บทที่ ๓ : สวรรค์ลงโทษ【1】
ฝ่ายอวี๋ว์เจิ้งเหอซึ่งถูกบิดาตามตัว ก็ไม่รอช้าเข้าพบอวี๋ว์เจิ้งเสี้ยน ผู้เป็นบิดาที่นั่งรออยู่ยังห้องโถงประจำสำนักปักษามรกต ทันทีที่บุตรชายโผล่มาให้เห็น อวี๋ว์เจิ้งเสี้ยนก็ละมือจากจอกน้ำชา ผายออกไปยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเป็นการเชิญ
“คำนับท่านพ่อ”
“นั่งก่อนสิ”
ชายหนุ่มทรุดตัวนั่งตามบิดาสั่ง ชำเลืองมองชายวัยไม้ใกล้ฝั่ง หนวดเคราสีขาวโพลนดุจปุยหิมะในเหมันตฤดูปกคลุมทั่วใบหน้าใจดี ทว่าแม้จะชราวัย แต่อวี๋ว์เจิ้งเสี้ยนกลับดูสุขภาพแข็งแรงราวคนหนุ่มอย่างไม่น่าเชื่อ มือเหี่ยวย่นส่งจอกน้ำชาให้บุตรชายรับแล้วเอ่ยถามโดยไม่มองหน้า
“งานคุ้มกันอาคันตุกะของท่านเจ้าแคว้นเป็นเช่นไรบ้าง”
“ก็ราบรื่นดีขอรับท่านพ่อ ไม่มีสิ่งใดมากวนใจ”
“เช่นนั้นหรือ อาจเป็นเพราะเจ้าสำนักปักษามรกตนำขบวนคุ้มกันเองก็ได้กระมัง จึงไม่มีผู้ใดหาญกล้าเข้ามาให้ตัวตาย แลดูอีกไม่นานสำนักปักษามรกตของเราคงได้เป็นใหญ่ในยุทธภพแล้วกระมัง”
พอได้ยินเยี่ยงนี้ อวี๋ว์เจิ้งเหอก็เดารางๆ ว่าสิ่งที่บิดาใคร่อยากถามคงไม่ใช่เรื่องการคุ้มกันภัยเป็นแน่ ยิ่งเหลือบมาเห็นสายตาแฝงความนัยด้วยแล้ว ก็รู้ไปถึงกระดูกจนต้องย้อนถาม
“หากท่านพ่อมีสิ่งใดแคลงใจใคร่อยากรู้ ก็ถามข้ามาตรงๆ เถิด”
เท่านั้น อวี๋ว์เจิ้งเสี้ยนก็หัวเราะร่วนกับความรู้ทันของบุตรชาย “เจ้านี่สมเป็นลูกข้าเสียจริงเจิ้งเหอ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พ่อก็จะพูดตรงๆ ตั้งแต่เจ้าขึ้นครองตำแหน่งเจ้าสำนัก ชื่อเสียงของสำนักปักษามรกตดังระบือไปทั่วทั้งยุทธภพจนเป็นที่เกรงขาม แต่ยังมีอีกสำนักหนึ่งซึ่งระบือนามไม่แพ้กัน พ่ออยากรู้ว่าเจ้าหาได้คิดจะสำแดงอำนาจให้ประจักษ์หรือไม่ว่าสำนักไหนเก่งกล้ากว่ากัน”
สำนักระบือนามอีกแห่งที่อวี๋ว์เจิ้งเสี้ยนว่า ก็คงหนีไม่พ้นสำนักดอกเหมยอำพันแห่งแคว้นฉู่ อวี๋ว์เจิ้งเหอรู้ดีว่าบิดาหมายความเช่นนั้น เขาไม่ตอบทันที เพียงแต่ยกจอกน้ำชาจิบช้าๆ
“ข้ายังไม่คิดการใดในเรื่องนี้หรอกท่านพ่อ”
“ทำไมล่ะ เท่าที่พ่อเห็นก็หาได้มีสำนักไหนล้ำวรยุทธ์และมากจอมยุทธ์เท่าสำนักดอกเหมยอำพันอีกแล้วนะ หากสำนักนี้ยอมสยบแทบเท้าเรา สำนักเราก็จะเป็นหนึ่งในยุทธภพ เจ้าไม่ประสงค์หรือ”
อวี๋ว์เจิ้งเหอชะงักมือ รู้ดีว่าบิดาต้องการผงาดง้ำเหนือผู้อื่นมากเพียงใดเพราะในสมัยที่ดำรงตำแหน่งเจ้าสำนัก แม้จะพยายามเพียงใดก็ไม่อาจพาสำนักตนมีชัยเหนือสำนักอื่นได้ด้วยอ่อนด้อยวรยุทธ์และยุทธวิธีการจัดการสำนักอย่างแยบยล ต่างจากเขาซึ่งมากร้อยเล่ห์กลจนพาสำนักรุ่งเรืองเฉกเช่นนี้
“หาใช่ว่าไม่ประสงค์ แต่ข้าไม่มีเหตุผลจะต้องรีบร้อนน่ะ”
“แล้วเมื่อใดเจ้าจะตัดสินใจลงมือ มิต้องรอให้พ่อตายเป็นผีก่อนหรือถึงจะได้เห็นสำนักปักษามรกตเป็นหนึ่งในยุทธภพนี้”
นับครั้งไม่ถ้วนแล้วที่ถูกบิดาคะยั้นคะยอให้เล่นงานสำนักดอกเหมยอำพัน ใช่ว่าเขาจะไม่อยากจัดการเสียให้สิ้นเสี้ยนหนาม เพียงแต่สำนักดอกเหมยอำพันนั้นมีพันธมิตรมากมาย หากรุกรานไป สำนักวรยุทธ์อื่นที่เป็นสหายกับสำนักดอกเหมยอำพันจะต้องช่วยเหลือ ไม่เป็นการดีแน่หากต้องเป็นศัตรูกับหลายสำนักในคราวเดียว
“ท่านพ่อไม่ต้องกังวล ไม่ช้านาน สำนักดอกเหมยอำพันก็จะอยู่แทบเท้าเรา ขอเวลาข้าสักหน่อยเถิด”
“พ่อก็หวังจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของเจ้าและสำนักปักษามรกตเหลือเกิน ในเมื่อเจ้ารับปากดังนี้ พ่อก็สบายใจ เจ้าไปพักผ่อนเถิด พ่อหมดเรื่องถามแล้ว”
อวี๋ว์เจิ้งเหอคำนับลาผู้อาวุโสกว่า ผละกลับไปยังห้องของตน ชั่วครู่ที่มัวคิดแต่เรื่องสำนักดอกเหมยอำพัน พลันกลิ่นหอมละมุนจากดอกโบตั๋นในสวนก็ลอยโชยเข้าจมูก ทำให้ฉุกใจคิดถึงใบหน้าเยาว์วัยของนางคณิกาใหม่ทันทีจนลืมคิดเรื่องก่อนหน้าไปเสียสนิท กลิ่มหอมหวนชวนให้รำลึกถึงกายอ่อนนุ่มยามได้สัมผัสยิ่งนัก จนเขารู้สึกผ่อนคลายจากเรื่องวุ่นวายในหัวอย่างบอกไม่ถูก พึงรำพันออกมาเพียงลำพังดุจดังละเมอ
“กลิ่นหอมของโบตั๋นยังสู้กลิ่นหอมจากกายเจ้าไม่ได้เลยสักนิด... แม่นางถิงฟาง มนต์มายาอย่างไรที่ทำให้ข้าหลงใหลเจ้าตั้งแต่แรกพบสบตาเช่นนี้กันนะ...”
พอพ้นจากเงื้อมมือมาร กวงจินก็รีบกลับห้องพักของตน รีบถลาไปยังอ่างอาบน้ำ จุ่มตัวลงแช่ขัดถูผิวกายเสียจนผิวขาวเนียนเป็นปื้นแดงเถือกด้วยรู้สึกขยะแขยงเสียเต็มประดา บ่นงึมงัมอย่างเคียดแค้นกับสิ่งที่ตนพบเจอ
“เจ้าลูกไก่นะเจ้าลูกไก่! ถ้าเจ้าจะหน้ามืดตามัวไม่อายฟ้าดินเช่นนี้แล้วล่ะก็นะ!”
บ่นสิ้นเสียงไม่ทันไร หยวนเจี๋ยซึ่งเป็นผู้จับเด็กหนุ่มใส่ห่อผ้าประเคนให้เจ้าสำนักหนุ่มก็โผล่เข้ามาในห้องอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว ทำให้กวงจินต้องรีบซ่อนกายลงน้ำ เกรงความลับที่เป็นชายจะเปิดเผย เหลือแต่คอลอยเหนือน้ำ เก็บความขุ่นใจไว้แล้วหันหนีไปอีกทางก่อนส่งเสียงถามพลัน
“มีธุระอันใดหรือเจ้าคะฮูหยิน”
ผู้มาเยือนยิ้ม มองเด็กหนุ่มจากทางด้านหลัง “ไม่มีธุระอันใดเป็นสำคัญหรอก ข้าเพียงอยากจะขอบใจเจ้าสำหรับวันนี้ คุณชายพอใจเจ้ามากนะรู้ไหม”
“เช่นนั้นหรือเจ้าคะ...”
กวงจินแสยะยิ้มเย้ย โดนหักหาญเสียเพียงนี้มีหรือจะไม่รู้ แต่ทว่าก็ไม่หันไปหาหยวนเจี๋ย ปล่อยให้นางเดินไปนั่งยังตั่ง พูดคุยกับเขาผ่านฉากกั้นอ่างอาบน้ำ
“ข้าคิดแล้วไม่ผิดเลยว่าสาวงามเช่นเจ้าจะตรึงใจชายหนุ่มได้ไม่ยาก ปรกติแล้วคุณชายไม่เอ็นดูผู้ใดเป็นพิเศษนะรู้ไหม มีเจ้าคนแรกนี่แหละที่คุณชายถึงกับเอ่ยปากเองว่าจะไม่ให้เจ้ารับแขกใด นอกจากปรนนิบัติคุณชายเพียงผู้เดียว”
“มากตัณหาจนเห็นแก่ตัวน่ะสิไม่ว่า”
หยวนเจี๋ยร่ายยาว ขณะที่กวงจินเอ่ยเบาๆ พอได้ยินคนเดียว พลางระบายอารมณ์ด้วยการขัดถูผิวกายเต็มแรงเสียจนน้ำกระฉอกออกจากอ่าง หยวนเจี๋ยได้ยินเสียงก็พานคิดว่าสิ่งที่ตนพูดคงทำให้เด็กหนุ่มขวยเขิน หัวเราะร่วนออกมา
“เอ้า จะเอียงอายก็อย่าให้เกินงามสิงถิงฟาง ประเดี๋ยวคุณชายก็เอ็นดูเจ้ากว่าเดิมหรอก”
กวงจินชะงักมือแล้วขมวดคิ้วย่นแทน นึกรำคาญเต็มทนจนต้องออกปากไล่
“หากฮูหยินไม่มีธุระอันใดแล้ว ข้าขอชำระกายต่อได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ได้สิ เชิญเจ้าตามสบาย” คนฟังยักไหล่ตอบรับ ลุกขึ้นหมายจะออกจากห้องตามเด็กหนุ่มประสงค์ แต่ฉุกคิดได้พลันว่าผู้เป็นนายได้กำชับบางอย่างมา จึงหันกลับไปพูดกับกวงจินอีกครั้ง
“เอ้อ พรุ่งนี้เจ้าแต่งตัวเสียให้งามพริ้งเลยนะ คุณชายเจิ้งเหอสั่งไว้ว่าจะมาพบเจ้าแต่เช้า”
“มาทำไมแต่เช้า”
เผลอตัวกระชากเสียงถามอย่างขุ่นใจ หยวนเจี๋ยย่นคิ้วสงสัย แต่ก็หาได้ใส่ใจมากนัก บอกไปตามหน้าที่
“ข้าไม่รู้หรอก คุณชายไม่ได้บอกไว้ ให้ทำอันใดก็ทำไปเถิดน่า หมดหน้าที่ข้าแล้ว ข้าไปก่อน”
เมื่อเสียงบานทวารปิดลง กวงจินจึงรีบผุดออกจากอ่าง วิ่งไปสับกลอนบานทวารอย่างรวดเร็วด้วยเกรงจะมีผู้ใดทะเล่อทะล่าเข้ามาอีก พลางรำพึงเบาๆ เช่นคนดื้อรั้น
“ล้วงจุดอ่อนเจ้าได้เมื่อไหร่ ข้าจะกระทืบเจ้าให้จมเลยทีเดียว อวี๋ว์เจิ้งเหอ…”
“ฮัดเช้ย!”
“ไม่สบายหรือเจ้าคะคุณชาย”
“อ๋อ เปล่าหรอก ละอองหนวดเคราข้ามันเข้าจมูกน่ะ”
อวี๋ว์เจิ้งเหอยกมือข้างหนึ่งขึ้นถูจมูกตัวเองไปมา ขณะที่อีกมือหนึ่งถือมีดสำหรับโกนหนวดไว้มั่น ปล่อยให้อดีตแม่นมอย่างหยวนเจี๋ยซึ่งรีบถ่อสังขารมาช่วยคุณชายตัวดีอาบน้ำอาบท่าตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางมองด้วยความเป็นห่วง และเมื่อเห็นว่าคุณชายคัดจมูกเพราะเหตุที่ว่านั่นจริง จึงยิ้มออกแล้วบรรจงขัดถูเนื้อตัวชายหนุ่มซึ่งแช่อยู่ในอ่างน้ำต่อ พลางเอ่ยล้อเพราะรู้ว่าการที่จู่ๆ อวี๋ว์เจิ้งเหอตามตนให้มาช่วยชำระร่างกายตั้งแต่หัวจรดเท้านั้น เป็นเพราะแม่นางน้อยซึ่งอยู่ในหอคณิกาปักษาภิรมย์
“นานเท่าไหร่กันนะที่ข้าไม่ได้ดูแลคุณชายเยี่ยงนี้ นี่ถ้าหากคุณชายไม่พบกับถิงฟาง ข้าก็คงไม่มีโอกาสได้เห็นใบหน้าเกลี้ยงเกลาของคุณชายจนสิ้นลมหายใจเป็นแน่”
“ฮูหยินก็ดูถิงฟางเถิด ยามเมื่อใบหน้าสัมผัสเนื้อตัว นางก็ทำท่าเหมือนรังเกียจเดียดฉันท์เสียเต็มประดา เช่นนี้จะให้ข้าปล่อยรกรุงรังได้อีกหรือ”
ว่าแล้วก็ยกมือลูบคางตนเองไปมาให้คนอาวุโสกว่าได้หัวเราะ เป็นครั้งแรกที่เห็นคุณชายตนอารมณ์ดีได้ถึงเพียงนี้ตั้งแต่รั้งตำแหน่งเจ้าสำนัก ปรกติแล้วหากไม่บอกกล่าวจนปากแทบฉีก มีหรือที่อวี๋ว์เจิ้งเหอจะยอมให้ตัวโดนน้ำ จะว่าซกมกก็ไม่เกินไปนัก เป็นถึงคุณชายนามระบือลั่น แต่กลับปล่อยปะละเลยตนเองจนดูดุจยาจกก็ไม่ปาน
เพียงเวลาไม่นาน อวี๋ว์เจิ้งเหอในสภาพยาจกก็แปรเปลี่ยนเป็นคุณชายสมเกียรติราวเนรมิต ผ้าแพรถูกบรรจงสวมทับร่างกำยำ ผมยาวสยายรวบขึ้นเป็นมวยอย่างเรียบร้อย ใบหน้าไร้หนวดเคราขับรัศมีให้เขาดูหล่อเหลาขึ้นเสียจนเหล่าเด็กรับใช้สาวๆ จ้องมองอย่างหลงใหล จนถูกหยวนเจี๋ยดุไปตามๆ กัน
“คุณชายรออยู่ที่จวนนะเจ้าคะ ประเดี๋ยวข้าไปดูก่อนว่าถิงฟางเสร็จหรือยัง แล้วจะให้เด็กรับใช้มาตาม"
หยวนเจี๋ยเอ่ยขณะอวี๋ว์เจิ้งเหอส่องเงาตนเองในคันฉ่อง เขาละสายตา หันไปบอกกับอดีตแม่นม
“ไม่ต้องไปๆ มาๆ ให้เสียเวลาหรอก ประเดี๋ยวข้าไปกับฮูหยินด้วยเลย”
“แต่หากนางยังแต่งตัวไม่เสร็จ ข้าเกรงว่าคุณชายจะรอนานน่ะสิ”
“ไม่เป็นไรหรอก สำหรับถิงฟาง ข้ารอได้”
ไม่อยากเชื่อว่าเจ้าสำนักปักษามรกตจะมีน้ำคำวาจาหวานหยดย้อยเช่นนี้ หยวนเจี๋ยอมยิ้ม ปล่อยตามใจชายหนุ่ม แล้วตรงกลับไปดูความเรียบร้อยยังหอคณิกา
อีกด้านหนึ่ง กวงจินมีสีหน้าขุ่นใจซ้ำยังตาปรือประหนึ่งไม่ตื่นดีนัก นั่งหน้าคันฉ่อง ปล่อยให้นางคณิกาคนอื่นๆ ซึ่งเข้ามาช่วยแต่งตัวจัดการมวยผมปักปิ่นให้อย่างว่าง่าย ...จะไม่ว่าง่ายได้อย่างไร เพราะการที่เขาไม่ยอมตื่นแต่เช้าตามสั่ง ซ้ำยังลงกลอนไม่ให้ผู้ใดเข้า ทำให้หยวนเจี๋ยขนเด็กรับใช้ชายฉกรรจ์มาช่วยกันพังบานทวารเสียจนนอนต่อไม่ได้ ก่อนให้เหล่านางคณิการุมแต่งกายให้เขา แล้วยังขู่ว่าหากดื้อด้าน จะให้อวี๋ว์เจิ้งเหอมาจัดการด้วยตนเอง เด็กหนุ่มจึงยอมละจากตั่งไปชำระล้างร่างกายและสวมอาภรณ์เสียเรียบร้อย จนมานั่งหน้าง่วงอยู่เช่นนี้
“เสร็จหรือยัง”
