เงินของบ้านเรา” ท่าทางเกรี้ยวโกรธเหมือนสัตว์ป่าดุร้ายของจิตแพทย์หญิง คนเป็นสามีทำกลอกตาไปมา
คุณพ่อไม่ใช่คนตระหนี่ถี่เหนียวอะไร แค่เป็นคนรอบคอบกับทุกสถานการณ์บ้านเมืองจึงมีความเห็นว่า...
“ถ้าจะให้ดี... อย่าลืมคูณอัตราค่าเงินปัจจุบันปีนี้เข้าไปด้วยนะ”
-----------------------------------
งานหลักของครองภพก่อนเข้างานในตอนเช้าตลอดหลายเดือนมานี้คือแวะไปดูว่าอันนากำลังทำอะไร...
คอนโดมิเนียมที่แด้ดดี้อดัมดาวน์ให้ลูกสาวผ่อนต่อไม่ได้อยู่ไกลจากเพนท์เฮ้าส์ของเขานัก ห่างไปแค่ไม่กี่กิโลฯ สะดวกกับการเดินทาง เขายังมีห้องปล่อยเช่าอยู่ที่นี่
ไม่มีใครรู้ว่าเขามีคอนโดมิเนียมอีกหลายแห่งในเมืองกรุงฯ รถยนต์ปริมาณหนาแน่น บางวันเขาจะพามอเตอร์ไซค์สีเขียวคู่ใจหากพอไปได้ ในวันที่รถติดมากนั้นคงต้องเป็น PCX สีแดงด้วยความที่ไม่ต้องตบเกียร์ระบบแมนนวลให้เมื่อยขายังลัดเลาะทางเล็กแคบได้ดีกว่า
แน่ล่ะว่าถ้าพ่อแม่เขารู้เข้า มันจะถูกขายทอดตลาด ณ วินาทีนั้น!
‘ห้ามขี่มอเตอร์ไซค์นะลูก... แม่เป็นห่วง’
‘ห้ามเที่ยวกลางคืนนะลูก... เนี่ย ซอยนู้นลูกเป็นวิศวกร โดนลูกหลงเด็กช่างกระสุนฝังปอดตาย ไปไหนมาไหนลูกต้องระวังตัวนะ’
‘ห้ามนั่งรถเมล์นะลูก... เดี๋ยวพ่อซื้อรถให้ขับ เอ้อ... เรืออะไรก็ไม่ต้องไปนั่งนะ รถมันติดเผื่อเวลาเอา รับผิดชอบตัวเอง’
ห้าม ๆ! ห้ามไปหมดเสียทุกอย่างประสาคนเป็นหมอ
ขณะเดียวกัน พ่อแม่ของเขาไม่หยุดแค่งานห้าม...
ในสมัยที่ทั้งสองคนจบการศึกษาจากประเทศที่มีการศึกษาดีที่สุดในโลกอย่างสวิตเซอร์แลนด์ ได้พบรักกันด้วยฝีมือของพ่อชักแม่สื่อ ครอบครัวอุปถัมภ์ (Host Family) ซึ่งเป็นพ่อแม่ของอันนา
พ่อแม่ของเธอและเขาสนิทสนมกันตั้งแต่นั้นมา ต่างคนไม่ได้ขาดการติดต่อกันไปแม้จะเจอกันนาน ๆ ครั้ง
พ่อของเขาซื้อบ้านในกรุงเทพฯ ด้วยเงินเดือนของหมอสมัยก่อนซึ่งยังไม่มากนัก ขณะที่แม่กลับไปศึกษาต่อปริญญาโทที่สวิตเซอร์แลนด์ ในอีกเมืองหนึ่งไม่ไกลจากเมืองลูกาโน
