บทที่ ๓ : สวรรค์ลงโทษ【2】
เสียงของผู้เข้ามาใหม่เรียกให้กวงจินหลุดจากภวังค์ รวมถึงนางคณิกาซึ่งกำลังปักปิ่นบนมวยผมของเด็กหนุ่มให้หันไปมอง พอเห็นว่าเป็นหยวนเจี๋ย กวงจินก็ลอบถอนหายใจแล้วหันกลับมามองเงาตนเองในคันฉ่อง โดยไม่ทันได้สังเกตว่าหยวนเจี๋ยไม่ได้มาคนเดียว ยังมีใครบางคนตามหลังมาด้วย
“จวนแล้วเจ้าค่ะฮูหยิน ปักปิ่นอันสุดท้ายก็เรียบร้อยเจ้าค่ะ”
“เร่งมือหน่อยแล้วกัน ประเดี๋ยวคุณชายเจิ้งเหอจะรอนาน”
“ก็ปล่อยให้มันรอไปสิ”
กวงจินพึมพำยอกย้อน ไม่ทันได้ระวังว่าใครบางคนที่เดินอ้อมมาทางด้านหลังเขาจะได้ยินคำพูดเมื่อครู่เต็มสองหู จนอดไม่ได้ที่จะหยอกเย้า ชะโงกหน้าไปเสียใกล้ให้คนตัวเล็กเห็นเงาตนในคันฉ่อง
“ใบหน้างามงดแต่ไยใจร้ายเสียจริงเล่าถิงฟาง ใจคอจะปล่อยให้ข้ารอไปถึงเมื่อไหร่กันหรือ”
“อวี๋ว์เจิ้งเหอ!” กวงจินผงะหงาย ร้องเสียงดังด้วยความตกใจขณะที่คนแกล้งยิ้มกว้าง แม้สารรูปจะเปลี่ยนไปจากเมื่อวานตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ก็จำรอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั่นของอวี๋ว์เจิ้งเหอได้เป็นอย่างดี
“ประเดี๋ยวเถิดถิงฟาง! เรียกคุณชายเช่นนั้นได้อย่างไร ต้องเรียกคุณชายเจิ้งเหอสิ!” หยวนเจี๋ยเองก็ดุทันควันเช่นกันเมื่อเห็นเด็กในดูแลแสดงกิริยาก้าวร้าวใส่ผู้เป็นนาย อวี๋ว์เจิ้งเหอต้องยกมือปราม นางจึงหยุดทำหน้าถมึงทึงได้
กระทั่งนางคณิกาแต่งตัวให้กวงจินเสร็จ ทั้งหมดจึงทิ้งให้อวี๋ว์เจิ้งเหออยู่กับเด็กหนุ่มภายในห้องตามลำพัง กวงจินล่าถอยมาใกล้ๆ บานทวารเผื่อเป็นทางหนีทีไล่ยามอวี๋ว์เจิ้งเหอหน้ามืดอีก ก่อนเข้าบทสนทนาอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ให้ข้าตื่นแต่เช้ามาแต่งตัวรอเจ้า...คุณชายด้วยเรื่องอันใดเจ้าคะ”
“ไม่ต้องเกรงข้าเสียขนาดนั้นหรอกถิงฟาง ข้ามาวันนี้หาใช่มาสุขสำราญกับเจ้าเช่นเมื่อวานไม่ เพียงแต่ข้าอยากพาเจ้าไปเที่ยวชมเมืองต่างหาก”
“เที่ยวหรือ” กวงจินย่นคิ้ว เดาไม่ออกว่าอวี๋ว์เจิ้งเหอจะมาไม้ไหน
“ใช่ แค่เที่ยว เจ้าเพิ่งมาถึงแคว้นเสียน คงอยากเปิดหูเปิดตา อยากไปที่ใดล่ะ ข้าจะพาไป ทุ่งดอกไม้ไหม ฤดูนี้ดอกไม้งามบานสะพรั่งอยู่โขเลยนะ”
สายตาอ่อนโยนจับจ้องยังเด็กหนุ่มเสียจนน่าขนลุกจนเกือบจะปฏิเสธ แต่ก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่านี่เป็นโอกาสอันดีที่จะล้วงจุดอ่อน พลันความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นในหัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขามายื่นข้อเสนอให้ถึงที่เช่นนี้แล้ว มีหรือที่จะพลาด
“ถ้าเช่นนั้น ข้าขอไปชมสำนักปักษามรกตได้หรือไม่”
“หืม? สำนักปักษามรกตหรือ” ชายหนุ่มงงงัน ไม่เข้าใจว่าที่สำนักของตนนั้นมีอะไรให้น่าเชยชมนัก นอกจากเหล่าชายฉกรรจ์หลายสิบชีวิตฝึกปรือวรยุทธ์กันทั้งวี่วัน ไม่มีสิ่งใดน่าดึงดูดใจสำหรับสตรีสักนิด เหมือนกวงจินรู้ทันว่าเขาคิดอะไร รีบบอกเหตุผลด้วยน้ำเสียงออดอ้อนผิดปรกติ
“ได้ยินว่าคุณชายเป็นถึงเจ้าสำนักปักษามรกตอันระบือนาม ข้าก็ใคร่อยากจะยลความแข็งแกร่งของสำนักว่ายิ่งใหญ่เพียงใด หากไม่รบกวนจนเกินไป ได้โปรดพาข้าไปหน่อยเถิด”
หากไม่หลงใหลเด็กหนุ่มจนหูตาฝ้าฟางก็คงดูออกว่าสิ่งที่กวงจินกล่าวนั้นเสแสร้งสิ้นดี ทว่ายามนี้ชายหนุ่มไม่รับรู้อะไร นอกเสียจากยิ้มกริ่มที่เห็นคนตัวเล็กออดอ้อนจึงอยากจะเอาใจ ตกลงรับคำไปเสียง่ายดาย
“หากเจ้าประสงค์ก็เอาสิ ข้าจะพาไป”
“จริงหรือ คุณชายจะพาข้าไปจริงหรือ”
“สิ่งใดที่เจ้าร้องขอมา มีหรือที่ข้าจะปฏิเสธ มาเถิดถิงฟาง เจ้าจะได้มีเวลาเที่ยวชมที่สำนักได้นานๆ”
เข้าทางคนตัวเล็กเข้าอย่างจังจนเผลอยิ้มเผล่ รีบเดินตามหลังคุณชายจอมซื่อบื้อไปยังด้านล่างของหอคณิกาเพื่อมุ่งหน้าไปยังสำนักปักษามรกตด้วยอารมณ์ที่เบิกบาน
เพียงแค่ครู่เดียว ทั้งกวงจินและอวี๋ว์เจิ้งเหอก็มาถึงยังอาณาเขตสำนักปักษามรกต ด้วยสำนักปักษามรกตนี้อยู่ห่างจากหอคณิกาปักษาภิภิรมย์ เพียงใช้เวลาเดินไม่นานก็ถึงที่หมาย ทว่าอวี๋ว์เจิ้งเหอหาได้ยอมปล่อยให้แม่นางน้อยของเขาได้เดินไม่ จับอุ้มขึ้นหลังม้า แล้วตนนั่งซ้อนพาควบชมรอบๆ บริเวณอย่างเปี่ยมสุข ด้วยได้พะเน้าพะนอคลอเคลียยามทีเผลอหลายต่อหลายคราโดยที่กวงจินไม่อาจปฏิเสธได้ กระทั่งเจ้าคนตัวดีจรดจุมพิตลงบนแก้มใสหลายครั้งติดกัน เด็กหนุ่มจึงตบะแตก ตะคอกเสียงหลง
“จะลวนลามข้าอีกนานไหม!”
“หือ? ผู้ใดลวนลามกันเล่าถิงฟาง ข้าเพียงเห็นแมลงเกาะบนแก้มเจ้า ครั้นจะใช้มือปัดก็ถือสายบังเหียนอยู่ เลยใช้ปากปัดให้ เช่นนี้เรียกลวนลามหรือ”
“เจ้านี่มันกะล่อนชะมัด” เด็กหนุ่มบ่นหน้ามุ่ย ลืมสิ้นสรรพนามที่เหมาะสม แต่อวี๋ว์เจิ้งเหอก็หาได้ถือสา นอกเสียจากโน้มจุมพิตยังจุดเดิมอีกทีให้คนตัวเล็กสะดุ้งสุดตัว
“ช่วยไม่ได้ ก็เจ้าอยากมีกลิ่นหอมเย้ายวนทำไม ข้าอดใจไม่ได้ก็ไม่แปลก”
แม้ใจอยากจะเด็ดหัวเจ้าสำนักจอมกระลิ้มกระเหลี่ยนี่เพียงใดก็ต้องกลั้นใจเอาไว้ เมื่อสายตาปะทะกับเหล่าชายฉกรรจ์ยังลานกว้างสำหรับฝึกวรยุทธ์ที่เตรียมพร้อมฝึกปรือฝีมือตามหน้าที่อย่างพร้อมเพรียง เท่านั้น ความสนใจทั้งหมดของคนตัวเล็กก็เบนไปยังลานฝึกยุทธ์ทันที อึดใจเดียว กระบวนท่าแปลกตาก็ร่ายรำผ่านเพลงกระบี่ให้กวงจินได้ประจักษ์ แม้ว่าจะมีวรยุทธ์ติดตัวเพียงหยิบมือและหาได้มีความรู้เรื่องศาสตร์กระบวนยุทธ์มากนัก แต่ก็พอรู้ได้ว่าวรยุทธ์ของสำนักปักษามรกตแห่งนี้ช่างพิสดารลึกล้ำต่างจากสำนักดอกเหมยอำพันยิ่งนักจนอดตะลึงไม่ได้
“วรยุทธ์นี้ล้วนได้รับการถ่ายทอดวิชาจากเหล่าจอมยุทธ์ทั่วทุกสารทิศที่เข้าร่วมกับสำนักปักษามรกตจนผสานกันเกิดเป็นกระบวนยุทธ์ใหม่ ข้าเรียกมันว่าเพลงยุทธ์ปักษาร่อนเวหา”
จู่ๆ อวี๋ว์เจิ้งเหอก็แทรกขึ้นอธิบายเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กสนใจกับการฝึกวรยุทธ์ตรงหน้าเสียเหลือเกิน
“ปักษาร่อนเวหาหรือ?”
“ปักษาร่อนเวหา ...ยามร่อนเหินเวหานั้นพลิ้วไหวดุจสายลม หากแต่ทรงอำนาจดุจเทพแห่งห้วงนภา ยามร่อนลงปฐพีก็แกร่งกล้าและหนักแน่นดุจกรงเล็บร้ายที่ล้างผลาญคู่ต่อสู้ให้วายปราณ ต่างจากกระบวนยุทธ์ของสำนักอื่นซึ่งถนัดเฉพาะด้าน แต่ปักษาร่อนเวหานั้นได้ตั้งจู่โจมและตั้งรับรอบด้าน ก็บอกแล้วว่ากระบวนยุทธ์นี้เป็นการผสานจากหลากหลายกระบวนยุทธ์ พูดไปสตรีเช่นเจ้าก็ไม่เข้าใจหรอก...”
กวงจินถือโอกาสนี้จดจำทุกรายละเอียดทั้งจากสิ่งที่เห็นและได้ฟังจากอวี๋ว์เจิ้งเหอ แต่ไม่วายแสร้งทำหน้างุนงงเพื่อให้เขาตายใจว่าสิ่งที่ได้ยินได้ฟังนั้นไม่เข้าหัวตนสักนิด จวบจนการฝึกวรยุทธ์นั้นจบลงจึงร้องขอให้อวี๋ว์เจิ้งเหอพากลับ พอใจไม่น้อยกับการเปลืองเนื้อเปลืองตัวในวันนี้ เพราะสิ่งที่เขาได้รับรู้นั้นล้ำค่าจนพรรณนาออกมาไม่ได้ นอกเสียจากเหยียดยกมุมปาก กระหยิ่มใจว่าอวี๋ว์เจิ้งเหอคงได้เป็นลูกไก่ในกำมือตนอีกไม่นานเกินรอ
กว่าอวี๋ว์เจิ้งเหอจะปล่อยให้กลับมาถึงหอคณิกาได้ก็แดดร่มลมตกแล้ว หากอวี๋ว์เจิ้งเสี้ยนผู้เป็นบิดาไม่เรียกพบเพื่อหารือ รับรองได้ว่าชายหนุ่มไม่มีทางเลิกสำเริงสำราญใจกับบุปผางามของเขาง่ายๆ แน่ เว้นแต่กวงจินซึ่งโล่งใจหนักหนาที่ไม่ถูกกอดถูกหอมให้ระคายเคืองอีก พอถึงหอคณิกา เขาก็วิ่งตามหายืมหมึกและพู่กันพร้อมกับผ้าฝ้ายจากนางคณิกาคนอื่น บอกเพียงจะนำมาแต่งกลอนให้อวี๋ว์เจิ้งเหอเพื่อขอบคุณสำหรับวันนี้ จึงไม่มีใครใคร่สงสัยว่าเด็กหนุ่มเอาของพวกนั้นไปทำไม แต่หารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้ว เขาจะเอาไปเขียนจดหมายรายงานให้กวงฟั่นรู้ต่างหากว่าทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งได้เจอในสำนักปักษามรกตนั้นเป็นเช่นไรบ้าง
กวงจินเหยียดยิ้มเล็กน้อยพร้อมยกผ้าฝ้ายอันเต็มไปด้วยตัวอักษรขึ้นตรงหน้า
“คราวนี้แหละเจ้าลูกไก่ ทั้งเจ้า ทั้งสำนักปักษามรกตได้หมดสิ้นเป็นแน่”
ยิ้มพลางรำพึงรำพันอยู่คนเดียว แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อเสียงเคาะบานทวารดังขึ้นสองสามครั้งให้หันขวับไปมอง ก่อนเสียงของคนด้านนอกจะลอดเข้ามาให้ได้หน้าซีด
“ถิงฟาง... ข้าเอง ขอเข้าไปหน่อยสิ”
“อวี๋ว์เจิ้งเหอ! มาทำไมอีกเนี่ย”
กวงจินเผลอสบถเบาๆ พอพูดจบ คนด้านนอกก็ถือวิสาสะผลักบานทวารเข้ามา ทำให้กวงจินลุกลี้ลุกลนพับจดหมายนั่นเก็บซ่อนใต้สาบเสื้อตนอย่างลวกๆ ก่อนอวี๋ว์เจิ้งเหอจะเห็น ก่อนหันกลับไปประจันหน้ากับชายหนุ่มด้วยสีหน้ามีพิรุธ ทว่าก็เพียงครู่เดียวก่อนหายวับไปโดยคนตรงหน้าไม่ทันได้เห็น
“อะ...เอ่อ คุณชาย ...มีธุระอันใดหรือเจ้าคะ”
“ไม่มีสิ่งใดสำคัญหรอก ข้าอยากจะชดเชยเวลาให้เจ้าระหว่างที่ข้าไปพบท่านพ่อ ข้าเกรงว่าประเดี๋ยวเจ้าจะน้อยใจ หาว่าข้าหาได้มีใจให้เจ้าอย่างจริงแท้น่ะสิ”
ว่าพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม จุดหมายของอวี๋ว์เจิ้งเหอนั้นหาใช่มาเพื่อกวงจินหรอก หากแต่เพื่อสนองความต้องการของเขาเองต่างหาก เพราะแม้เพียงเสี้ยวนาทีเดียวที่ไม่ได้เคียงกายหญิงอันเป็นที่หลงใหล เขาก็เหมือนจะขาดใจอยู่รอมร่อจนต้องถ่อสังขารมาแนบชิดอีกครา
“ระ...รบกวนไปแล้วเจ้าค่ะคุณชาย ข้าหาได้น้อยใจหรอก เชิญคุณชายกลับไปพักผ่อนเถิด”
กวงจินทำหน้าปูเลี่ยนเมื่อได้ยินคำกล่าวจากชายหนุ่ม ซ้ำยังไล่กลับโดยทันทีด้วยดูทีท่าเขาแล้ว คงมาด้วยจุดประสงค์ใดบางอย่าง และก็เดาไม่ผิดเพี้ยนสักนิดเมื่ออวี๋ว์เจิ้งเหอหัวเราะในลำคอแล้วปิดบานทวารลงกลอนแน่นหนา ชำเลืองกลับมามองร่างแน่งน้อยด้วยสายตามีเลศนัย
“ข้ามาเหนื่อยๆ ด้วยเป็นห่วงจิตใจเจ้าถึงเพียงนี้ เจ้าไล่ข้ากลับได้ลงคอเชียวหรอถิงฟาง”
ข้าทำได้มากกว่าไล่เจ้ากลับเสียอีก!
อยากจะเอ่ยเช่นนี้เหลือเกิน แต่ก็ต้องยิ้มแหยๆ ส่งให้แล้วถอยกรูดไปเสียจนแผ่นหลังติดผนังห้องอีกฝั่งเมื่อเห็นชายหนุ่มย่างสามขุมเข้ามาใกล้ด้วยท่าทางสงบนิ่ง ทว่าสีหน้าแฝงไว้ซึ่งแผนการเต็มเปี่ยมโดยไม่อาจปิดบังได้มิด
“หะ...หามิได้ ข้าเพียงแต่ห่วงว่าคุณชายจะเหนื่อยเพราะข้าต่างหาก”
น้ำเสียงหาได้มีความจริงใจสักนิดเพราะสีหน้าบ่งบอกว่าหวั่นในทีท่าของอวี๋ว์เจิ้งเหอเพียงใด คนตรงหน้าก็เพียงแต่หยักยิ้มมุมปาก ก่อนสิ่งที่กวงจินเกรงหนักหนาก็ส่อเค้าแววออกมาเมื่อชายหนุ่มปราดเข้ามาคว้าข้อมือเล็กไปกุมไว้อย่างรวดเร็ว
“ขอให้เป็นเจ้า ไม่ว่าต้องเหน็ดเหนื่อยสาหัสแค่ไหนข้าก็ไม่หวั่น”
กวงจินรู้สึกคลื่นเหียนวิงเหียนกับน้ำคำหวานขึ้นมาฉับพลัน พยายามรั้งข้อมือตนออกจากการเกาะกุม แต่ก็ไม่เป็นผล ซ้ำยังถูกกระชากเข้าหาแผ่นอกแกร่งเต็มแรงก่อนวงแขนใหญ่จะตวัดโอบรัดไว้แนบชิด ให้ผู้เป็นเจ้าของได้ตักตวงกลิ่นหอมละมุนจากกายคนในอ้อมกอดอย่างเต็มที่ จนเพลิงความพิศวาสแล่นพล่านมิอาจฉุดรั้งไว้ได้
“ปะ...ปล่อยข้านะ! บอกให้ปล่อยเช่นไรเล่า!”
คนตัวเล็กก็ไม่ยอมแพ้ ดิ้นกลุกกลักแม้จะรู้ว่าไม่มีทางสู้ ยิ่งเห็นกวงจินปฏิเสธดุจม้าพยศเช่นนั้น อวี๋ว์เจิ้งเหอก็ยิ่งใคร่อยากกำราบให้หมอบราบเสียเหลือเกิน รั้งร่างเล็กแนบกายแน่นเสียจนเด็กหนุ่มสัมผัสความแข็งแกร่งของชายชาติบุรุษได้ชัดเจน จนต้องออกแรงดิ้นพล่านเพื่อรักษาเกียรติยศของตนอย่างเต็มที่
“ปล่อยข้าประเดี๋ยวนี้นะ!”
ตะเบ็งเสียงเกรี้ยวกราดแค่ไหนก็ไม่เป็นผล ชายหนุ่มได้ใจ โน้มใบหน้าคร้ามครันเข้าซอกคอขาว จุมพิตลากริมฝีปากนุ่มไปตามผิวละเอียดอย่างอ้อยอิ่งราวกับลิ้มรสขนมหวานรสเลิศอยู่ก็ไม่ปาน เด็กหนุ่มรู้สึกได้ทันทีว่าทุกอณูรูขุมขนของตนนั้นลุกชันทั้งร่าง ก่อนเสียงนุ่มทุ้มของคนหน้ามืดจะดังขึ้นเบาๆ
“ข้าไม่อาจต้านทานสิเน่หาที่มีต่อเจ้าได้อีกแล้วถิงฟาง เป็นหนึ่งเดียวกับข้าเถิดนะ”
ไม่ทันขอร้องหรือปฏิเสธ ร่างเล็กก็ลอยลิ่วไปยังตั่งนอนตามแรงชายหนุ่มอย่างไม่ทันตั้งตัว กวงจินเบิกตาโพลงเมื่อเห็นอวี๋ว์เจิ้งเหอผลัดอาภรณ์ตนออกจากร่างแล้วถลาเข้ามาคร่อมตนไว้ คราวนี้วรยุทธ์ใดๆ ที่เคยฝึกฝนมาได้ถูกงัดออกมาใช้เกือบครบทุกกระบวนท่า ทั้งเตะต่อยถีบสารพัด แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งคนหน้ามืดได้เลย
“หยุดประเดี๋ยวนี้! เจ้าหน้ามืดตามัวเช่นนี้ สวรรค์จะลงโทษเจ้านะ!”
พอทำอะไรไม่ได้ก็ตะโกนร้องลั่น อวี๋ว์เจิ้งเหอก็ประหนึ่งหูหนวกตาบอด ไม่ใคร่สนใจสิ่งใดนอกเสียจากบรรจงจุมพิตไปทั่วพวงแก้มแดงระเรื่อ ไล้ลามไปทั่วต้นคอและใบหูอย่างกระหาย กระซิบบอกคนตัวเล็กด้วยน้ำเสียงกระเส่าเต็มที
“ต่อให้สวรรค์จะลงโทษข้าเจียนตายเพียงใด แลกกับการได้ยลโฉมเจ้า ข้าก็หาได้กลัวเกรงเลย”
ไม่ว่าเปล่า ยังลากมือสากลูบไล้ไปตามเนื้อหนังใต้ชุดผ้าไหมจนกวงจินต้องกัดริมฝีปากตนเองเสียเลือดซิบ จำยอมต่อชะตากรรมตรงหน้าอย่างไม่มีทางเลือก กระทั่งฝ่ามือหนาลากมาหยุดที่หน้าอกจึงชะงักงัน ละใบหน้าขึ้นมองหน้ากวงจินอย่างฉงนเมื่อพบว่าไม่มีสัมผัสจากดอกบัวตูมอย่างน่าประหลาด ขณะที่กวงจินได้ที ลอบแสยะยิ้มออกมาราวมีชัย แล้วเย้ยหยันเล็กๆ
“ข้าบอกแล้วว่าสวรรค์จะลงโทษเจ้า”
แทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตนได้พบ อวี๋ว์เจิ้งเหอผละจากร่างเล็กอย่างรวดเร็ว กระชากอาภรณ์ออกเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นหาใช่การอุปาทาน แม้เห็นแต่หน้าอกแบนราบ แต่ก็ยังไม่เชื่อมั่นดี เลื่อนตัวลงดูหว่างขาของเด็กหนุ่มแล้วก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อพบเห็นสิ่งที่ไม่ต่างจากตน จนผงะไปอีกทาง
“ถะ...ถิงฟาง ไม่สิ... เจ้าเป็นใคร!”
