บท
ตั้งค่า

บทที่ ๑ : สองพี่น้องสกุลกวง【2】

“หารือกันข้างนอกไม่ได้หรือ ไยต้องมีลับลมคมในด้วย”

เอ่ยแย้งอย่างระแวงเพราะไม่รู้ว่ากวงฟั่นมีแผนการใดอยู่ และเหมือนกับว่ากวงจินจะขัดขืนไม่ได้เลย เมื่อสองมือใหญ่ผลักเข้าเต็มแผ่นหลัง พร้อมคำสั่ง

“บอกให้เข้าก็เข้าไปเถิดน่า ถามมากเซ้าซี้น่ารำคาญอยู่ได้”

จนท้ายแล้วก็เข้ามาในห้องของกวงฟั่นจนได้ เด็กหนุ่มถอนหายใจพรืดแล้วพาตัวมานั่งทรุดลงบนเก้าอี้ใกล้ๆ เอ่ยถามเข้าเรื่องอย่างไม่รอช้าทันที

“ท่านพี่มีเรื่องใดจะหารือก็ว่ามา อย่ามัวชักช้าให้เสียการ”

ชายหนุ่มเดินตามมานั่งตรงข้ามกับน้องชาย สีหน้าผ่อนคลายที่โผล่ให้เห็นเมื่อครู่พลันมลายหายไปอีกครั้งเมื่อสีหน้าเคร่งขรึมเข้ามาแทนที่ ให้กวงจินรับรู้ได้ว่าสิ่งที่จะได้ฟังต่อไปนั้นคงหนีไม่พ้นเรื่องของสำนักปักษามรกตเป็นแน่

“เจ้าเคยได้ยินชื่อของเจ้าสำนักปักษามรกตหรือไม่ว่าเป็นผู้ใด”

เป็นตามดังคาดไว้ กวงจินอดถอนหายใจกับความดื้อดึงของกวงฟั่นไม่ได้ และก็พอเข้าใจได้แล้วว่าเหตุใดกวงฟั่นจึงต้องดึงตนมายังที่รโหฐาน เช่นนี้คงเป็นเพราะมีแผนการใดในใจอยู่เป็นแน่

“เท่าที่ข้ารู้ก็เพียงแต่เจ้าสำนักคนเก่าชื่อ อวี๋ว์เจิ้งเสี้ยน เป็นบิดาของเจ้าสำนักคนใหม่ ทำไมหรือ”

สีหน้าฉงนของเด็กหนุ่มทำให้กวงฟั่นตบหน้าตักตนฉาดใหญ่ สร้างความสงสัยให้คนมองอีกเป็นเท่าตัว

“ข้าว่าแล้วเชียวว่าเจ้าต้องไม่รู้เป็นแน่ เจ้าจำเมื่อครั้งที่ข้าถูกท่านพ่อส่งไปร่ำเรียนที่แคว้นเสียนได้หรือไม่ ครานั้นมีสหายร่วมอาจารย์กับข้าที่ข้าเรียกว่าเจ้าลูกไก่อยู่คนหนึ่ง... เจ้าเด็กขี้โรคนั่นน่ะ”

พลันภาพของเด็กชายตัวเล็กผอมกะหร่องในชุดผ้าแพรลายงามซึ่งแลดูขัดกันอย่างสิ้นเชิงก็แวบเข้ามาในมโนความคิดของกวงจิน หากจำไม่ผิด เด็กคนนั้นมักโดนกวงฟั่นแกล้งเป็นประจำ ฉายาของเขาคือ เจ้าลูกไก่ ด้วยร่างกายอ่อนแอป่วยกระเสาะกระแสะทำให้ท่าทางการเดินเหมือนลูกไก่ที่ยังเดินไม่คล่องดี ร่ำเรียนเป็นสหายกับกวงฟั่นที่แคว้นเสียนซึ่งไม่ห่างไกลนักได้เพียงไม่นาน เขาก็ไปรักษาตัวตามคำสั่งของบิดา แล้วหายไปจากชีวิตของกวงฟั่นอย่างไร้ร่องรอย นับแต่วันนั้นก็ผ่านมาราวสักสิบปีได้แล้วกระมัง

“จำได้สิ ท่านพี่ชอบแกล้งเจ้าลูกไก่จนข้าต้องไปห้ามปรามอยู่หลายต่อหลายครั้งเช่นนั้น ไยจะจำไม่ได้”

ยิ่งนึกก็ยิ่งเห็นภาพชัดเจน แต่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่ๆ กวงฟั่นถึงได้ย้อนความหลังเช่นนี้ กระทั่งคนถามเหยียดมุมปากขึ้นเล็กน้อยแล้วแถลงไขออกมา

“เจ้านั่นน่ะชื่อ อวี๋ว์เจิ้งเหอ เป็นบุตรชายโทนของอวี๋ว์เจิ้งเสี้ยน ซึ่งหมายความว่าเจ้าสำนักปักษามรกตนั่นก็คือเจ้าลูกไก่ขี้โรคที่โดนข้าแกล้งในตอนนั้นเช่นไรเล่า”

ได้ฟัง เด็กหนุ่มก็เบิกตาโต นึกไม่ออกเลยว่าเด็กขี้โรคท่าทางขี้ขลาดในตอนนั้นจะเป็นถึงเจ้าสำนักที่ทำให้ยุทธภพต้องหวั่นเกรงได้อย่างไร

“แล้วท่านพี่รู้เรื่องนี้มาจากผู้ใด ไยถึงได้มั่นใจเหลือเกินว่าเจ้าสำนักปักษามรกตคือเจ้าลูกไก่ในตอนนั้น”

“ไยข้าจะไม่รู้ ข้าก็ถือว่าเป็นจอมยุทธ์ผู้หนึ่งเช่นกัน ยุทธภพนี้มันกว้างใหญ่สักแค่ไหนกันเชียว เจ้าลูกไก่กับข้าเคยเป็นสหายวัยเยาว์กันมาก่อน ย่อมมีเครือมิตรสหายส่งข่าวให้รู้อยู่แล้ว”

“ในเมื่อเจ้าลูกไก่เป็นสหายกับท่านพี่ เช่นนั้นท่านพี่ก็ใช้ความเป็นสหายเจรจาให้เจ้าลูกไก่ละเว้นสำนักดอกเหมยอำพันของเราไปเสียสิ จะได้ไม่มีใครต้องเจ็บตัว”

กวงฟั่นขมวดคิ้วมุ่น สบตากวงจินอย่างเคืองขุ่นก่อนกระชากเสียงใส่ “เรื่องอย่างไรเล่า ขืนข้าทำเช่นนั้นก็ไม่ต่างอย่างไรกับยอมสยบแทบเท้ามัน จะให้ข้าเจรจากับมันเช่นนั้น ให้ข้าหลั่งเลือดเสียยังจะดีกว่า”

“หากไม่ใช่เช่นข้าคาดการณ์ไว้ แล้วท่านพี่จะเอ่ยถึงเจ้าลูกไก่ทำไมกัน”

“ข้าแค่ให้เจ้ารู้ว่าเจ้าสำนักปักษามรกตนั้นเป็นใครก่อนที่จะเข้าแผนของข้าเท่านั้น ในเมื่อเจ้าจำมันได้ก็ดี เรื่องจะได้ง่ายขึ้นหน่อย”

คราวนี้กวงฟั่นกลับยิ้มพรายให้เสียวสันหลัง กวงจินรู้ว่าแผนการของกวงฟั่นต้องไม่ใช่แผนการที่ดีแน่ และที่สำคัญคงต้องมีอะไรลากเขาไปเอี่ยวด้วยอย่างไม่มีทางเลือก และก็เป็นดังที่คิดไม่มีผิด เมื่อประโยคต่อไปหลุดออกจากริมฝีปากหนา ให้กวงจินได้ชาวาบไปทั้งตัว

“ข้าต้องการให้เจ้าปลอมตัวเข้าไปใกล้ชิดเจ้าลูกไก่ สืบหาจุดอ่อนของมันมาให้ข้า จะด้วยวิธีใดก็ได้แต่ต้องไม่ให้มันจับได้ว่าเจ้าเป็นน้องชายข้าก็พอ...”

“วะ...ว่าเช่นไรนะ! ทำไมต้องเป็นข้าด้วยเล่า! ข้าไม่เอาด้วยหรอก!”

พอตั้งสติได้ เด็กหนุ่มก็โวยวายที่จู่ๆ ถูกมัดมือชกเสียอย่างนั้น ผุดลุกขึ้นหมายจะชิ่งหนีออกจากห้อง แต่กวงฟั่นไวกว่า เอื้อมมือคว้าบ่าเล็กได้ทันก่อนกดลงให้นั่งลงไปตามเดิม

“ไม่เอาก็ต้องเอาเพราะข้าตัดสินใจแล้ว หากไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นผู้ใดกันเล่า”

“ก็ท่านพี่ไง อยากไปก็ไปเองสิ ไยต้องเกี่ยงให้ข้า หรือเกรงจะสู้เจ้าลูกไก่ไม่ได้”

กวงฟั่นเห็นน้องชายขึ้นเสียง ก็พลันขึ้นเสียงบ้างเพื่อข่มให้คนตรงหน้ารู้สึกตัวว่าใครใหญ่กว่าใคร

“ขืนข้าเข้าไปเอง เจ้าลูกไก่คงจำข้าได้ แล้วทีนี้มันคงไม่รั้งรอที่จะทะลวงสำนักดอกเหมยอำพันให้หายแค้นกับวีรกรรมที่ข้าก่อไว้เมื่อเยาว์เป็นแน่ ยิ่งท่านพ่อพิรี้พิไรเช่นนี้ด้วย หากเจ้าอยากให้สำนักเราพินาศเร็วยิ่งขึ้น ก็เอาตามนั้นก็ได้”

เด็กน้อยหน้าจ๋อยลงไปสนิทตา จริงอย่างที่กวงฟั่นพูด บิดาของพวกเขาเป็นประเภทหากไม่จวนตัวจริงๆ ก็จะไม่ลงมือทำร้ายผู้ใดเป็นอันขาดแม้จะโดนหมิ่นเกียรติก็ตาม ถ้าสำนักปักษามรกตได้ยกพลมาจริงๆ กว่าท่านพ่อจะเจรจาสงบศึกเสร็จ สำนักดอกเหมยอำพันคงไม่เหลือศักดิ์ศรีที่สร้างมาไว้ให้เชยชมเป็นแน่แท้

พอเห็นว่าน้องชายมีท่าทีคล้อยตาม กวงฟั่นก็พึงใจ ไม่รอช้าเอ่ยตะล่อมให้เด็กหนุ่มหลงกลอย่างรวดเร็ว

“ข้าจะบอกให้นะกวงจิน สิ่งสำคัญที่สุดของสำนักวรยุทธ์นอกจากตำราวรยุทธ์แล้ว นั่นก็คือเกียรติภูมิของสำนัก เจ้าจะยอมให้ผู้ใดก็ไม่รู้มาทำลายเกียรติที่บรรพบุรุษเจ้าสั่งสมมาตลอดชีวิตเพียงเวลาแค่ชั่วข้ามคืนเช่นนั้นหรือ ที่ข้าวางแผนโดยใช้เจ้านั้น เพราะเห็นว่าเจ้าไว้ใจได้ที่สุดและคงเห็นแก่ประโยชน์ของสำนักมากกว่าอื่นใดเพราะเจ้าคือบุตรชายของเจ้าสำนักนี้ ลำพังแค่ตัวข้า แม้จะเก่งกาจเพียงใดก็ไม่อาจชนะได้หากไม่มีเจ้าช่วยเหลือ... เพื่อสำนักของเรานะกวงจิน เรื่องแค่นี้เจ้าทำให้ข้าได้หรือไม่”

กวงจินกลายเป็นคนหูเบาด้อยปัญญาไปในพริบตาเมื่อได้ยินคำหว่านล้อม แม้เงียบนิ่งไปครู่ใหญ่แต่สุดท้ายก็ตอบรับพี่ชายอยู่ดีด้วยไม่อยากให้สำนักเสื่อมเกียรติ สู้รู้จุดอ่อนฝ่ายตรงข้ามเพื่อต้อนให้จนมุมก่อนอีกฝ่ายจะมาต้อนให้เราจนมุมยังจะดีเสียกว่า

“ข้าจะช่วยท่านพี่ก็ได้ จะให้ข้าทำอย่างไรก็บอกแผนการมาแล้วกัน แต่อย่าให้ข้าต้องเสี่ยงมากนักล่ะ ข้ายังไม่อยากตายก่อนท่านพ่อจะสิ้นลม”

ได้ยินดังนั้น กวงฟั่นก็แสยะยิ้มกว้างอย่างไม่ปิดบัง คิดอยู่แล้วว่ากวงจินต้องยอมอ่อน ก่อนรับปากเป็นมั่นเหมาะโดยที่กวงจินไม่รู้เลยว่าแผนการของกวงฟั่นนั้นร้ายกาจกว่าที่คาดหมายเพียงใด

“ไม่ต้องห่วงน่าน้องรัก รับรองข้าจะวางแผนการให้เจ้าเป็นอย่างดี...”

กว่าจะรู้ตัวว่าการร่วมมือกับกวงฟั่นนั้นเป็นความคิดที่ผิดมหันต์ก็ตอนที่ได้ฟังแผนการจากปากคนเจ้าเล่ห์โดยละเอียด เมื่อกวงฟั่นว่าจะให้กวงจินต้องปลอมกายเป็นอิสตรีและแฝงเร้นเข้าไปยังหอคณิกาปักษาภิรมย์ยังแคว้นเสียน อันเป็นหอคณิกาขนาดใหญ่ภายใต้การดูแลของสำนักปักษามรกต โดยที่เด็กหนุ่มไม่รู้มาก่อนเลยว่านอกจากสำนักปักษามรกตจะเป็นสำนักฝึกสอนวรยุทธ์แล้ว ยังมีการทำการค้าด้วย ทว่านั่นก็หาใช่เรื่องสลักสำคัญไม่ นอกเสียจากการถูกกวงฟั่นบังคับให้ใส่ชุดผ้าแพรสีหวานด้วยสีหน้าดุดัน เตรียมพร้อมเริ่มแผนการโดยไม่ทันให้กวงจินได้ทำใจ

เพียงเวลาไม่นาน เด็กหนุ่มก็จัดแจงเปลี่ยนอาภรณ์เสร็จสรรพ จากมาดคุณชายในตอนแรกก็กลายเป็นสตรีรุ่น เรียกรอยยิ้มจางๆ อย่างพึงใจจากกวงฟั่นได้เป็นอย่างดี ขณะที่กวงจินได้แต่สบถเสียงลมอย่างไม่พอใจนัก ก่อนกระแทกตัวนั่งลงบนเก้าอี้เต็มแรง กวงฟั่นรวบมือไปไขว้หลัง เดินอ้อมมาชมผลงานก่อนบ่นพึมพำ แล้วร้องเรียกสาวใช้ซึ่งรออยู่ด้านนอกให้เข้ามา

“เปลี่ยนแต่แรกก็สิ้นเรื่องไปแล้ว มาเสียเวลาต่อปากต่อคำกับข้าอยู่ได้ เอ้าพวกเจ้า! จัดการเจ้านี่ที”

สิ้นเสียง สาวใช้จำนวนหนึ่งก็กรูกันรุมทึ้งกวงจิน ทั้งประทินโฉม ทั้งรวบผมปักปิ่นกันอย่างอลหม่าน เด็กหนุ่มได้แต่นั่งนิ่งทำแก้มป่องไปมาราวกับตุ๊กตาถูกจับแต่งตัว กว่าจะเสร็จสิ้นก็นานพอสมควร แต่ผลช่างน่าพอใจยิ่งนักเมื่อเด็กหนุ่มกลายเป็นสาวน้อยสะคราญโฉมในพริบตา จนกวงฟั่นอดครึ้มใจไม่ได้ว่าแผนการของตนคงดำเนินไปอย่างราบรื่น

“เสร็จแล้วก็ออกไปเสีย แล้วอย่าแพร่งพรายเรื่องนี้ให้ผู้ใดรู้เป็นอันขาด หากเรื่องนี้รู้ถึงหูท่านพ่อเมื่อไหร่ ข้าจะลงโทษพวกเจ้าให้เข็ดหลาบ...เอ้านี่ ค่าเหนื่อยของพวกเจ้า เอาไปแบ่งกันให้ถ้วนหน้า”

ชายหนุ่มล้วงเอาถุงผ้าห่อเหรียญเงินจำนวนหนึ่งในสาบเสื้อส่งให้สาวคนหนึ่งรับไว้ บรรดาสาวใช้โค้งคำนับรับปากเป็นมั่นเหมาะว่าจะปิดเป็นความลับอย่างดี เท่านี้กวงจินก็พอจะเดาได้ว่าสาวใช้พวกนั้นคงรู้แผนการของกวงฟั่นเช่นเขา และที่ยอมทำตามคำสั่งก็คงเพราะถูกบังคับอย่างแน่นอน

“ส่วนเจ้าก็ลุกขึ้นได้แล้ว ข้ากับศิษย์สำนักบางส่วนเตรียมม้ารอไว้ด้านหลังสำนัก จะต้องเดินทางอีกไกล รีบไปกันเสียที”

คล้อยหลังสาวใช้ได้ กวงฟั่นก็ออกคำสั่งอีก สร้างความหมางใจให้กวงจินเต็มประดาที่เห็นพี่ชายเอาแต่สั่งๆ ไม่หยุดหย่อน ทำให้กวงจินอดไม่ได้ บ่นกระปอดกระแปดใส่พี่ชาย

“ท่านพี่ไม่ใคร่จะมีใจถามข้าบ้างหรือว่ารู้สึกอย่างไรที่ต้องมาแต่งกายประดุจสตรีเช่นนี้ เอาแต่สั่งๆ บ้าอำนาจอยู่ได้”

คนถูกว่าเหลือบมองด้วยหางตาเล็กน้อย ก่อนบอกปัดอย่างไม่ใส่ใจนัก “ไยต้องใส่ใจด้วย แค่แผนข้าเป็นไปตามคาดก็พอแล้”

ว่าจบก็หุนหันออกจากห้องไปทันที เป็นสัญญาณให้เด็กหนุ่มรู้ว่าหากเขาไม่รีบตามไปให้ทัน กวงฟั่นคงได้คาดโทษ จึงไม่รอช้า รีบก้าวตามออกไปแต่ก็ไม่วายบ่นทิ้งท้ายระบายอารมณ์ขุ่นมัว

“สำนักดอกเหมยอำพันจะเสียเกียรติเพราะบุตรชายคนเล็กของเจ้าสำนักแต่งกายเป็นสตรีนี่แหละ เจ้าพี่บ้า...”

แทบไม่น่าเชื่อว่าแผนการของกวงฟั่นแลดูจะง่ายดายราบรื่นไปเสียทุกอย่างตั้งแต่ลอบออกจากสำนักจนขบวนเดินทางสู่แคว้นเสียนซึ่งอยู่ไม่ไกลจากแคว้นฉู่นัก ก็ใครเล่าจะหารู้ว่าภายใต้การปกครองของเหยาไท่นั้น จะมีแนวทางการปกครองของกวงฟั่นอันเสมือนคลื่นใต้น้ำเคลื่อนตัวเข้าครอบคลุมศิษย์สำนักให้เข้าสวามิภักดิ์อยู่ จึงไม่แปลกหากศิษย์สำนักจะอำนวยความสะดวกให้กวงฟั่นโดยดุษณี หรืออักนัยหนึ่ง อาจเป็นเพราะศิษย์สำนักบางส่วนอาจนึกถึงเกียรติยศศักดิ์ศรีของสำนักกระมัง จึงยอมแสร้งไม่รู้ไม่เห็น ปล่อยให้กวงฟั่นทำตามประสงค์

และเพียงเวลาแค่ค่อนคืน การเดินทางก็ใกล้สิ้นสุดลง กวงฟั่นออกคำสั่งให้ศิษย์สำนักที่ติดตามชะงักบังเหียนเมื่อถึงหลังโขดหินใหญ่ พลางมองไปยังด้านหน้าซึ่งเห็นเงาของบานทวารแคว้นเสียนท่ามกลางความมืดรางๆ ก่อนบอกให้ขบวนเดินทางรู้ว่าบัดนี้พวกเขาได้มาอยู่ใกล้แคว้นเสียนเพียงหนึ่งช่วงลมหายใจแล้ว

“ห่างออกไปอีกไม่กี่ลี้ก็จะถึงที่หมาย พวกเราคงเข้าใกล้ไปใกล้นี้ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นพวกสำนักปักษามรกตคงได้ทำแผนเราพังแน่ คงต้องปล่อยให้เจ้าไปต่อเองแล้วล่ะกวงจิน”

สิ้นเสียง ดวงตากลมโตก็มองตามไปยังเงาดำทะมึนของบานทวารแคว้น เขาแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าแคว้นฉู่และแคว้นเสียนจะอยู่ใกล้กันเพียงเอื้อมแค่นี้

“ท่านพี่จะให้ข้าเดินดุ่มๆ เข้าไปในแคว้นเสียนเช่นนั้นเลยหรือ”

เด็กหนุ่มอ้าปากถามพี่ชายโดยที่สายตายังไม่ละจากภาพตรงหน้า นึกไม่ออกเลยว่าหากไปถึงยังหน้าบานทวารแคว้นแล้วเกิดเวรยามถามไถ่ว่าเป็นใครมาจากไหนจะโต้ตอบเช่นไรดี แต่เหมือนกวงฟั่นจะตอบโจทย์นั้นให้เรียบร้อยโดยไม่ต้องเอ่ยปากถาม

“ใช่ เข้าไปเลย หากถูกไต่ถาม ก็บอกไปว่าเจ้าเป็นบุตรสาวผู้นำขบวนคาราวานสินค้า แล้วถูกโจรปล้นเอาระหว่างทาง มีเพียงเจ้าที่รอดเลยหนีระหกระเหินมาถึงที่นี่เท่านั้นก็พอ”

“โจรปล้นกลางทางหรือ... ผู้ใดจะเชื่อกันเล่า ดูข้าแต่งกายเสียก่อน ประหนึ่งคุณหนูสกุลใหญ่ก็ไม่ปาน แลดูเหมือนไปปล้นเขามาเองเสียมากกว่า”

คนตัวเล็กทำหน้ายู่ ไม่ฉุกใจสักนิดว่าที่กวงฟั่นพูดเช่นนี้เพราะเขาได้ตระเตรียมแผนสำหรับการนี้มาไว้เรียบร้อยแล้ว ก่อนหัวเราะร่วนกับเหล่าศิษย์สำนักคนอื่นๆ เมื่อนึกถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า พานให้กวงจินจำต้องขมวดคิ้วย่น ไม่พอใจเท่าไหร่นักที่จู่ๆ ก็ถูกหัวเราะใส่โดยที่ตนไม่รู้เรื่องรู้ราวเช่นนี้

“ข้าถามแค่นี้ มีเรื่องอย่างไรให้น่าขำมากนักหรือ”

“เจ้าอย่าได้เป็นห่วงไปเลย ข้ามีวิธีจัดการก็แล้วกัน เฮ้ยพวกเจ้า...พร้อมกันหรือยักัน เฮ้ย! พวกเจ้า!”

ว่าพลางยิ้มพราย เด็กหนุ่มรู้สึกชังรอยยิ้มผู้เป็นพี่เสียเหลือเกิน เพราะรู้ว่าเมื่อรอยยิ้มเช่นนี้โผล่ให้เห็นทีไร ย่อมเกิดเรื่องไม่ดีกับเขาทุกที และก็เป็นดังที่คิด เมื่อจู่ๆ ศิษย์สำนักต่างพร้อมใจกระโดดลงจากหลังม้า ย่างสามขุมเรียงหน้าเข้ามายังเขาจนเสียวสันหลังวาบ

“จะ...จะทำอย่างไรน่ะท่านพี่...”

“ก็ทำให้เจ้าแลดูประหนึ่งถูกปล้นมาน่ะสิ จัดการได้...”

สิ้นเสียง ก็ไม่เปิดโอกาสให้กวงจินร้องปราม ต่างคนต่างพากันชักกระบี่ออกฉวัดเฉวียนผ่านอาภรณ์เนื้อดีจนขาดวิ่น เด็กหนุ่มตกใจไม่เป็นอันทำอะไรก็ถูกกระชากลงจากหลังม้าร่วงสู่พื้น พลันฝุ่นทรายก็กลบทั่วใบหน้าและลำตัวอย่างจงใจ มือเล็กพยายามปัดป้องด้วยยังตั้งสติไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตน กระทั่งเสียงแหบห้าวจากคนต้นเรื่องดังขึ้น ทุกอย่างรอบตัวจึงได้หยุดลงราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“เอาล่ะ พอได้แล้ว เท่านี้ก็คงดูสมกับเรื่องที่ข้าปั้นแต่งให้เจ้าแล้วล่ะ”

ว่าพลางแสยะยิ้มกว้างกับสภาพรุ่งริ่งของน้องชายที่ปรากฏให้เห็นเพียงกะพริบตา ถึงตอนนี้กวงจินก็ปะติดปะต่อเรื่องได้ทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้น พลันนึกโกรธพี่ชายทันใดที่ใช้วิธีนี้รังสรรค์ให้เขาดูสมบทบาทกับบุตรีผู้นำขบวนคาราวานสินค้าที่โดนปล้นโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า ตวาดแหวใส่กวงฟั่นทันใด

“สมบ้าสมบออย่างไรเล่า! จะทำการใด ไยไม่บอกให้ข้ารู้ก่อนล่วงหน้ากันฮะ! พวกเจ้าก็เหมือนกัน รุมทึ้งข้ากันสนุกมือเลยนะ สะใจพวกเจ้าแล้วสิ!”

ไม่เพียงแต่พี่ชาย เขายังหันไปตะคอกใส่เหล่าศิษย์สำนักที่พากันหัวเราะคิกคักอยู่ไม่ห่างอีกด้วย มีเพียงแต่กวงฟั่นที่กลั้นหัวเราะกับสภาพของกวงจินได้ ก่อนผลักไสให้คนตัวเล็กปีนขึ้นหลังม้า เตรียมพร้อมดำเนินตามแผนการที่วางไว้

“เพื่อความแนบเนียนก็ต้องมีเสียสละกันบ้างน่า อย่ามัวพูดมากอยู่เลย รีบไปเสีย แล้วจำไว้อย่างหนึ่งว่าหากมีข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับสำนักปักษามรกตล่ะก็ ให้รีบรายงานข้าทันทีเข้าใจไหม ข้าจะให้คนของเราแฝงกายเข้าไปในแคว้นนั้นเพื่อทำหน้าที่รับส่งจดหมาย เพียงเจ้าหาทางเข้ามาในตลาดให้ได้ เท่านี้ก็ไม่ต้องเป็นห่วง...”

คนตัวเล็กได้แต่กัดฟันกรอด พยุงร่างไร้ร่องรอยคุณชายในตอนแรกขึ้นหลังม้า ตวัดหางตามายังชายหนุ่มต้นแผนการ แล้วกระแทกเสียงใส่อย่างถือดี

“หากท่านพี่ไม่มีอย่างไรจะสั่งการต่อแล้ว ข้าคงต้องขอตัวทำตามหน้าที่ประเดี๋ยวนี้”

“ไปเถิด แล้วข้าจะรอข่าวจากเจ้าจะน้องรัก...”

ใจหมั่นไส้อยากจะกระโดดถีบกวงฟั่นสักที ทว่าก็ได้แต่ข่มใจไว้ สะบัดสายบังเหียนควบม้าให้ออกเดิน มุ่งหน้าไปยังจุดหมายทันที

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel