บทที่ ๒ : ความอัปยศ【2】
“ทำไมหรือ...เจ้าคะ”
ครานี้ก็เกือบจะลืมหางเสียงเฉกเช่นสตรีอีก พูดไปก็กระดากปากแต่ก็จำใจ หากแต่ความอยากรู้ทำให้ตนโดนหยวนเจี๋ยตวัดขวับมองค้อนทันควัน ก่อนขึ้นเสียงเล็กน้อยประหนึ่งรำคาญ
“อย่าถามมากน่า ข้าบอกให้นั่งก็นั่งไปเถิด ประเดี๋ยวก็รู้เอง นี่พวกเจ้า! ยกฉากม่านมาบังถิงฟางเอาไว้เร็ว”
ไม่บ่นเปล่า ยังหันไปชี้นิ้วสั่งให้เด็กรับใช้ยกฉากม่านลายนกกระสามาบังร่างเด็กหนุ่มไว้เสียมิด กวงจินขมวดคิ้วมุ่น ได้แต่จึ๊ปากไปคามเรื่อง ตอนนี้เขเริ่มตระหนักได้ว่าการแฝงการมาเป็นนางคณิกานั้นจะหาทางเข้าหาเจ้าสำนักปักษามรกตได้เช่นไร ซ้ำเขายังไม่รู้ว่าใบหน้ายามนี้ของเป้าหมายต่างจากวัยเยาว์เพียงใดอีก คิดพลางให้ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่รู้ว่าแผนการของผู้เป็นพี่นั้นฉลาดล้ำหรือแสนจะโง่เขลากันแน่
ไม่นานนัก ความคิดของเด็กหนุ่มก็ชะงักลงเมื่อเสียงของเด็กรับใช้ดังลั่นเข้ามาในห้องโถงเรียกให้หลุดจากภวังค์
“มาแล้วขอรับฮูหยิน!”
“มาแล้วหรือ... ไปๆ! หมดหน้าที่ของพวกเจ้าแล้ว ออกไปเสีย!”
เสียงหยวนเจี๋ยไล่ผู้ไม่เกี่ยวข้องออกไปทำเอากวงจินอยากโผล่หน้าออกจากหลังฉากกั้นเสียเหลือเกิน ครู่เดียว เสียงฝีเท้าของใครบางคนก็ดังใกล้เข้ามา ก่อนจะตามมาด้วยเสียง ของหยวนเจี๋ยที่ให้การต้อนรับอย่างนอบน้อม
“ยินดีต้อนรับเจ้าค่ะคุณชาย เดินทางมาเหนื่อยๆ เชิญจิบน้ำชาเสียให้ผ่อนคลายก่อนเถิด”
“อือ ขอบใจ”
เสียงแหบทุ้มดังขึ้นเบาๆ พอให้ได้ยิน แม้จะไม่เห็นหน้า แต่สำเนียงการพูดสะบัดหางเสียงนั้นก็ทำให้กวงจินพอรู้ได้ว่าผู้มาใหม่นั้นคงเป็นคุณชายประเภทอารมณ์ร้าย เอาแต่ใจเป็นแน่ ขณะที่อีกฝั่งของฉากกั้น ชายหนุ่มในชุดผ้าฝ้ายสีตุ่นๆ ทรุดตัวลงนั่งบนเบาะนุ่ม คว้ากระบี่ข้างเอวขึ้นวางบนโต๊ะก่อนคว้าจอกน้ำชาจิบเข้าปาก ใบหน้าคร้ามแซมด้วยหนวดเคราครึ้มบ่งบอกว่าเขาไม่ใช่คุณชายประเภทเจ้าสำอางสักนิด ทว่าภายใต้หนวดเครานั้นก็ฉายความหล่อเหลาสมบุรุษเพศอยู่ไม่น้อย และนอกเหนือจากความหล่อเหลาแล้ว ชายหนุ่มผู้นี้แหละที่เป็นเจ้าสำนักปักษามรกตอันลืมนามทั่วทั้งยุทธภพ
หยวนเจี๋ยดีใจเหลือคณาที่ได้เห็นชายหนุ่มซึ่งตนดูแลมาเยาว์วัยกลับมาจากการคุ้มกันอาคันตุกะของเจ้าแคว้นเสียที จะว่าไปก่อนที่นางจะมาเป็นมดูแลหอคณิกาปักษาภิรมย์แห่งนี้ นางเคยได้รับมอบหมายจากสกุลอวี๋ว์ให้เป็นแม่นมของอวี๋ว์เจิ้งเหอ กระทั่งเขาเติบใหญ่และได้เป็นเจ้าสำนัก นางจึงได้ถูกปลดออกมารับผิดชอบยังหอคณิกาแทน กระนั้นนางก็ยังใส่ใจชายหนุ่มรุ่นลูกไม่เสื่อมคลาย
สีหน้าไร้อารมณ์ของเขา ทำให้หยวนเจี๋ยอยากเอาใจ ปริปากกล่าวถึงสิ่งที่ตนเตรียมไว้ต้อนรับด้วยสีหน้าเริงรื่น
“คุณชายเจ้าคะ ข้าน้อยมีนางคณิกาคนใหม่หมายให้ท่านได้ยล รับรองว่าคุณชายจะต้องถูกใจนางผู้นี้อย่างแน่นอน”
“เอาไว้คราวหลังเถิดฮูหยิน วันนี้ข้าเหนื่อย อยากจะพักผ่อน”
แทนที่จะได้รับความยินดีตอบแทน กลับถูกอวี๋ว์เจิ้งเหอปฏิเสธเสียอย่างนั้น นางหน้าเสียไปเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มไม่มีท่าทีสนใจ หากแต่ไม่ยอมแพ้ คะยั้นคะยอหมายจะให้ยลโฉมนางคณิกาคนใหม่ให้จงได้
“แต่นางคณิกาผู้นี้งามมากนะเจ้าคะ รับรองว่าหากคุณชายเห็นหน้านางเมื่อใด คงได้ต้องมนต์นางเป็นแน่”
“ข้าบอกว่าไว้ครั้งหน้าเช่นไรเล่าฮูหยิน”
ด้วยความรำคาญ ชายหนุ่มจึงเผลอระเบิดโทสะขึ้นเสียงใส่คนอาวุโสกว่าอย่างลืมตัว ผู้พูดนิ่งงันไป รู้สึกผิดหวังที่ไม่อาจเอาใจคุณชายให้พอใจได้ จึงได้แต่ถอนหายใจอย่างจำยอม
“เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าน้อยไม่รบกวนแล้ว ขอเชิญคุณชายพักผ่อนตามสะดวก... ถิงฟาง! ออกมาได้แล้ว”
เด็กหนุ่มซึ่งนั่งหลบอยู่หลังฉากกั้นได้ยินบทสนทนาทั้งหมด พานหายใจโล่งเมื่อรู้ว่าตนไม่ต้องไปนั่งให้คุณชายจอมเอาแต่ใจอี๋อ๋อ พลันลุกขึ้นออกมาตามคำสั่ง ทว่าในจังหวะนั้นเอง อวี๋ว์เจิ้งเหอซึ่งตอนแรกปฏิเสธไม่ใคร่จะยลโฉมนางคณิกาคนใหม่ กลับต้องชะงักงันเมื่อเห็นร่างแน่งน้อยเยื้องกรายออกมาให้เห็น และก็เป็นดังเช่นหยวนเจี๋ยว่า ชายหนุ่มเบิกตากว้างราวต้องมนต์ ไม่นึกไม่ฝันว่าเทพธิดาจะจำแลงกายลงมาเล่นยังโลกมนุษย์เช่นนี้ วินาทีนี้เองที่ชายหนุ่มมีอาการประหนึ่งลืมหายใจ จ้องมองกวงจินตาไม่กระพริบ พลางอ้าปากถามไปราวสติเลอะเลือน
“แม่นางผู้นี้หรือนางคณิกาคนใหม่ที่ฮูหยินว่า”
กวงจินรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ กับสายตาของชายหนุ่มซึ่งมองตนอย่างหลงใหล และเมื่อเห็นสภาพของคุณชายเอาแต่ใจเมื่อครู่ก็อดดูแคลนไม่ได้ว่าเขานั่นหรือมีศักดิ์สูงถึงคุณชาย สารรูปหาได้ต่างจากพวกจอมยุทธ์กระยาจกไร้หัวนอนปลายเท้าสักนิด
“ไหนว่าอยากพักผ่อนเช่นไรเจ้าคะ ไยตอนนี้มาใคร่สนใจเล่าคุณชายเจิ้งเหอ!”
หยวนเจี๋ยว่าประชดแต่สายตากลับประกายวาว ดวงตากลมของกวงจินปราดมองชายหนุ่มตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แทบไม่อยากเชื่อว่าเจ้าสำนักปักษามรกตอันเลื่องชื่อจะมีสภาพทุเรศทุรังถึงเพียงนี้ ขณะที่เจ้าสำนักหนุ่มอมยิ้มน้อยๆ ว่ายอกย้อนอดีตแม่นมด้วยอารมณ์ที่ดีขึ้นทันตา
“ก็ข้าหาได้ฉุกใจนี่ว่านางจะงามล้ำกว่าที่ฮูหยินพรรณาเสียเพียงนี้ ให้นางอยู่สนทนากับข้าก่อนเถิดนะ”
“ลองถามนางสิว่าอยากอยู่สนทนาหรือไม่ เมื่อครู่คุณชายเพิ่งจะไล่นางไปเองนะ”
ครานี้ หยวนเจี๋ยกลั้วหัวเราะกับการออดอ้อนของชายหนุ่ม เว้นเสียแต่กวงจินที่ไม่รู้จะทำหน้าอย่างไรเพราะไม่คาดคิดว่าจู่ๆ อวี๋ว์เจิ้งเหอก็มาปรากฏตัวให้เห็นเสียอย่างไม่ทันตั้งตัว กระทั่งชายหนุ่มเชิญชวน กวงจินจึงได้รู้สึกตัว
“แม่นางถิงฟาง เมื่อครู่ต้องขออภัยที่ข้าเสียมารยาท ให้อภัยข้าแล้วอยู่สนทนาเป็นเพื่อนข้าสักประเดี๋ยวเถิด”
“อะ...เอ่อ”
ยิ่งได้ฟังน้ำเสียงหวานหยดไม่เข้ากับใบหน้าของอวี๋ว์เจิ้งเหอแล้ว คนตัวเล็กก็รู้สึกประหลาดยิ่ง เย็นวาบเสียขนลุกชันทั่วสรรพางค์กาย และสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อจู่ๆ อวี๋ว์เจิ้งเหอผุดลุกขึ้น ตรงรี่เข้ามาคว้ามือเล็กไปกระชับแผ่วเบา แล้วหยอดน้ำเสียงอ้อนวอนให้แขยงอีกครา
“เถิดนะแม่นาง ข้าใคร่อยากรู้จักเจ้าให้มากกว่านี้เสียจริง”
“เอ่อ...เจ้าค่ะ...”
คนตัวเล็กกัดฟันตอบรับเมื่อตระหนักได้ถึงจุดหมายของการมา ก่อนเดินตามร่างสูงไปทรุดตัวนั่งบนเบาะนุ่มข้างๆ กัน ปล่อยให้หยวนเจี๋ยยิ้มยิงฟันกว้างแล้วเอ่ยลาไปอย่างรวดเร็ว
“เช่นนั้นข้าคงไม่รบกวนแล้ว เชิญคุณชายกับถิงฟางตามสบาย... ปรนนิบัติคุณชายให้ดีล่ะถิงฟาง...”
อดีตแม่นมผละออกจากห้องไป ปล่อยให้กวงจินตั้งรับสายตากระลิ้มกระเหลี่ยของชายหนุ่มด้วยสีหน้าเจื่อนๆ ไม่อยากมโนภาพเลยว่าต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น สบถตัดพ้อโชคชะตาตนเองในใจเพียงลำพัง
สวรรค์นะสวรรค์ ไยไม่ให้เวลาข้าทำใจก่อนบ้างนะ!
“หิวไหมถิงฟาง ลองลิ้มรสเกี๊ยวนี่ดูสักคำสิ มา ข้าจะป้อนให้”
พอลับหลังหยวนเจี๋ยได้ไม่ทันไร อวี๋ว์เจิ้งเหอก็ออกลายเจ้าชู้ใส่แม่นางน้อยจำแลง สายตากรุ้มกริ่มส่งผ่านทางดวงตาดุจพญาเหยี่ยว ชวนให้กวงจินเสียวต้นคอวาบเป็นระยะๆ ซ้ำเมื่อสิ้นประโยคเมื่อครู่ อวี๋ว์เจิ้งเหอก็คว้าตะเกียบคืบเกี๊ยวคำโตมาตรงหน้าเด็กหนุ่ม โดยที่เขาทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ แล้วยกสองมือขึ้นเป็นเชิงปฏิเสธ
“เชิญเจ้า เอ้ย! เชิญคุณชายเถิดเจ้าค่ะ อย่าลำบากเลย”
“ทำไมหรือ เจ้าไม่หิวหรือไร หรือรังเกียจข้า” คนตัวโตไม่ยอมหยุด แสร้งย่นคิ้วเล็กน้อยอย่างฉงน
“หะ...หามิได้...เจ้าค่ะ ข้าน้อยไม่หิวต่างหาก”
เด็กหนุ่มแทบอยากกัดลิ้นตัวเองตายเสียให้ได้ แต่ทำได้เต็มที่ก็เพียงเบือนหน้าหนี ขณะที่อวี๋ว์เจิ้งเหออมยิ้มน้อยๆ รู้สึกว่าคนตรงหน้าช่างน่าฟัดน่ากอดเสียเต็มประดา
“หากไม่รังเกียจก็ลิ้มรสเกี๊ยวที่ข้าป้อนสักนิดเถิด แล้วข้าจะไม่ฝืนใจเจ้าอีก”
ด้วยความที่อยากให้ชายหนุ่มเลิกตอแยตนสักที เด็กหนุ่มจึงจำใจหันไปอ้าปากงับเกี๊ยวอย่างรวดเร็ว แม้รสชาติจะอร่อยล้ำเพียงใด แต่ก็ไม่อาจรับรสได้เท่าไหร่นัก นอกจากจะกลบเกลื่อนสีหน้าพะอืดพะอมแล้วตอบกลับอย่างรวดเร็ว
“เชื่อฟังเช่นนี้ช่างน่าเอ็นดูนัก เห็นฮูหยินหยวนเจี๋ยบอกว่าเจ้าเพิ่งมาใหม่ มาจากที่ใดหรือ”
กวงจินกลืนเกี๊ยวในปากลงคออย่างยากลำบาก หลุบตาลงต่ำหนีสายตาชวนอึดอัดของอวี๋ว์เจิ้งเหอเต็มที่ ก่อนบอกเล่าไปตามที่ตระเตรียมไว้
“ข้าไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง บิดาข้าเป็นหัวหน้าคาราวานพ่อค้า ระหว่างเดินทางไปส่งสินค้ากลับโดนโจรป่าปล้นกลางทาง เหลือเพียงข้าที่รอด ข้าจึงหนีระหกระเหินมาถึงแคว้นเสียนและได้ฮูหยินอุปถัมภ์ไว้ดังที่ท่านเห็นเช่นนี้แหละ”
ใครจะรู้เล่าว่าพอโกหกหลายๆ ครั้งจะกลายเป็นคล่องแคล่ว เจ้าสำนักหนุ่มได้ยินก็เชื่อโดยไม่ระแคะระคายสักนิด ...ก็แน่ล่ะ เขาจะรู้สึกอื่นใดได้อีกเมื่อเขาหลงใหลดวงหน้าสวยได้รูปดั่งหลงมนต์มายาจนหูหนวกตาบอดเช่นนี้
อวี๋ว์เจิ้งเหอแสร้งทุบโต๊ะพอแรง แล้วสบถออกมาราวเป็นเดือดเป็นร้อนแทน
“บ๊ะ! เจ้าโจรพวกนั้นช่างอาจหาญนัก หากข้าอยู่กับเจ้าตอนนั้นด้วย ข้าคงไม่ปรานีผู้ใดที่แตะต้องเจ้าให้แปดเปื้อนแม้แต่น้อยเป็นแน่”
ไม่ว่าเปล่า ยังถือวิสาสะเอื้อมมือมากุมมือน้อยซึ่งวางพาดอยู่บนหน้าตักเด็กหนุ่มให้ได้ขนลุกเกรียวอีกระลอก กวงจินยิงฟันประหนึ่งจะยิ้มก็ไม่ใช่ จะแยกเขี้ยวก็ไม่เชิง สีหน้ากระอักกระอวลเต็มทน
แต่ข้ามาแปดเปื้อนเพราะเจ้านี่แหละไอ้เจ้าลูกไก่เอ๊ย!
“แต่เรื่องร้ายผ่านไปแล้วก็ช่างมันเถิด อาจเป็นลิขิตฟ้าเพื่อให้เจ้าได้มาเจอกับข้ายังที่แห่งนี้ก็เป็นได้นะ” ว่าพลางหันไปรินสุราใส่จอก เอื้อนเอ่ยคำมธุรสอย่างนิ่มนวล
“คงใช่กระมัง...เจ้าคะ”
ไม่ว่าคนตัวเล็กจะพูดหรือทำส่งใด อวี๋ว์เจิ้งเหอก็พึงใจไปหมด เขาเหยียดยิ้มมุมปาก ชั่วครู่หนึ่งสายตาดุดันแปรผันเป็นอ่อนโยน แต่หารู้ไม่ว่าภายใต้หน้ากากอันอ่อนโยนนั้น แฝงไปด้วยเล่ห์กลบางอย่างที่เด็กใสซื่อเช่นกวงจินไม่อาจล่วงรู้ ก่อนอวี๋ว์เจิ้งเหอจะหันไปยกจอกสุราสองจอกมาประคองไว้ในมือ
“เชิญเจ้ามาดื่มเป็นเพื่อนข้าในโอกาสที่สวรรค์กำหนดชะตาให้เราได้พบพานกันเถิด เอ้านี่...จอกของเจ้าถิงฟาง”
ในเมื่อมาถึงขั้นนี้ เด็กหนุ่มจึงก้มหน้ารับชะตากรรมไปตามเรื่องจนกว่าอวี๋ว์เจิ้งเหอจะเลิกไปเอง ยื่นมือไปข้างหน้าหมายจะรับจอกสุรา หากแต่ทันทีที่ยื่นมือออกไป รอยยิ้มนุ่มนวลบนใบหน้าคร้ามก็สลับเป็นแสนกลทันที ก่อนของเหลวสีอำพันใสในจอกสุรานั่นก็กระฉอกหกรดมาบนอาภรณ์ของคนตัวเล็กอย่างจงใจ ใช่ว่าจะเพียงแค่จอกเดียว แต่เป็นทั้งสองจอกในมือของชายหนุ่ม ราวกับเขาตั้งใจสาดอย่างไรอย่างนั้น
“โอ๊ะ! โทษทีถิงฟาง ข้ามือลื่นไปหน่อย ไม่ได้ตั้งใจจะทำหกรดตัวเจ้า”
อวี๋ว์เจิ้งเหอแสร้งตกใจทั้งที่ใบหน้ายิ้มกริ่ม กวงจินรวบรวมสติได้ก็จับได้ว่าแท้จริงแล้วชายหนุ่มตั้งใจ หาได้เป็นอุบัติเหตุเช่นเขาเท็จนั้นไม่ ก็เม้มปากแน่นจนริมฝีปากเรื่อแดงซีดขาว คิ้วคู่สวยย่นยู่ไม่พอใจ สองมือน้อยค่อยๆ ใช้ปลายนิ้วดึงเนื้อผ้าที่เปียกลู่ออกจากแผงออกตนด้วยเกรงว่าความลับเรื่องตนเป็นบุรุษจะถูกเปิดเผย
หากแต่ชายหนุ่มไม่หยุดเพียงเท่านี้ คว้าไหสุรากระชับในมือมั่น ก่อนเทราดลงตรงจุดเดิมเสียกวงจินเปียกโชก เด็กหนุ่มชะงักอ้ากค้าง ตวัดดวงตากลมมองอย่างเอาเรื่องพลางแผดเสียงลั่น
“ทำอันใดของเจ้าน่ะ!”
ลืมสิ้นแล้วซึ่งสรรพนามทั้งปวง ทว่าคนทำกลับไม่สะทกสะท้าน เพียงแต่ยิ้มกว้างตาหยี ตอบหน้าตาย
“ข้ามิได้ตั้งใจ เพียงแต่เจ้างามล้ำเสียจนข้ามิอาจหักห้ามใจให้เชยชม มาเถิดถิงฟาง ไหนๆ เจ้าก็เปียกสุราเช่นนี้แล้ว ข้าจะช่วยเจ้าผลัดอาภรณ์แล้วกัน อิสสตรีเนื้อตัวเหม็นกลิ่นสุรามันไม่ค่อยน่าพิสมัยนะ”
ว่าจบก็ไม่รั้งรอให้กวงจินตั้งหลัก โผเข้าคว้าสองมือน้อยซึ่งพยายามปกปิดหน้าอกแบนราบของตนทันใด ก่อนฉุดยื้อกันพัลวันท่ามกลางเสียงตะโกนร้องของเด็กหนุ่มที่พอจะมโนภาพออกว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นเป็นลำดับต่อไป
“เจ้าจะทำการใดน่ะ! ปล่อยข้าประเดี๋ยวนี้นะ!”
“หากปล่อยแล้วจะได้แนบชิดหรือแม่นาง”
อวี๋ว์เจิ้งเหอยอกย้อน ออกแรงดึงให้ร่างเล็กจำยอม กวงจินเองก็ป้องกันตนเองเต็มที่ อยากจะตะโกนใส่หน้าเสียเหลือเกินว่าตนเป็นบุรุษ หากไม่เกรงว่าอวี๋ว์เจิ้งเหอรู้แล้วคว้ากระบี่บนโต๊ะมาบั่นคอตนล่ะก็ คงได้มีอันเปิดเผยไปแล้ว
“เจ้าจะบ้าไปแล้วหรือ! ปล่อยข้านะ...ปล่อย! ใครอยู่ข้างนอกบ้าง ช่วยข้าที!”
ทว่าส่งเสียงไปก็เท่านั้น เพราะยิ่งส่งเสียงร้องเพียงใด แรงฉุดกระชากจากอวี๋ว์เจิ้งเหอก็มากขึ้นเท่าตัว กระทั่งเผลอพลาดท่าล้มหงายให้ร่างใหญ่ขึ้นคร่อมได้ เท่านี้กวงจินก็หน้าซีดเผือดเมื่อเห็นใบหน้าคร้ามครันโน้มเข้ามาเสียใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ แม้จะผลักดันแผงอกแกร่งของคนตรงหน้าให้ออกห่าง ก็ถูกมือใหญ่ยึดตรึงสองข้อมือไว้ พอเห็นว่าคนตัวเล็กสิ้นท่า ชายหนุ่มก็หยักยิ้ม ตะล่อมให้คนใต้ร่างยอมจำนนแต่โดยดี
“อย่าดิ้นรนให้เหนื่อยเปล่าเลย ปรนนิบัติข้าเสียหน่อยเถิด ข้าเอ็นดูถึงเพียงนี้ ไยจึงปฏิเสธอีก”
“เพราะ...ก็เพราะข้ามิได้มีใจให้เจ้าน่ะสิเจ้าบ้า!”
ใจจริงอยากจะบอกว่าตนเป็นบุรุษมากกว่า ทว่าก็ยังสู้ทนพดเท็จต่อไปด้วยมีความหวังว่าจะรอดอยู่ต่อในคราวหน้า จึงไม่ยอมเอ่ยความจริงไปง่ายๆ
“เจ้ามีใจให้ข้าหรือไม่หาได้สำคัญไม่ ข้ามีใจให้เจ้าก็เพียงพอ หากข้าเอ็นดูเจ้ามากขึ้นแล้ว จะไม่ให้ต้องลำบากไปรับแขกอื่นให้เปลืองตัวเลย”
“ข้าไม่ต้องการได้ยินหรือไม่อวี๋ว์เจิ้งเหอ!”
สุดท้ายก็หลุดเรียกชื่อเต็มไปโดยไม่ทันฉุกคิดว่าอวี๋ว์เจิ้งเหอจะสงสัยหรือไม่ที่สตรีน้อยใต้ร่างนี้รู้แซ่สกุลของเขา กระนั้นก็ไม่เข้าหูชายหนุ่มสักนิด เพราะความหลงใหลทำให้หูบอดไปชั่วขณะ ก่อนร่างกำยำจะโน้มต่ำลงมาเสียใกล้ต้นคอขาว ก้มลงจุมพิตเบาๆ จนร่างเล็กสะดุ้งเฮือก พยายามผลักไสทั้งๆ ที่ไม่อาจจะหลุดรอดเงื้อมมือชายหนุ่มไปง่ายๆ
“ปล่อยข้าประเดี๋ยวนี้นะ!”
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่กวงจินกรีดร้องราวฟ้าจะถล่ม แต่นั่นก็ไม่อาจหยุดความเสน่หาของชายหนุ่มได้ เขาเลื่อนใบหน้าไล้ริมฝีปากทั่วลำคอจนสัมผัสได้ถึงหนวดเคราสาก กระซิบเอ่ยยั่วเย้าให้เด็กหนุ่มพรึงเพริดขึ้นไปอีก
“เจ้าเป็นเทพธิดาจากชั้นฟ้าใดหนอ ไยโฉมสะคราญแล้วยังหอมกายาดุจบุปผาสะพรั่งให้ข้าคลั่งไคล้เสียเพียงนี้”
เด็กหนุ่มอยากจะหลั่งน้ำตาออกมาเป็นโลหิตยิ่งนัก ภาวนาในใจให้สวรรค์เมตตาให้เขาหยุดเสียที ไม่เช่นนั้น อวี๋ว์เจิ้งเหอคงได้เลยเถิดไปมากกว่านี้แน่
และแล้วช่วงเวลาแห่งความอัปยศก็สิ้นสุดลง เมื่อสวรรค์เวทนาในความอัปยศอดสูของสองบุรุษ เมื่อเห็นว่าคนหนึ่งก็มะเลอหลงในเพลิงสิเน่หาอย่างมึนเมา อีกคนก็จวนเจียนคลุ้มคลั่งเหลือคณา บันดาลให้เสียงแหบห้าวดังเข้ามาในโสตประสาทของทั้งคู่ พร้อมกับร่างของเด็กรับใช้ที่ทะลึ่งพรวดเข้ามาอย่างไม่ดูตาม้าตาเรือ
“เรียนคุณชาย นายท่านให้ข้ามาตามไปพบขอรับ”
นาทีนั้น ทั้งกวงจิน ทั้งอวี๋ว์เจิ้งเหอต่างชะงักพลัน หันไปมองยังผู้มาใหม่ด้วยอารมณ์คนละขั้ว โดยคนหนึ่งอยากจะฆ่าคนขัดขวางเสียใจแทบขาด กับอีกคนโล่งใจเสียน้ำตาแทบไหล เช่นเดียวกัน เด็กรับใช้ก็เบิกตากว้างทันทีที่เห็นภาพเจ้านายน้อยกับนางคณิกาในสภาพกำลังจะเข้าด้ายเข้าเข็ม ก่อนรีบคุกเข่าสำนึกผิดทันที
“ขะ...ขออภัยขอรับ ขะ...ข้าไม่ตั้งใจเสียมารยาท คุณชายโปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วย”
ว่าพลางคำนับประหลกๆ อวี๋ว์เจิ้งเหอแม้จะขุ่นใจแต่ก็ยอมผละจากร่างบางแต่ก็ไม่วายอ้อยอิ่งหอมพวงแก้มใสส่งท้ายให้กวงจินถลึงตาใส่
“ช่างเถิด ว่าแต่ท่านพ่อเรียกหาข้ามีธุระอย่างไรหรือ”
“ขออภัยคุณชาย ข้าน้อยก็หารู้ไม่ขอรับ เพียงแต่บอกให้รีบไป”
“อืม เจ้าออกไปก่อน ประเดี๋ยวข้าตามไป”
เด็กรับใช้รีบคำนับลาแล้วผลุบหายไปจากห้องพร้อมโล่งใจที่ไม่ถูกลงโทษ พอเห็นว่าคนช่วยชีวิตตนหายลับไป กวงจินก็รีบโกยผ้าหลุดลุ่ยขึ้นด้วยสองแขน ถอยกรูดออกห่าง ปล่อยให้ชายหนุ่มมองตามพลางยิ้มเจ้าเล่ห์
“ แม้คราวนี้ข้าจะอดเชยชมเจ้าให้สมดังใจ แต่คราวหน้ารับรองว่าข้าไม่พลาดแน่ เตรียมใจไว้เถิด” ว่าแล้วเดินเข้ามาหา ส่งสายตาเสียดายเต็มประดามาให้ก่อนจรดริมฝีปากอุ่นลงบนหน้าผากมน
“เจ้า…!” กวงจินตั้งท่าหมายจะด่า แต่ก็ถูกห้ามด้วยปลายนิ้วแกร่งที่แตะเบาๆ ลงบนริมฝีปาก
“เก็บแรงก่นด่าของเจ้าไว้รอข้ามาเล่นด้วยอีกคราดีกว่า ข้าไปก่อนนะถิงฟาง...”
คนตัวดีกระเซ้าเย้าแหย่ไม่เลิก นึกชอบใจกับม้าพยศตัวใหม่เหลือเกิน ก่อนผละจากห้องไป ทิ้งให้กวงจินนั่งตะลึงงันจนภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ไหลเวียนมาในหัวอีกคราจนต้องอ้าปากร้องลั่นด้วยไม่อยากเชื่อว่าจะเกิดเรื่องน่าอดสูเช่นนี้กับตนด้วยน้ำมือชายด้วยกัน
“อ๊ากก! อวี๋ว์เจิ้งเหอ! ข้าจะไม่ยอมพลาดท่าเจ้าเป็นครั้งที่สองแน่!”
