บทที่ ๒ : ความอัปยศ【1】
ฝ่ายทหารเวรยามประจำแคว้นเสียนมองฝ่าความมืดยามย่ำรุ่งสางไปยังเงาตะคุ่มซึ่งเคลื่อนที่เข้ามาใกล้เรื่อยๆ อย่างระวังภัย กระทั่งเงานั้นเข้ามาใกล้เสียจนเห็นชัดเจนว่าเป็นเงาของสตรีร่างแน่งน้อยบนหลังม้า สารรูปมอมแมมเปื้อนฝุ่นดินและเสื้อผ้าขาดวิ่น ทำให้เหล่าทหารยามอดดูดายไม่ดาย เข้ามาไต่ถามสตรีที่ควบม้ามาหยุดตรงหน้าบานทวารแคว้นด้วยคะเนจากสายตาก็พอจะเดาได้ว่านางผ่านเรื่องร้ายมา โดยหารู้ไม่ว่าสิ่งที่เห็นนั้นเป็นภาพลวงทั้งหมด ลวงตั้งแต่การปลอมเป็นสตรี รวมถึงสภาพดูไม่ได้เช่นนี้ด้วย
“แม่นาง... เจ้ามาจากที่ใดกันหรือ ไยถึงได้สะบักสะบอมเช่นนี้เล่า” เสียงทุ้มห้าวของหนึ่งในทหารยามเอ่ยถามทำลายความเงียบ
“ขะ...ข้า...ข้าเป็นบุตรีของผู้นำขบวนคาราวานสินค้า บังเอิญถูกปล้นระหว่างเดินทาง มีเพียงข้ารอดชีวิต จึงได้หนีระหกระเหินมาถึงที่นี่...”
กวงจินว่าเสียงแผ่วเบาพลางก้มหน้างุดเสมือนซ่อนความเศร้าบนใบหน้าที่ต้องประสบเหตุร้าย ทำให้ผู้มองอดเวทนาไม่ได้ทั้งๆ ที่จริงแล้วเด็กหนุ่มพยายามซ่อนใบหน้าด้วยเกรงจะถูกจับได้ว่าเป็นชายต่างหาก
“หากเป็นเช่นนั้นก็น่าเห็นใจแม่นางนัก แล้วท่านจะเดินทางไปที่ใดเล่า ข้าจะได้บอกเส้นทางที่ปลอดภัยให้เจ้าถูก”
“ข้าไม่มีที่ให้ไปหรอก ข้าใคร่เพียงมีที่ให้ซุกหัวนอนเพียงชั่วคราว พอเห็นว่ามีแว่นแคว้นอยู่ละแวกนี้จึงได้มุ่งหน้าเข้ามา หากท่านจะอนุเคราะห์ ก็ขอให้ข้าได้เข้าไปหน่อยเถิด”
“เช่นนั้นก็เชิญแม่นางเถิด ว่าแต่เจ้าจะไปพักที่ใดเล่า มีเงินติดตัวพอจะพักโรงเตี๊ยมหรือไม่ หากสะดวกใจ แม่นางจะมาพักบ้านข้า ข้าก็หาได้รังเกียจนะ”
หนึ่งในทหารยามยื่นข้อเสนออย่างอาทร กวงจินกัดฟันแสร้งยิ้มรับเล็กน้อย ข่มใจให้ไม่รู้สึกกระดากอายตัวเองไปจนเก็บอาการไม่อยู่ บอกปฏิเสธไปด้วยท่าทีนุ่มนวล
“ข้าไม่กล้ารบกวนท่านหรอก เพียงเปิดทางให้ข้าได้เข้าไปในแคว้นก็บุญคุณล้นเหลือแล้ว แต่เอ...ที่นี่ใช่แคว้นเสียนใช่หรือไม่” ว่าพลางทำท่าชะเง้อชะเง้อประหนึ่งพิจารณาให้แน่ใจว่าแคว้นตรงหน้านั้นใช่แคว้นเสียนจริงๆ
“ใช่แล้วแม่นาง มีข้อสงสัยอย่างไรหรือ”
“ข้าเคยได้ยินว่าแคว้นเสียนมีสำนักวรยุทธ์ระบือชื่ออยู่ และมีหอคณิกาภายใต้ปกครองด้วย ข้าจึงใคร่หมายฝากเนื้อฝากตัวที่หอคณิกานั่นชั่วคราว จะได้พอหาเงินเลี้ยงตัว พอเพียงเมื่อใดข้าจะได้เดินทางกลับบ้านเกิด”
“อ้อ หอคณิกาปักษาภิรมย์น่ะหรือ ได้สิ...ข้าพอรู้จักกับฮูหยินหยวนเจี๋ย นางเป็นคนดูแลอยู่ คงพอฝากฝังได้”
ทุกอย่างช่างประจวบเหมาะราวสวรรค์ขีดเส้นชะตาให้เดินเสียจริง กวงจินลอบเหยียดยิ้ม ไม่นึกว่าทุกคำพูดที่ตนเอ่ยไป จะเป็นจริงได้เพียงพริบตา
“เช่นนั้นคงต้องรบกวนท่านแล้ว...”
กวงจินยกมือคำนับ ก่อนทหารยามผู้นั้นจะอาสาพาเขาไปยังที่หมาย
เด็กหนุ่มถูกพามายังหอคณิกาปักษาภิรมย์ตามความประสงค์ ดวงตากลมโตมองอาคารไม้สีแดงประดับตกแต่งด้วยโคมพู่ห้อยและลวดลายดอกไม้ตามหน้าจั่วที่แต่งแต้มด้วยสีทองอย่างตะลึงงัน ด้วยไม่คิดว่าหอคณิกานี้จะใหญ่โตกว่าที่คาดคะเนไว้ ทหารยามผู้นำทางเชื้อเชิญให้กวงจินตามเขาเข้าไปข้างใน
ไม่นานก็ถึงยังห้องโถงกลางหอคณิกา นางคณิกาจำนวนมากต่างประทินโฉมแต่งกายงดงามอวดกันให้คลาคล่ำ ทว่านั่นก็ไม่ได้เป็นที่สนใจของเด็กหนุ่มมากนัก นอกจากหญิงวัยกลางคนซึ่งนั่งรินน้ำชาส่งกลิ่นหอมยวนเย้าอยู่กลางห้องโถง นางชะงักมือเมื่อเหลือบเห็นเงารางๆ ของผู้มาใหม่ด้วยหางตา ก่อนเงยหน้าขึ้นมอง และไม่ทันจะได้เอ่ยถามอะไร ทหารยามก็เอ่ยขึ้นเสียก่อน
“ข้าพบแม่นางผู้นี้ยังบานทวารแคว้น นางไม่มีที่ไป ข้าจึงอยากฝากฝังให้ท่านช่วยสงเคราะห์หน่อย หากไม่เป็นการรบกวน ขอฮูหยินหยวนเจี๋ยช่วยพิจารณา”
ใบหน้าเรียบนิ่งก็ประกายความรำคาญขึ้นมาน้อยๆ แม้จะไม่รู้จัก แต่หยวนเจี๋ยค่อนข้างคุ้นหน้าคุ้นตากับทหารยามผู้นี้เป็นอย่างดีเพราะมักเห็นเขามาสำเริงสำราญกับนางคณิกาอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็หาใช่ว่าจะสนิทสนมอย่างไรถึงขั้นมาฝากฝังสตรีนางไหนได้
“ดูก่อนท่านทหาร หอคณิกาแห่งนี้ใช่ว่าใครอยากจะฝากตัวก็ฝากได้นะ ข้าหาใช่เจ้าของ คงตัดสินใจใดๆ โดยพลการเองไม่ได้ ต้องรอให้คุณชายเจิ้งเหอกลับมาเสียก่อน ถึงเวลานั้นคงจะได้เจรจากัน ท่านกลับไปเถิด ไม่มีประโยชน์อย่างไรที่จะคุยกับข้าหรอก”
เพียงแค่นี้ก็รับรู้ได้ว่าหยวนเจี๋ยปฏิเสธ ซ้ำยังไม่ใส่ใจแม้จะเหลียวมองหน้าสตรีที่ทหารยามพามาสักนิด ก่อนเบนความสนใจไปยังกาน้ำชาในมืออีกครั้งแล้วบรรจงรินลงจอก ทว่ากวงจินกลับหูผึ่งเมื่อได้ยินชื่อของเจ้าสำนักปักษามรกต รู้สึกตัวว่าต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อสร้างโอกาสในการเข้าถึงตัวอวี๋ว์เจิ้งเหอ ก่อนก้าวฉับเข้าไปหาหยวนเจี๋ย แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล พดเท็จไปตามเรื่องที่ได้ตระเตรียมไว้
“ได้โปรดฮูหยินช่วยเมตตา ข้าไร้สิ้นแล้วซึ่งหนทาง บิดาและญาติพี่น้องก็มาตายเพราะฝีมือโจร อยากกลับบ้านก็กลับไม่ได้เพราะไม่มีเงินติดตัวสักแดง ให้ข้าได้พักพิงและทำงานทีนี่สักระยะเถิด เมื่อข้าได้เงินเพียงพอเมื่อใดจะไม่รบกวนท่านอีก แล้วบุญคุณนี้ข้าจะไม่ลืมเลย”
ไม่ว่าเปล่า คนตัวเล็กยังทรุดลงคุกเข่าขอร้องขอความปรานี ก้มหัวผงกๆ คำนับซ้ำแล้วซ้ำอีก ทำเอาเหล่านางคณิกาส่งเสียงฮือฮา หยวนเจี๋ยชำเลืองมองร่างเล็กภายใต้อาภรณ์ขาดวิ่นอย่างเวทนา ผมเผ้ารุงรังและเนื้อตัวเปรอเปื้อนทำให้นางคิดไม่ออกเลยว่ากวงจินประสบเรื่องร้ายใดๆ มาบ้าง ใจอ่อนยอมหันมาพูดกับกวงจินอย่างไม่มีทางเลือก
“ทำเช่นนี้ข้าก็ลำบากใจสิ จะให้ข้าตัดสินใจได้เช่นไรในเมื่อข้าไม่ใช่เจ้าของหอคณิกา... ลุกขึ้นๆ “
“ฮูหยินได้โปรดเมตตาข้าเถิด... ได้โปรด...”
“ลุกขึ้นก่อนเถิดน่า...”
ว่าแล้วก็พยายามประคองคนตรงหน้าให้ลุกขึ้น หากแต่ในจังหวะหนึ่งขณะประคองร่างเล็กขึ้นนั้น เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตานางพอดี ให้นางได้เห็นใบหน้าหวานละไมชัดเจนจนตะลึงกับความงามล้ำ หากเพ่งพินิจพิจารณาดีๆ แล้ว หยวนเจี๋ยก็พลันคิดในใจว่าสตรีน้อยตรงหน้านั้นคงไม่ใช่หญิงสาวชาวบ้านเป็นแน่ อาจเป็นบุตรีจากสกุลเจ้านายที่ไหนสักสกุล แต่นั่นก็หาใช่เรื่องสำคัญเมื่อใบหน้าของชายหนุ่มอีกคนซึ่งกำลังกลับสู่แคว้นในคืนนี้แวบเข้ามาในห้วงความคิด พลางเหยียดยิ้มพรายเมื่อนึกถึงการต้อนรับการกลับมาของเขาด้วยนางคณิกาคนใหม่ซึ่งสะคราญโฉมกว่าผู้ใดให้เขาได้เชยชมเสียจนหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง ก่อนลืมคำพูดก่อนหน้าของตนจนสิ้น ยื่นข้อเสนอใหม่ให้กวงจินทันใด
“ข้าเห็นแก่ความตั้งใจของเจ้า หากเจ้าใคร่ทำงานที่นี่นัก ข้าก็จะสงเคราะห์ให้ เจ้าไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เสียก่อน แล้วข้าจะสอนงานให้ เจ้า...จัดห้องหับให้นางที”
ว่าพลางหันไปสั่งนางคณิกานางหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กวงจินเบิกตาโพลง ตามความคิดหยวนเจี๋ยแทบไม่ทันด้วยไม่คิดว่าจู่ๆ นางก็ตอบรับเสียอย่างนั้น แต่ก็แสร้งดีอกดีใจ
“ขอบพระคุณฮูหยินที่เมตตา บุญคุณครั้งนี้ข้าจะไม่ลืมเลย”
“เอาเถิดๆ เจ้ารีบไปจัดแจงเสื้อผ้าหน้าผมให้เรียบร้อย อย่าชักช้า ข้าไม่ได้ว่างสอนงานให้เจ้ามากนักหรอกนะ”
หยวนเจี๋ยว่าอมยิ้มกริ่ม ปล่อยให้กวงจินตามนางคณิกาที่ได้รับคำสั่งไปจัดแจงตามความประสงค์ของนาง เด็กหนุ่มลอบยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว กระหยิ่มใจคิดว่าอีกไม่นานก็คงล้วงจุดอ่อนจากอวี๋ว์เจิ้งเหอให้ได้เป็นที่ชื่นชมของกวงฟั่นโดยไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของหยวนเจี๋ยซึ่งแสยะยิ้มตามหลังเลยแม้แต่น้อย
“คุณชายต้องพอใจเป็นแน่...”
เพียงแค่อึดใจ กวงจินก็ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์และประทินโฉมเสร็จสิ้น ความงามดุจบุปผาแรกแย้มฉายรัศมีจากร่างเล็กเสียจนหยวนเจี๋ยเองยังตะลึงค้าง นางแน่ใจเหลือเกินว่าแม้นางจะพบเห็นสตรีสะคราญโฉมมามากมาย แต่ก็ไม่เคยมีสตรีนางใดเลยที่งามผุดผาดเช่นสตรีตรงหน้านี้
“งาม...งามมาก งามเหลือเกิน”
หยวนเจี๋ยชมไม่หยุดปาก กวงจินได้แต่ยิ้มแหย ไม่รู้ว่าจะโล่งใจหรือเสียใจดีที่รูปร่างหน้าตาของตนเหมือนสตรีอย่างแยกไม่ออกทั้งๆ ที่เป็นบุรุษ ก่อนเขาจะถูกนำตัวพาไปยังห้องรับรองขนาดใหญ่สำหรับแขกระดับเจ้าขุนมูลนายชั้นสูง รอการมาถึงของใครบางคน แม้จะไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด แต่ก็พอเดาได้ว่าคงเป็นคนที่ใหญ่พอควร เพราะแลดูหยวนเจี๋ยและบรรดานางคณิการวมถึงเด็กรับใช้คนอื่นๆ ต่างพากันสาละวนกับการจัดเตรียมการต้อนรับกันอย่างอลหม่าน
เด็กหนุ่มรู้สึกราวเป็นคนนอกไปชั่วขณะ กระทั่งความวุ่นวายรอบข้างเริ่มเข้าที่เข้าทาง หยวนเจี๋ยจึงหันมาให้ความสนใจกับเขาอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันได้เดินเข้ามาหา เด็กรับใช้คนหนึ่งก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามากระซิบข้างหูนาง พานทำให้นางต้องเบิกตากว้าง ปรี่เข้ามาหากวงจินโดยเร็ว
“เจ้ามีชื่อแซ่อย่างไร”
“ข้าชื่อกวง...เอ่อ... ถิงฟาง”
เกือบจะหลุดบอกชื่อจริงให้รู้ แต่โชคดียังพอมีไหวพริบ นึกชื่ออื่นสับเปลี่ยนได้ทัน
“มานี่ถิงฟาง เจ้านั่งตรงนี้แล้วรอจนกว่าข้าจะสั่งแล้วค่อยลุกมา ตราบใดที่ไม่ได้ยินข้าเรียกก็อย่าขยับไปไหนเป็นอันขาดเข้าใจไหม”
