บทที่ ๔ : โมโหโกรธา【1】
ความรู้สึกของชายหนุ่มตอนนี้ประหนึ่งดั่งฟ้าผ่ากัมปนาทลงกลางศีรษะก็ไม่ปาน คนถูกถามไม่ตอบ เพียงแต่ยักไหล่ไม่ยี่หระ คว้าอาภรณ์ประคองหมายจะสวมใหม่ หากแต่ไม่ทันได้ระวังตัว เผลอทำจดหมายซึ่งจะส่งให้กวงฟั่นร่วงหล่นบนตั่งให้อวี๋ว์เจิ้งเหอได้เห็น จะคว้าคืนก็ไม่ทันด้วยเขาไวกว่า ช่วงชิงไปกางอ่านเสียก่อน
ครู่เดียว ดวงตาเหยี่ยวฉายแววเกรี้ยวกราดทันใดเมื่ออ่านข้อความในจดหมายนั้นจบ แต่สิ่งที่ทำให้เกรี้ยวกราดกว่าอื่นใดคือชื่อของกวงฟั่นที่ปรากฏในจดหมาย ผู้ที่เขารู้ดีว่าเป็นใครและมีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับสำนักดอกเหมยอำพัน เท่านี้ก็รู้ได้ทันทีว่าเด็กหนุ่มในคราบอิสตรีที่เขาเก็บไปฝันละเมอถึงหลายชั่วราตรีนั้น คงเป็นคนที่กวงฟั่นส่งมาเป็นแน่ พลันรีบผุดลุกไปคว้ากระบี่ซึ่งอยู่บนพื้น ชักออกจากฝักแล้วพุ่งเข้ามาตวัดปลายเข้าจ่อคอหอยของกวงจินอย่างรวดเร็ว
“เจ้าเป็นใคร หาเรื่องตายหรือเช่นไร! แล้วนี่อันใด? ไยจึงมีจดหมายถึงกวงฟั่นแห่งสำนักดอกเหมยอำพันด้วย!”
ชูจดหมายในมือขึ้น ว่าทั้งที่มือสั่นระริก โกรธที่ถูกลวงหลอกจนเสียหน้า ไม่อยากจะคิดเลยว่าตนกอดจูบบุรุษด้วยกันไปกี่ครั้งแล้ว หากไม่หมายครอบครองก็คงจะได้กอดจูบให้เป็นที่คลื่นเหียนอีกหลายต่อหลายคราเป็นแน่
“นามข้าคือกวงจิน เป็นบุตรชายคนเล็กของสำนักดอกเหมยอำพัน หวังจะมาเที่ยวเล่นหอคณิกาให้เพลินใจ แต่กลับถูกเจ้าโง่เช่นเจ้าข่มเหงเสียจนไร้เกียรติ นี่แหละประวัติของข้า” กวงจินโกหก ไม่วายยียวนให้อวี๋ว์เจิ้งเหอหัวเสีย
“หากอยากเที่ยวเล่นให้เพลินใจ ไยจะต้องปลอมเป็นสตรีด้วย!”
“เจ้าไปถามฮูหยินของเจ้าดีกว่าว่าเหตุใดจึงรับข้าเข้าทำงาน เจ้าได้ใกล้ชิดข้าเสียขนาดนี้ เป็นเพราะฮูหยินของเจ้าทั้งหมดนั่นแหละรู้เอาไว้ด้วย!”
อวี๋ว์เจิ้งเหอโกรธหน้าดำหน้าแดงจนไม่รู้จะพูดอะไรต่อ แต่ก็ไม่เบาปัญญาเสียจนไม่รู้ว่าสิ่งที่กวงจินว่านั้นเป็นเรื่องเท็จ คนของสำนักดอกเหมยอำพันกล้ามาเหยียบถิ่นถึงที่ ซ้ำยังมีจดหมายรายงานเช่นนี้ คงไม่พ้นเรื่องของสำนักแน่
คิดเช่นนั้นก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง จี้ปลายกระบี่ทิ่มคอหอยกวงจินจนบาดผิวเนื้อให้เลือดไหลซิบ เด็กหนุ่มกัดกรามแน่น ข่มความเจ็บแสบไว้ สบตาท้าทายอวี๋ว์เจิ้งเหอที่เดือดดาลเต็มทนราวกับไม่กลัวเกรงทั้งที่ตัวสั่นเสียแทบลืมหายใจ
“จะเช่นไรก็ช่าง ในเมื่อเจ้ากล้าหลอกลวงข้า กระบี่นี้ก็คงไม่ปล่อยให้เจ้าลอยนวลแน่เจ้าเด็กเหลือขอ!”
“ก็เอาสิ! หากเจ้าอยากให้ผู้อื่นมาเห็นว่าข้าเป็นชายตอนเก็บศพข้าก็เชิญ! ทีนี้ผู้คนจะได้รู้กันทั่วทั้งหล้าว่าเจ้าสำนักปักษามรกตอันระบือนามเช่นเจ้า หลงใหลมัวเมาเสียจนเกือบพลาดท่าให้บุรุษในคราบสตรีขนาดนี้!”
ชายหนุ่มถึงกับสะดุดกึก ใจอยากจะฆ่าแต่พอคิดดูแล้วว่าหากข่าวลือดังกวงจินว่าแพร่ออกไป เขาคงได้เป็นขี้ปากทั่วทั้งยุทธภพอย่างไม่ต้องสงสัย เขาทำท่าฮึดฮัดครู่หนึ่ง ก่อนชักกระบี่ออก ปั้นหน้าถมึงทึงแล้วตวาดกร้าว
“เช่นนั้นข้าจะเก็บเจ้าไว้เล่นสนุกให้หายแค้นแทน ดี! ในเมื่อสำนักดอกเหมยอำพันกล้าหาญชาญชัยเช่นนี้ ข้าก็จะสนองแค้นให้สมกับความเหิมเกริมของเจ้า!”
กวงจินลอบถอนหายใจที่คำพูดของตนเมื่อครู่รักษาชีวิตไว้ได้ กะไว้อยู่แล้วว่าอวี๋ว์เจิ้งเหอต้องไม่กล้าด้วยกลัวถูกดูแคลนเพราะตำแหน่งเจ้าสำนักรั้งตนไว้อยู่ คนรักศักดิ์ศรีย่อมไม่ยอมให้ถูกหยามหมิ่นเป็นเรื่องธรรมดาเช่นนี้แหละ ส่วนคำขู่ของอวี๋ว์เจิ้งเหอ กวงจินก็หาไม่หวั่นมากนักเพราะไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องหาทางส่งข่าวให้กวงฟั่นรู้และมาช่วยตนอยู่ดี ขอให้มีชีวิตรอดก็เพียงพอ
ส่วนชายหนุ่ม พอตัดสินใจไว้ชีวิตสตรีน้อยจำแลง ก็หงุดหงิดงุ่นง่าน พานโยนกระบี่ลงพื้นเต็มแรง ตะโกนเรียกหาหยวนเจี๋ยเสียลั่นจนบรรดาเด็กรับใช้และนางคณิกาคนอื่นๆ ในบริเวณใกล้เคียงแตกตื่น ส่วนหนึ่งกรูกันไปตามหยวนเจี๋ย อีกส่วนวิ่งมารับหน้าคุณชายที่บัดนี้อาละวาดขว้างปาข้าวของระบายอารมณ์
“คุณชายเจิ้งเหอ! เกิดอันใดขึ้นเจ้าคะ ถิงฟางทำสิ่งใดให้คุณชายขุ่นเคืองเจ้าคะ!”
หยวนเจี๋ยมาถึงก็เบิกตาโพลงกับสภาพห้อง อวี๋ว์เจิ้งเหอชะงักมือซึ่งกำลังจะขว้างแจกันหันหน้ามาหาอดีตแม่นม สีหน้าของเขาตอนนี้ราวกับว่าโลกจะแตกอย่างไรอย่างนั้น ก่อนเอ่ยปากฟ้องแม่นมอย่างเคยชินทันที
“ขุ่นเคืองสิฮูหยิน! ขุ่นเคืองมาก! ถิงฟางของฮูหยินน่ะเป็นบุรุษรู้ไหม หาใช่สตรีดังท่านคิดไม่ เมื่อครู่ข้าเกือบมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับบุรุษให้สวรรค์ลงโทษไปแล้ว จะรับผู้ใดเข้าหอคณิกา ไยไม่ตรวจสอบบ้าง!”
ฟ้องไม่พอ ลงท้ายด้วยต่อว่าอีก หยวนเจี๋ยทำหน้ามึนงงไปชั่วขณะ จับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเขาหมายความเช่นไร พลางปราดมองไปยังกวงจินซึ่งยังนั่งกอดเข่าอยู่บนตั่งมองดูเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยสีหน้าสะใจเสียเต็มประดา
“มะ...หมายความว่าเช่นไรเจ้าคะ ถิงฟางมิใช่สตรีหรือ”
พูดไปก็ทำใจเชื่อได้ยาก เพราะไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็เห็นแต่สตรีวัยเยาว์รูปโฉมสะคราญตาภายใต้อาภรณ์หลุดลุ่ยเท่านั้น อวี๋ว์เจิ้งเหอรู้ดีว่าหยวนเจี๋ยคิดเช่นไร จึงเดินดุ่มๆ ไปยังคนตัวเล็กแล้วกระชากผ้าที่กวงจินคลุมตัวอยู่ออกทันที เผยให้เห็นแผงอกราบเรียบของบุรุษประจักษ์สู่สายตาแม่เล้า
“หากฮูหยินเป็นข้าแล้วมาเจออย่างนี้เข้า ท่านจะยังคิดว่าเป็นสตรีอยู่อีกหรือ”
เท่านั้นหยวนเจี๋ยก็แทบล้มพับไปทั้งยืน ทรุดลงคุกเข่า คำนับขอโทษขอโพยประหลกๆ
“ข้าผิดไปแล้ว ข้าสมควรตาย คุณชายเจิ้งเหอได้โปรดเมตตา...”
กวงจินกลอกตาอย่างเหนื่อยหน่ายราวกับดูการละเล่นไม่ได้ความ ขณะที่อวี๋ว์เจิ้งเหอตั้งท่าจะอาละวาดอีกรอบ ชี้นิ้วกราดสั่งเด็กรับใช้ให้อกสั่นขวัญหาย
“ฮูหยินลุกขึ้นประเดี๋ยวนี้! ส่วนพวกเจ้ามัวยืนดูอันใดอยู่ ไปเอาเสื้อผ้ามาให้ไอ้เด็กนั่นใส่สิ จะให้ข้าทนดูมันเปลือยไปถึงไหน! ไป!”
ดั่งพายุพิโรธ เหล่าเด็กรับใช้กระจายกันไปคนละทิศละทาง หยวนเจี๋ยเองก็ทำหน้ารับไม่ถูกด้วยไม่ค่อยได้เห็นอวี๋ว์เจิ้งเหอโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอย่างนี้บ่อยๆ กระทั่งอวี๋ว์เจิ้งเหอตัดสินใจผละออกไปสงบสติอารมณ์ข้างนอก เพราะยิ่งเห็นหน้าของกวงจินแล้ว ก็เกรงจะยั้งใจคว้ากระบี่มาปาดคอเสียมิได้
“ที่เหลือฮูหยินดูแลต่อด้วย ให้มันรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงมาข้างล่าง ข้าจะลงโทษมันให้สาสม!”
“จะ...เจ้าค่ะคุณชาย ข้าจะจัดการให้เจ้าค่ะ”
พูดไม่ทันจบประโยคดี อวี๋ว์เจิ้งเหอก็เดินออกไปเสียก่อน ดูท่าอารมณ์ของคุณชายคงหาทางกู่กลับได้ยาก ก็แน่ล่ะ เจอเรื่องให้จิตพรึงเพริดเสียขนาดนี้ จะให้ปรกติสุขก็คงยาก เว้นแต่กวงจินที่หัวเราะในลำคอกับท่าทางหัวเสียของเขา เย้ยหยันในใจโดยไม่ห่วงชะตากรรมตนเองสักนิดว่าในภายภาคหน้าจะเจอกับบทเรียนล้างแค้นจากอวี๋ว์เจิ้งเหอในแบบใดบ้าง
โง่งมเสียจริงเจ้าลูกไก่ แล้วเช่นนี้น่ะหรือจะพิชิตสำนักดอกเหมยอำพันได้ ไม่มีวันเสียหรอก!
หยวนเจี๋ยทำตามคำสั่งนายด้วยอารมณ์ที่บอกไม่ถูก ยิ่งเห็นเด็กหนุ่มตรงหน้ากำลังสวมใส่เสื้อผ้าบุรุษที่ตนเอามาให้แล้วด้วย ก็ยิ่งไม่อยากเชื่อว่าตนจะตาไม่ดีเสียจนปั้นให้เป็นนางคณิกาแล้วให้ไปปรนนิบัติรับใช้ผู้เป็นนายได้จนเกิดเรื่องถึงขนาดนี้ ฟังจากเสียงเอะอะที่ดังแว่วจากข้างนอกผ่านเข้ามาแล้ว ก็พอจับใจความได้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้านี้เป็นคนของสำนักดอกเหมยอำพัน การแฝงกายเข้ามาเช่นนี้ คงไม่พ้นเรื่องชิงดีชิงเด่นระหว่างสำนักเป็นแน่
ยังแต่งกายไม่ทันเสร็จดี พลันอวี๋ว์เจิ้งเหอก็โผล่พรวดกลับเข้ามาให้นางได้สะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงดังจากทางด้านหลัง
“แค่เปลี่ยนเสื้อผ้าแค่นี้ ไฉนชักช้าหนักหนา! เร็วเข้า! อยากให้ข้าบั่นคอเจ้าทิ้งตรงนี้เสียหรือไร!”
ใบหน้าถมึงทึงพร่างพรายเสียจนปกปิดความหล่อเหลาเสียมิด หยวนเจี๋ยหน้าเสีย ไม่รู้จะปรามเช่นไรเพราะรู้ตัวดีว่าต้นเหตุทั้งหมดมาจากตนที่รับกวงจินเข้ามาโดยไม่ทันฉุกคิด แต่ก็ทำใจดีสู้ ปลอบใจหมายจะให้เขาใจเย็นลง ด้วยเกรงว่าหากเขาฉุนขาดมากกว่านี้จนพลั้งมือทำร้ายกวงจินแล้ว คงได้มีเรื่องร้อนกันไปทั่วสำนักอย่างไม่ต้องสงสัย
“เอ่อ...คุณชายสงบจิตสงบใจหน่อยเถิดเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”
“ฮูหยินอยู่เฉยๆ เถิด ข้าจัดการเอง ไม่ต้องยุ่งอันใดทั้งสิ้น”
แล้วก็ต้องหุบปากฉับเมื่อโดนขัดเช่นนี้ ทำได้เพียงเหลือบมองกวงจินซึ่งยังไม่มีท่าทีเร่งรีบ บรรจงผูกเชือกรั้งเอวราวกับไม่สะทกสะท้าน กระทั่งเจ้าสำนักรู้สึกขัดหูขัดตาเต็มทนด้วยรับรู้ทางสัญชาตญาณได้ว่าเด็กหนุ่มจงใจท้าทาย จึงไม่พูดพร่ำทำเพลง ก้าวฉับๆ ไปคว้าเอาต้นแขนขาวเนียนเสียแน่น แย่งเอาเชือกรั้งเอวจากมือเล็กมาชูขึ้น ตะคอกใส่อย่างโมโห
“หากเจ้ามีปัญหามากกับแค่ผูกเชือกล่ะก็ ข้าก็จะสงเคราะห์ให้!”
ไม่ทันที่กวงจินจะได้พูดอะไร ก็ถูกเหวี่ยงไปยังตั่งจนล้มหงาย ก่อนร่างใหญ่จะพุ่งเข้ามาคว้าเอาสองข้อมือเล็กไปมัดติดด้วยเชือกรั้งเอวพร้อมออกแรงดึงเสียจนกวงจินรู้สึกถึงแรงเสียดสีของเชือกบนผิวตนจนเจ็บแปลบ
“พอได้แล้ว! ข้าเจ็บนะ!”
“เจ็บสิดี เจ้าจะได้รู้ว่าข้าเจ็บใจแค่ไหนที่ไปหลงใหลบุรุษในคราบสตรีเช่นเจ้าอย่างหัวปักหัวปำ!”
มัดจนเสร็จก็สะบัดร่างเล็กเสียล้มกลิ้งเพื่อให้ออกห่างตัว หยวนเจี๋ยเห็นท่าไม่ดีก็ทำใจกล้าเข้าไปห้าม แต่ไม่ทันจะได้เอ่ยถ้อยคำใดๆ ก็ถูกชายหนุ่มหันมาพูดใส่หน้าเสียก่อนจนต้องถอยกลับไปตั้งหลักที่เดิม
“ข้าบอกฮูหยินแล้วนะว่าไม่ต้องยุ่ง หากท่านทำให้ข้าขุ่นใจกว่านี้แม้เพียงนิดเดียว อย่าหาว่าข้าไม่เตือน”
เมื่อหยวนเจี๋ยไม่กล้ายุ่ง ก็หันกลับมาเล่นงานกวงจินอีกครา ทว่ากลับถูกคนตัวเล็กซึ่งเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดเบะปากใส่อย่างเหยียดหยามจนเดือดอีกครา
“เจ้าสำนักปักษามรกตมิได้มีดีแค่วรยุทธ์ ยังเก่งกับสตรี ออกปากขู่เสียจนกลัวหงอ ช่างน่าชื่นชมยิ่งนัก”
“ประเดี๋ยวจะได้รู้ว่าข้าไม่เก่งแค่เพียงกับสตรี แต่เก่งกับคนปากดีเช่นเจ้าด้วย มานี่!”
เจ้าสำนักหนุ่มกัดฟันกรอด คว้าคนตัวเล็กซึ่งถูกมัดมือแน่นลุกยืน ซ้ำผลักแผ่นหลังเต็มแรงให้ออกเดิน พลางตะโกนร้องหาเชือกเส้นใหม่เพื่อเอามาผูกข้อมือเด็กหนุ่มทับอีกครา เด็กรับใช้กุลีกุจอเอามาให้โดยไวราวกับเตรียมพร้อมไว้แล้ว ครู่เดียวข้อมือเล็กก็ถูกเชือกเส้นโตมัดล่าม ปล่อยปลายไว้สำหรับจูงประหนึ่งดั่งทาสก็ไม่ปาน อวี๋ว์เจิ้งเหอแค่นหัวเราะเย้ยอย่างพึงใจ ไม่ใคร่สนใจสายตาแขกในหอคณิกาว่าจะมองดูเช่นไร นอกเสียจากคว้าปลายเชือกดึงให้เด็กหนุ่มก้าวตาม
กวงจินล้มหน้าคว่ำ แม้โวยวายเพียงใดก็ไม่อาจหาผู้ใดกล้ายื่นมือเข้ามาช่วยได้ เพียงแต่ยืนมองด้วยความใคร่รู้ระคนเวทนาสงสาร ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรกับเด็กหนุ่มบ้าง หยวนเจี๋ยวิ่งตามอวี๋ว์เจิ้งเหอกระทั่งเขาออกไปยังบริเวณหน้าหอคณิกา ปีนขึ้นม้าซึ่งเด็กรับใช้พามาให้ด้วยท่าทางองอาจขณะที่มือยังจับปลายเชือกมัดข้อมือกวงจินไว้มั่น ชำเลืองมาทางอดีตแม่นมที่ทำท่าเหมือนจะขอร้องให้เขาละเว้นโทษให้สตรีน้อยจำแลงผู้นี้ ทว่าชายหนุ่มรู้ทันไปเสียทุกครา ดักคอไว้ทั้งที่หยวนเจี๋ยยังไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
