บทที่ 4
เผยซื่อรู้สึกเสียใจมากและตบหน้าหลี่เฉาจิ้งอย่างแรง
นั่นคือบุตรชายคนโตของตระกูลหลี่
ท่านแม่ทัพกลับมาแล้วยังต้องโกรธเผยซื่อ
“เขายังเป็นแค่เด็ก เจ้าจะไปโกรธเขาทำไมกัน? หลายปีมานี้ เติ้งอี๋เหนียงดูแลเขามาอย่างดี จิ้งเอ๋อร์ยังเด็ก เห็นว่านางเป็นแม่แท้ๆก็ไม่แปลกอะไร”
เผยซื่อมองสามีอย่างตกตะลึง สะอิดสะเอียนและเสียใจราวกับกลืนแมลงวันทั้งเป็น
สองปีก่อน นางบาดเจ็บที่ท้องเพื่อเสี่ยงชีวิตช่วยเขาในสนามรบ ตอนนี้ถึงจะอยากได้ลูกอีกคนที่คอยดูแลเอาใจใส่ก็มีไม่ได้แล้ว
ดังนั้น ตระกูลหลี่จึงกำหนดให้มีบุตรในสมรสเพียงแค่คนเดียว!
แต่ลูกชายของนางกลับไม่สนิทกับนาง สามีก็รังเกียจบาดแผลบนตัวนาง เผยซื่อรู้สึกเสียใจยิ่ง และไม่อยากสนใจสิ่งน่าขยะแขยงภายในจวนแล้ว นางจึงย้ายออกมาบำเพ็ญเพียรอยู่ในวัดชิงซงอย่างเงียบสงบแทน
นางออกมาได้สามสิบปีแล้ว
หลี่ชิงลั่วได้ยินแม่นมจางเล่าจบก็มีท่าทางพูดไม่ออก
แม่นมจางให้นางมีอะไรก็พูดตรงๆได้เลย หลี่ชิงลั่วก้มหน้าลงแล้วบีบนิ้วตัวเองถอนหายใจและกล่าวว่า “ถึงแม้ข้าจะไม่เคยพบท่านพ่อมาก่อน แต่มีคำพูดหนึ่ง ข้าจำเป็นต้องพูดว่า ตระกูลหลี่ต้องขอโทษท่านย่า”
แม่นมจางสายตาเป็นประกาย “หื้ม? คุณหนูว่าอย่างไร?”
หลี่ชิงลั่วหูแดงเถือกราวกับว่านางกำลังพยายามจะหลุดจากพันธนาการที่ไม่เคารพ และนางใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อที่จะพูดต่อไปด้วยเสียงที่เบา
“ถึงแม้ข้าจะไม่มีประสบการณ์ในสังคมภายนอก แต่ว่า ข้าเคยได้ยินคนพูดถึงในชนบทเป็นบางครั้ง เกี่ยวกับกฎเกณฑ์ของตระกูลชนชั้นสูง”
“ได้ยินว่า ตอนนั้นตระกูลหลี่ปล่อยให้เติ้งอี๋เหนียงกับท่านพ่อใกล้ชิดกันมากเกินไป ไม่แบ่งชนชั้นนายบ่าว ดังนั้นท่านพ่อจึงไม่รู้ว่าใครสนิทกว่าใครห่างเหินตั้งแต่ยังเด็ก เติ้งอี๋เหนียงมีความดีความชอบในการดูแลท่านพ่อ แต่ก็ไม่สามารถลบล้างคุณูปการอันยิ่งใหญ่ที่สุดของท่านย่าในฐานะแม่แท้ๆ ของท่านได้”
“และตอนนั้นท่านย่าทอดทิ้งท่านพ่อไปก็เพื่อตระกูลหลี่และเพื่อท่านปู่ หรือก็คือถ้าไม่มีท่านย่าแล้ว ก็ไม่มีอนาคตหลังจากนี้ของตระกูลหลี่”
“ดังนั้น ตระกูลหลี่ไร้คุณธรรมและความยุติธรรมต่อท่านย่า และท่านพ่อก็ไม่ซื่อสัตย์และอกตัญญูต่อท่านย่า”
หลังจากกล่าวจบ หลี่ชิงลั่วก็ปิดหูด้วยท่าทางหวาดกลัว
“ถึงท่านพ่อพวกเขาจะได้ยินแล้ว แม้ข้าจะต้องถูกฟ้าผ่าจนตัวตาย ก็เป็นคำพูดจากปากข้าจริงๆ ไม่มีการโกหก”
แม่นมจางตลกจนหัวเราะกับท่าทางซื่อตรง ไร้เดียงสาและขี้ขลาดของนาง
“ฮ่าๆๆๆ! คุณหนูเป็นเด็กดี ดีมากเลยเจ้าค่ะ! คุณหนูไม่ต้องกลัวไปหรอก ถ้าฟ้าผ่าลงมาจริงๆ บ่าวจะปกป้องคุณหนูเอง!”
หลังจากกล่าวจบ แม่นมจางก็ยิ้มตาหรี่แล้วเดินออกไป
หลี่ชิงลั่วมองดูนางเดินออกไปไกล ก็ลดมือที่ปิดหูอยู่ลงมาช้าๆ
นางแสยะยิ้มเย็นชาในใจ ที่แท้ทัศนคติของตระกูลหลี่ที่มีต่อสายเลือดที่แท้จริงของพวกเขาก็บิดเบี้ยวมาตั้งแต่ต้นแล้ว
ตอนนี้นางกลับรู้สึกเห็นอกเห็นใจกับชะตากรรมเดียวกันกับฮูหยินเฒ่า
ใจที่ต้องการสนิทสนมกับฮูหยินเฒ่าก็เพิ่มทวีพูลมากขึ้น
หลังจากแม่นมจางกลับไปที่เรือนไม้ไผ่ นางก็คุกเข่าแล้วเล่าเรื่องทั้งหมดที่นางเพิ่งบอกกับหลี่ชิงลั่ว และยังมีคำพูดหลังจากนั้นของหลี่ชิงลั่วให้กับฮูหยินเฒ่าเผยฟัง
ถึงแม้ฮูหยินเฒ่าเผยจะโกรธที่นางเอาเรื่องในอดีตของตนไปเล่าให้ผู้น้อยฟัง แต่นางก็ตกใจกับคำพูดของหลี่ชิงลั่วอย่างมาก
“นางพูดเช่นนี้จริงๆหรือ? บอกว่าตระกูลหลี่ไร้คุณธรรมและความยุติธรรมต่อข้า แล้วบอกว่าพ่อของนางไม่ซื่อสัตย์และอกตัญญูต่อข้าด้วยหรือ?”
แม่นมจางรีบพยักหน้าทันที “เจ้าค่ะท่านฮูหยินเฒ่า คุณหนูพูดจบก็ตกใจอย่างมาก และรู้ว่าตนเองนั้นพูดจาอกตัญญูออกมา”
ใบหน้าของฮูหยินเฒ่าเผยก็แสดงถึงความโกรธออกมาเล็กน้อย “ช่างบังอาจยิ่งนัก! กล้าพูดจาเนรคุณเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร!”
แม่นมจางรีบก้มหน้าลง “ท่านฮูหยินเฒ่าอย่าโกรธไปเลย บ่าวว่าคุณหนูไร้เดียงสามาก และยังไม่เคยได้รับการอบรมสั่งสอนมารยาทที่ดี ดังนั้นก็ถึงพูดจาเช่นนี้ออกมาได้”
ฮูหยินเฒ่าเผยถอนหายใจช้าๆ
“ข้าโกรธอะไรกัน? นางพูดเพื่อข้าทั้งนั้น”
“ข้าโกรธที่ว่า ถ้าคำพูดเหล่านี้แพร่ไปถึงจวนแม่ทัพ นางจะมีชีวิตรอดอีกหรือ?”
สายตาของฮูหยินเฒ่าเผยมองไปยังแม่นมจาง สายนั้นแฝงไปด้วยคำเตือน ทำเอาแม่นมจางอดไม่ได้ตัวสั่นเทา
เป็นไปตามคาด ขิงแก่ย่อมเผ็ดกว่าอยู่แล้ว
ฮูหยินเฒ่ากำลังคิดการณ์ไกลเพื่อคุณหนู ต่างจากตนเองที่ฉวยโอกาสนี้ให้พูดคำพูดเหล่านี้ออกมา
“บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ บ่าวรับปากว่า คำพูดในวันนี้ บ่าวจะเก็บไว้ในใจและจะไม่แพร่ออกไปแม้แต่คำเดียวเจ้าค่ะ!”
“ไม่คิดว่า นางเร่ร่อนอยู่ข้างนอกตั้งแต่เด็ก แต่กลับเป็นเพียงคนเดียวในตระกูลหลี่ที่ไม่ถูกเลี้ยงจนจิตใจบิดเบี้ยว”
แม่นมจางถาม “ท่านฮูหยินเฒ่าอยากพบคุณหนูไหมเจ้าคะ?”
ฮูหยินเฒ่าเผยก็ยังส่ายหน้าอยู่
“ไม่ต้องรีบ รอดูไปก่อน ข้าจะดูสิว่า นางจะซื่อตรงและไร้เดียงสาจริงหรือไม่ หรือว่าแค่กำลังเสแสร้งกับข้า”
หลี่ชิงลั่วไม่รีบร้อนจริงๆ
นอกจากการฝึกเขียนพู่กันทุกวันแล้ว นางยังไปที่สวนผักในวัดเพื่อช่วยนักพรตไถดินและปลูกผักอีกด้วย
นางมีทักษะในการพรวนดินและปลูกผักเป็นอย่างมาก และยังสามารถพูดคุยกับนักพรตได้ว่าจะเกิดปัญหาอะไรหากผักถูกแมลงรบกวนหรือเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ไม่ดี
ความคิดเห็นของนางยังช่วยให้เหล่านักพรตคลี่คลายปมปัญหาบางอย่างได้ด้วย
เมื่อได้รับความไว้วางใจจากนักพรตแล้ว หลี่ชิงลั่วก็ยังเข้าครัวทำอาหารเองด้วย
นางเข้าครัวตั้งแต่เด็ก ดังนั้นจึงทำอาหารได้อยู่บ้าง
เมื่อทำเสร็จแล้วก็จะส่งไปนอกเรือนไม้ไผ่เอง เพื่อให้แม่นมจางยกเข้าไปให้ฮูหยินเฒ่าเผยชิม
ฮูหยินเฒ่าเผยตอนแรกยังไม่ยอมกิน จึงมอบให้แม่นมจางและอิงเอ๋อร์พวกนางไป
ต่อมาได้ยินแม่นมจางพวกนางชื่นชมว่ารสชาติดีเลิศ จึงอดไม่ได้ชิมดูและดวงตาของนางก็เป็นประกายขึ้นมาทันที
“ไม่คิดเลยว่า ยัยหนูคนนี้จะมีฝีมือถึงขั้นนี้”
แต่ต่อมาก็คิดได้ว่านี่เป็นทักษะที่นางได้เรียนรู้จากการทำงานหนักมาตั้งแต่เด็ก ในใจก็อดไม่ได้รู้สึกสงสารขึ้นมา
“ข้าได้ยินมาว่านางใช้ชีวิตอิสระและสุขสบายในวัดทุกวันเลยหรือ?”
เผยซื่อกำลังครุ่นคิดว่า พรุ่งนี้จะเรียกหลี่ชิงลั่วมาเข้าพบตนเองดีหรือไม่ ก็ได้ยินข้ารับใช้รีบเข้ามาแจ้งว่า “ท่านฮูหยินเฒ่าไม่ได้การแล้วเจ้าค่ะ! จวนแม่ทัพส่งคนมาจะบังคับคุณหนูเข้าเมืองเจ้าค่ะ!”
“คุณหนูตอบโต้ขาดใจ แต่ก็ถูกมัดตัวไปแล้ว!”
