บทที่ ๔ : โมโหโกรธา【2】
“อย่าคิดห้ามใดๆ เชียวฮูหยิน ข้าไม่ให้มันถึงขั้นกระอักเลือดตายหรอก ไม่ต้องห่วง”
ว่าจบก็กระตุกสายเชือกเป็นสัญญาณให้กวงจินลุกขึ้น เด็กหนุ่มลุกอย่างทุลักทุเล ไม่ทันจะได้ยืนตรงดีก็ถูกลากไปอีก นาทีนี้เขาไม่ต่างจากนักโทษถูกตรวนลากประจานไม่ทั่วแคว้นเลยแม้แต่น้อยโดยที่อวี๋ว์เจิ้งเหอเป็นผู้คุมนักโทษ ควบม้าลากนักโทษให้เดินตาม ทุกสายตาที่จับจ้องมาทำให้กวงจินแค้นใจยิ่งนัก แต่ก็รักศักดิ์ศรีพอที่จะไม่โวยวายหรือขอร้องเจ้าสำนักหนุ่มให้เสียหน้า เชิดหน้าขึ้นพลางวางสีหน้าเรียบ ปล่อยให้อวี๋ว์เจิ้งเหอกระหยิ่มใจ เอ่ยดูแคลนไม่หยุดปากตลอดทางกระทั่งเข้าสู่อาณาเขตของสำนักปักษามรกต
ภาพของเจ้าสำนักหนุ่มซึ่งลากพาใครบางคนอันมีใบหน้าละม้ายคล้ายสตรี ทำให้บรรดาศิษย์สำนักต่างหยุดฝึกวรยุทธ์ หันมามองกันเป็นตาเดียว นึกว่าเจ้าสำนักตนนั้นเล่นสนุกกับก่อนคนตรงหน้าจะร้องเรียกหาศิษย์สำนัก
“ผู้ใดดูแลจัดการคอกม้า มาหาข้าประเดี๋ยวนี้!”
อึดใจเดียว ชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ผู้ทำหน้าที่นี้ก็วิ่งเข้ามาคำนับด้วยสีหน้าตื่นตระหนก กังวลใจหนักหนาว่าตนอาจทำสิ่งใดให้เจ้าสำนักขุ่นเคืองใจ หากแต่เมื่อได้ยินคำสั่งจากชายหนุ่มเท่านั้น ก็พลันโล่งใจวาบ
“เจ้านำตัวเด็กนั่นไปที่คอกม้า ประเดี๋ยวข้าจะตามไป”
“ขอรับคุณชาย”
เขารับคำ หันไปมองยัง ‘เด็กนั่น’ ที่ผู้เป็นนายบอกแล้วก็ชะงักงัน เมื่อพินิจพิเคราะห์ทางสายตาแล้วมั่นใจหนักหนาว่าร่างเล็กในเครื่องแต่งกายเยี่ยงบุรุษนั้นเป็นสตรีที่ผู้เป็นนายพามาพลอดรักเมื่อเช้านี้ ก็เบนมามองหน้าผู้เป็นนายอย่างไม่เข้าใจนัก แต่ก็ไม่กล้าแม้เอ่ยถาม เพราะเพียงมองหน้า ก็ถูกอวี๋ว์เจิ้งเหอตวาดใส่อย่างไม่ทันตั้งตัว
“มัวชักช้าอยู่ไยเล่า! ไปสิ!”
เท่านั้นก็รีบรับปลายเชือกจากชายหนุ่ม โค้งนอบน้อมกับกวงจิน เชิญให้ไปยังคอกม้าตามสั่ง
“ขอเชิญคุณหนูตามข้าน้อยมาทางนี้ด้วยขอรับ”
กวงจินเพียงพยักหน้า ต่างจากอวี๋ว์เจิ้งเหอที่ได้ยินสรรพนามแทนตัวเด็กหนุ่มก็ขนลุกชูชัน แค่นหัวเราะอย่างฝืนๆ เปรยขึ้นราวเยาะเย้ยให้กับความโง่เขลาของตน
“ฮึ! คุณหนู... ไม่ว่าผู้ใดก็เข้าใจว่าเจ้าเป็นสตรีหมดสินะ เจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม”
ไม่นานนักก็ถึงที่หมาย กวงจินถูกปฏิบัติอย่างนอบน้อมประหนึ่งเป็นนายแห่งสำนักปักษามรกตคนหนึ่งก็ไม่ปาน ...ก็ไม่แปลก ได้เห็นเจ้าสำนักหนุ่มมอบความรักอย่างไม่อายฟ้าดินตั้งแต่เช้าจรดเย็นเช่นนี้ จะให้ล่วงเกินไม่ให้เกียรติก็กระไรอยู่ เขาเปิดบานทวารคอกซึ่งไม่มีม้าตัวใดอยู่ให้กวงจินเข้าไป แล้วดึงปิดพลางบอกด้วยเกรงใจ
“เชิญคุณหนูรอคุณชายมาก่อนนะขอรับ ข้าน้อยต้องขออภัยที่ล่วงเกิน หวังว่าคุณหนูคงจะไม่ถือสา”
“ข้าไม่เคืองหรอก ไม่ต้องเป็นกังวล ก็เจ้าโดนเจ้าบ้านั่นสั่งมานี่นา” กวงจินยิ้มรับบางๆ ไม่รู้สึกเคืองใจชายประจำคอกม้าดังคำพูด ทำให้ชายผู้นั้นยิ้มออกบ้าง
“คุณหนูช่างน้ำใจงามสมหน้าตานัก อะ...เอ่อ แล้วพอจะบอกข้าได้หรือไม่ว่ามีเหตุขุ่นเคืองใดกับคุณชาย คุณหนูถึงถูกกระทำเยี่ยงนี้”
สุดท้ายแล้วก็อดเก็บความอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ กวงจินกะไว้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ หย่อนตัวนั่งลงบนองฟางสูงแล้วตอบด้วยท่าทีราวไม่แยแส
“เจ้าไม่ต้องเรียกข้าว่าคุณหนูหรอก ข้ามิใช่สตรีดังเช่นเจ้าเห็นไม่ เหตุผลนี้แหละที่ทำให้คุณชายของเจ้าโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ”
“มิใช่สตรีหรือ?” คนถามทำหน้าฉงน จนคนตอบต้องอธิบายเพิ่ม
“ใช่ ข้ามิใช่สตรี แต่ข้าเป็นบุรุษซึ่งปลอมเป็นสตรีแล้วคุณชายของเจ้าดันหลงใหลเสียหน้ามืดตามัวต่างหาก”
ว่าพลางแบะสาบเสื้อออกให้เห็นแผงอกแข็งๆ ของตน คนถามนิ่งงันราวเวลาหมุนไปชั่วขณะ พลางภาพระหว่างอวี๋ว์เจิ้งเหอและเด็กหนุ่มตรงหน้าที่กอดรัดกันอย่างสนิทสนมประหนึ่งหนุ่มสาวพลอดรักที่ตนเห็นวันนี้แล้วก็ทำหน้าไม่ถูก กวงจินพอจะเข้าใจความกระอักกระอวลของคนตรงหน้าดี ก็โบกมือไปมา ก่นด่าอวี๋ว์เจิ้งเหอเต็มที่ราวกับอัดอั้น ไม่ทันคิดว่าอีกเพียงครู่ คนถูกกล่าวหาจะมาได้ยินเต็มสองหู
“อย่าไปรื้อฟื้นเรื่องอัปยศเช่นนั้นเลย เพียงคิดเจ้ายังขยะแขยงแล้ว แล้วข้าผู้ที่โดนล่วงเกินจากเจ้านั่นจะขยะแขยงเสียขนาดไหน เจ้านายเจ้ามันเสียสติ แค่เห็นหน้าก็หลงใหลเสียคลุ้มคลั่ง พอรู้ความจริงก็เอาผิดข้า ตัวเองผิดเองแท้ๆ”
“จะว่าร้ายข้าก็ดูเสียก่อนว่าข้าอยู่ตรงไหน พูดพล่อยๆ ไปเรื่อยระวังจะกลายเป็นผีเฝ้าสำนักข้า!”
หันไปเห็นร่างสูงใหญ่เดินอาดๆ เข้ามา ผู้ดูแลคอกม้าก็ถอยห่างกวงจินโดยเร็ว เปิดทางให้ผู้เป็นนายเข้ามายืนแทนที่ ขณะที่คนตัวเล็กพึมพำปากเบี้ยวบูดอย่างขัดใจที่ด่ายังไม่ทันหนำใจ เจ้าตัวก็โผล่มาเสียอย่างนั้น
“เจ้าน่ะสิผี ...พูดถึงผี ผีก็มา เฮอะ!”
แม้ได้ยินเต็มสองหู แต่ก็ไม่โต้คืน นอกเสียจากนิ่งเงียบจนบรรยากาศกดดันคนรอบข้างเสียเต็มประดา โดยเฉพาะกับชายเลี้ยงม้าที่รู้สึกอึดอัดจนไม่อาจทนไหว ทำทีไต่ถามเพื่อรับใช้
“คุณชายมีสิ่งใดจะสั่งข้าน้อยหรือไม่ขอรับ ข้าน้อยจะได้รับใช้คุณชายได้เร็วไว”
“ไปตักน้ำมาให้เต็มถัง แล้วหิ้วมาให้ข้าที่นี่”
ชายเลี้ยงม้ารีบคำนับรับคำสั่งแล้วผละไปทำหน้าที่พลัน เหลือเพียงบุรุษทั้งสองปะทะสายตากันไปมา
“สำนักดอกเหมยอำพันกล้าดีมากนะที่กล้าล้วงคอข้าถึงเพียงนี้ หากข้าไม่ปรารถนาเรือนร่างของถิงฟาง ข้าก็คงโง่โง่งมอีกนาน ช่างน่าแค้นใจนัก!”
แล้วอวี๋ว์เจิ้งเหอก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นก่อน พรั่งพรูความในใจอย่างเคืองแค้นเมื่อเห็นดวงหน้าผุดผาดของเด็กหนุ่ม ไม่อยากเชื่อว่าตนจะพลาดท่าให้กับสำนักดอกเหมยอำพันด้วยเล่ห์กลนี้อย่างง่ายดายจนเสื่อมเกียรติ ทั้งเกียรติแห่งบุรุษและเกียรติในนามเจ้าสำนักปักษามรกต กวงจินได้ฟังก็ยิ้มเผล่ สะใจไม่น้อยที่เอาคืนเขาได้หลังจากถูกล่วงเกินมาเสียนับไม่ถ้วน เอ่ยสวนดั่งผู้มีชัย
“ก็เจ้าไยไม่ดูให้ดีเล่าว่าถิงฟางของเจ้านั้นเป็นบุรุษหรือสตรี เห็นเพียงรูปกายก็หมายจะครอบครองไปเสียหมด ก็สมควรแล้วที่จะถูกหักหน้าเช่นนี้ น่าอดสูเหลือเกิน”
“เงียบปากไปเลย ทั้งหมดนี้ก็เพราะเจ้านั่นแหละ หลอกข้าว่าเป็นสตรีเสียจนเชื่อสนิท เจ้าจงใจปั่นหัวข้าชัดๆ!”
อวี๋ว์เจิ้งเหอไม่ยอมรับคำกล่าวหา ให้กวงจินได้ลอยหน้าลอยตา ทำหน้าเยาะเย้ยยิ่งขึ้นจนชายหนุ่มตบะแตก
“ก็ผู้ใดจะรู้เล่าว่าเจ้าสำนักปักษามรกตไร้ปัญญาถึงเพียงนี้”
“เจ้า…!”
“น้ำมาแล้วขอรับคุณชาย”
ไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ ชายเลี้ยงม้าก็กลับมาพร้อมกับกระถางไม้บรรจุน้ำเอ่อท่วม ฉับพลันใบหน้าบึ้งตึงของผู้เป็นนายก็ผ่อนลง มีรอยยิ้มเหี้ยมแต่งแต้ม กวงจินเห็นดังนั้นก็รับรู้ได้ว่าคงมีเรื่องไม่ดีเกิดกับตนแน่ และก็เป็นจริงดังคาดเมื่อจู่ๆ ชายหนุ่มก็ปราดเข้ามาคว้าเอาคอเสื้อจากทางด้านหลังแล้วออกแรงยกขึ้นเสียตัวลอย พร้อมหันไปสั่งให้ชายเลี้ยงม้าวางกระถางน้ำลง เมื่อพร้อม เพียงอึดใจเดียว อวี๋ว์เจิ้งเหอก็กดศีรษะเด็กหนุ่มลงน้ำทันใด
น้ำมากมายพรั่งพรูผ่านรูจมูกและปากจนกวงจินสำลัก ตะเกียกตะกายพยายามเอาตัวรอด สะบัดแขนไขว่คว้ามือของอวี๋ว์เจิ้งเหอหมายจะให้ปล่อยตนเป็นอิสระ แต่ก็ไม่สามารถทำได้ง่ายนัก ยิ่งต่อต้าน อวี๋ว์เจิ้งเหอก็ออกแรงกดอีก เสี้ยวนาทีนั้นคงเป็นนาทีที่ทรมานที่สุดในชีวิตของกวงจินแล้วก็เป็นได้ ขณะที่ตัวการตะเบ็งหัวเราะร่ายามเห็นคนตัวเล็กกระเสือกกระสนหนีอย่างทุรนทุราย
“หากเจ้าตายไปสักคน ก็คงไม่มีผู้ใดรู้แล้วว่าข้านั้นโง่งมไปหลงใหลเจ้าเพียงใด! จริงหรือไม่เจ้าเด็กเหลือขอ!”
ฝ่ายชายเลี้ยงม้าเห็นดังนั้นก็หน้าซีดเผือด ไม่ยักรู้ว่าผู้เป็นนายจะโหดร้ายได้ถึงเพียงนี้ เพราะจากการรับใช้สำนักปักษามรกตมาร่วมหลายปี ยังไม่เคยเห็นชายหนุ่มโมโหโกรธาเช่นนี้เลย จนอดไม่ได้ที่จะร้องห้าม แม้อวี๋ว์เจิ้งเหอจะเพียงกระทำเพื่อขู่ให้กวงจินรู้สึกกลัวจนไม่กล้าปากดีใส่เขาอีก ไม่ได้ต้องการจะเอาชีวิตจริงจังก็ตาม
“พะ...พอเถิดคุณชาย พอเถิด...ข้าน้อยขอเถิด ได้โปรดคุณชายช่วยเมตตาด้วย”
พูดพลางคำนับ ขณะที่เด็กหนุ่มกำลังอ่อนแรงลงด้วยขาดอากาศ อวี๋ว์เจิ้งเหอเห็นว่าสมควรพอก็หยุด กระชากร่างบางขึ้นแล้วเหวี่ยงไปทางกองฟาง ชำเลืองมองคนตัวเล็กไอสำลักหน้าดำหน้าแดงด้วยความเย็นชา ชายเลี้ยงม้าปรี่เข้าไปประคอง ลูบหัวลูบหลังให้กวงจินลำสักน้ำออกมาให้หมด
“เห็นแก่คนของข้า จึงได้ลงโทษเจ้าเพียงเท่านี้ จำไว้ว่าอย่าริอ่านอวดดีกับข้าอีก พรุ่งนี้ข้าจะมาใหม่ เตรียมตัวเตรียมใจไว้ให้ดี บุตรชายเจ้าสำนักดอกเหมยอำพัน!”
ว่าก่อนสะบัดกายผละกลับไปยังจวน พลางคิดแผนชำระโทษสำหรับวันพรุ่งนี้พัลวัน ก่อนสบถออกมาด้วยยังหัวเสียไม่หายกับเหตุการณ์วันนี้
“อุตส่าห์เอ็นดูเสียมากมาย กลับกลายเป็นบุรุษไปเสียนี่! สวรรค์นะสวรรค์ เกือบให้ข้าได้สมสู่กับบุรุษด้วยกันแล้วไหมเล่า!”
ดีที่อาการดีขึ้นเพราะชายเลี้ยงม้าช่วยดูแลหลังจากไอสำลักเสียจนตัวโยน แม้จะไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าชุ่มน้ำ แต่ก็ได้กองฟางหนานุ่มห่มกายไม่ให้นอนหนาวทั้งคืน กระทั่งแสงตะวันเยือนทักทายขอบฟ้า ส่องประกายแยงตาปลุกคนตัวเล็กให้ตื่นจากหลับใหล ทว่ายังไม่ทันได้ลืมตาตื่นดี ก็ถูกปลุกให้ตื่นเต็มตาด้วยความเย็นเยียบของน้ำที่ตักราดรดลงบนตัวอีกครั้ง
“จะนอนไปถึงไหนเจ้าเด็กขี้เกียจ ตื่นได้แล้ว!”
กวงจินสะดุ้งโหยง เบี่ยงกายลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว เพ่งมองไปยังคนต้นเรื่องอย่างหงุดหงิด แม้จะไม่เห็นใบหน้าชัดเจนแต่ก็รู้ดีว่าเป็นฝีมือของใคร และก็ไม่ผิดเพี้ยนเมื่อสายตาต้านแสงได้แล้ว ก็เห็นอวี๋ว์เจิ้งเหอในชุดสีน้ำตาลแลดูกระฉับกระเฉงยืนหน้านิ่ว มือข้างหนึ่งถือกระบี่คู่กาย ขณะที่มืออีกข้างจับด้ามกระบวยตักน้ำไว้มั่น โดยมีชายเลี้ยงม้ายืนหิ้วกระถางน้ำอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“คิดถึงข้าจนอยู่ไม่สุขหรือ ถึงได้มาหาแต่เช้า”
ทว่าแทนที่จะนิ่งเฉย กวงจินกลับแสร้งยิ้ม ยกมือเสยปอยผมปรกหน้าผากขึ้นแล้วชำเลืองตามองคล้ายยั่วยวน ดูก็รู้ว่าเด็กหนุ่มหมายปั่นหัวให้อารมณ์เสีย แต่ก็ยังติดกับอารมณ์เสียอย่างง่ายดาย โยนกระบวยในมือทิ้ง แล้วเข้าไปคว้าแขนคนตรงหน้าให้ลุกขึ้น
“เมื่อคืนโดนเสียขนาดนั้นยังไม่เข็ดอีกหรือ ปากดีเยี่ยงนี้สงสัยใคร่โดนหนักกว่านี้”
“นี่! เบาๆ มือหน่อยสิ ประเดี๋ยวข้าก็ช้ำเพราะแรงพิศวาสจากเจ้าหรอก”
ครั้นจะเถียงก็คงสู้คนตัวเล็กที่เหยียดยิ้มเย้ยอย่างไม่เกรงกลัวไม่ได้ จึงได้แต่กัดฟันกรอด ออกแรงสะบัดร่างเล็กออก แล้วถอยกลับมาตั้งหลักที่เดิม
“อยากพูดอันใดก็พูดไปเสีย อีกประเดี๋ยวเจ้าจะพูดไม่ออก”
“หากท่านเจ้าสำนักอันระบือนามใคร่จะกลั่นแกล้งเด็กหนุ่มตัวเล็กเช่นข้าให้พึงใจก็สุดแล้วแต่ประสงค์”
ยิ่งฟังกวงจินพูดก็ยิ่งอดทนไม่ลงไม้ลงมือไม่ไหว ขนาดจนตรอกเช่นนี้ ยังจะต่อล้อต่อเถียงคอเป็นเอ็น เจ้าสำนักหนุ่มเพียงขยับมุมปากแสยะยิ้ม ประกาศกร้าวพร้อมดวงตาวาวโรจน์คล้ายหมายเล่นงานเต็มที่
“ได้! ท้าทายนักก็ลองดูว่าเจ้าจะเก่งเช่นปากว่าแค่ไหน! มานี่!”
ว่าจบก็ไม่รอให้กวงจินตั้งตัว ตรงไปกระชากลากถูให้เด็กหนุ่มเดินตามอย่างทุลักทุเล ล้มลุกคลุกคลานแลดูน่าเวทนาในสายตาของชายเลี้ยงม้าซึ่งเดินตามหลังทั้งคู่เสียเหลือเกิน กระทั่งถึงบริเวณลานกว้างอันอุดมไปด้วยสิ่งปฏิกูลโสมม หรือที่ใครๆ ในสำนักปักษามรกตไม่ค่อยใคร่ย่างกรายมาเท่าไหร่ด้วยรู้ว่าเป็นลานดินสำหรับทิ้งขี้ม้า ด้วยกลิ่นอันไม่พึงประสงค์คละคลุ้ง ทำเอากวงจินยกมือป้องจมูกโดยพลันด้วยไม่อาจทานความฉุนกึกของกลิ่นนี้ไหว ขณะที่ชายเลี้ยงม้าไม่แสดงท่าทางใดๆ เพราะคุ้นเคยดี ส่วนอวี๋ว์เจิ้งเหอแม้จะเหม็นจวนใกล้อาเจียน แต่ก็กัดฟันทน เอ่ยกับคนตัวเล็กกร้าว
“ปากดีนัก ไยตอนนี้ถึงยกมืออุดปากอุดจมูกเช่นนี้เล่า!”
“เห็นทีเจ้าคงจะจมูกบอด หากใคร่อยากรู้ก็หายใจเข้าลึกๆ สิเจ้าลูกไก่โง่เง่า”
เสียงอู้อี้ลอดผ่านช่องว่างระหว่างนิ้ว สะบัดแขนเพื่อให้หลุดจากการเกาะเกาะของชายหนุ่มแล้วยกมืออีกข้างขึ้นมาปิดอีกแรงด้วยเกินจะทานทนกลิ่นนี้ไหว อวี๋ว์เจิ้งเหอพอโดนด่าก็คุกรุ่น ผิดหวังเล็กน้อยที่ไม่เห็นกวงจินมีท่าทีเกรงกลัวเขาสักนิด จนลืมสิ้นความเหม็นเสียชั่วขณะ ออกแรงคว้าคนตัวเล็กอีกระลอกก่อนตวาด
“ว่าใครเป็นเจ้าลูกไก่โง่เง่ากันฮะ!”
ไม่ทันที่กวงจินจะได้ตอบหรือร้องท้วงอะไร อวี๋ว์เจิ้งเหอก็เหวี่ยงร่างเล็กลงสู่ลานดินอันอุดมไปด้วยขี้ม้านั้น เด็กหนุ่มล้มหงายลงไปทั้งตัว ความเหนียวเหนอะและสีดำตุ่นๆ อาบพรายไปทั่วร่าง เผลอปล่อยมือออกจากใบหน้าทันใด
“อะ...อวี๋ว์เจิ้งเหอ! มันจะมากไปแล้ว!” ว่าพลางสำหน้าแหยๆ เมื่อเห็นว่าเนื้อตัวเปรอะเปื้อนเพียงใด แต่คนตัวใหญ่กลับยิ้มร่าได้ฉับพลัน
“แค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำกับสิ่งที่เจ้าทำกับข้า คนgช่นเจ้าเหมาะสมแล้วกับการคลุกคลีกับสิ่งโสมมเช่นนี้! เจ้า! ไปเอาอุปกรณ์ของเจ้ามา ต่อไปนี้หน้าที่ขนขี้ม้าหาใช่ของเจ้าแล้ว” ว่าพลางหันไปทางชายเลี้ยงม้า
“เอ่อ... ทำเช่นนี้จะดีหรือขอรับคุณชาย”
แต่เขาอึกอักด้วยรู้ดีว่ากวงจินนั้นเป็นใครและสูงส่งแค่ไหน แต่ก็ไม่ได้ทำให้อวี๋ว์เจิ้งเหอสนใจ นอกเสียจากถลึงตาใส่ชายเลี้ยงม้าแล้วออกคำสั่งอีกครั้ง
“ข้าบอกให้ไปเอามาเช่นไรเล่า!”
เท่านั้นก็รีบกุลีกุจอทำตามคำสั่งทันที ไม่นานก็กลับมาพร้อมกระบุงโกยสีดำๆ ด่างๆ ในมือ พลันส่งให้อวี๋ว์เจิ้งเหอที่ยื่นมือออกมารับ แล้วชำเลืองมองไปยังกวงจินที่กำลังพยุงตัวเองขึ้นจากขี้ม้ากองมหึมาอย่างทุลักทุเล
“จนกว่าข้าจะกำราบสำนักดอกเหมยอำพันเป็นที่แล้วสิ้น หน้าที่ของเจ้าคือเด็กเก็บขี้ม้าประจำสำนักตั้งแต่วันนี้”
“ผู้ใดจะเชื่อฟังเจ้ากันเจ้าลูกไก่ ถืออยู่ในมือก็ทำเองสิ”
ก็ยังคงไม่วายโต้เถียง อวี๋ว์เจิ้งเหอจึงขว้างกระบุงใส่ท้องคนตัวเล็กเข้าเต็มรักจนล้มจ้ำเบ้าลงไปนั่งอีกระลอก จากที่เปรอะเปื้อนครึ่งตัวก็กลายเป็นหัวหูหน้าตาคลาคล่ำด้วยมูลมากมาย โดยมีกระบุงคว่ำตกอยู่ข้างๆ
“หากได้ยินเจ้าเรียกข้าเช่นนั้นอีกครา ไม่แน่คราหน้า คอเจ้าอาจไม่มีหัวรองรับก็เป็นได้ ที่นี่หาใช่สำนักดอกเหมยอำพัน ข้าคือผู้มีอำนาจสูงสุด อย่าทำตัวให้ข้าขุ่นใจ ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าไม่เตือน ไปได้แล้วเจ้าเด็กขี้เกียจ! ทำหน้าที่ของเจ้าเสีย หากข้ากลับม้ายังหลงเหลือขี้ม้าให้เห็น เจ้าโดนดีแน่!”
ชี้หน้าสั่งๆ แล้วก็ผละจากไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ปล่อยให้ชายเลี้ยงม้ามองตามสลับกับกวงจินอย่างทำอะไรไม่ถูก พอตั้งสติได้ว่าเสียที เด็กหนุ่มก็ตีอกชกหัว ตะโกนไล่หลังอย่างหัวเสีย
“แค้นนี้ข้าชำระแน่เจ้าลูกไก่โหลยโท่ย!”
