บทที่ 3
แม่นมจางก็ตกตะลึงอย่างมาก “คุณหนูพูดจริงหรือเจ้าคะ? แต่ก่อนหน้านั้น คุณหนูอยากรีบกลับจวนไปหาท่านแม่ทัพกับฮูหยินอยู่นี่เจ้าคะ? เหตุใดตอนนี้ถึงไม่รีบแล้วล่ะ?”
ก่อนหน้านั้นหลี่ชิงลั่วแสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการรีบกลับไปหาพ่อแม่แท้ๆของตน
แต่เมื่อความคิดเปลี่ยนไปกะทันหัน ก็ทำให้คนสงสัยอยู่หรอก
หลี่ชิงลั่วถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าพูดความจริงแล้วกัน เมื่อครู่ข้าฝันน่ะ”
“ในฝัน ข้าเหมือนเห็นชายชราเคราขาวถือไม้ปัดฝุ่น เขาดุและหาว่าข้าเป็นคนเนรคุณและโง่เขลา! ถึงแม้ตัวตนของข้าถูกเปิดเผยและได้กลับบ้านของตนเอง แต่ข้ากลับลืมที่มาของความดีความชอบทั้งหมดนี้”
“ข้ากลัวมากจริงๆ เมื่อครู่ตื่นขึ้นมาก็ยังรู้สึกผิดอยู่เลย แม่นม ต้องโทษที่ก่อนหน้านั้นข้าเลอะเลือนยิ่งนัก และต้องการรีบพิสูจน์ตัวตนของตัวเองให้ชัดเจนโดยเร็วเกินไป”
“แต่ข้าสมควรไปเยี่ยมท่านย่าก่อน ถ้าไม่ได้ท่านย่าช่วยไว้ เกรงว่าข้าจะเป็นเพียงเด็กป่าที่เติบโตในหุบเขาเท่านั้น และอีกสองเดือนก็คงถูกพวกเขาขายให้กับคนพิการคนตาบอด และจบทั้งชีวิตที่น่าอนาถนี้ไป! แล้วยังจะมีทุกวันนี้ได้อย่างไร?”
คำพูดของหลี่ชิงลั่วทำให้แม่นมจางซาบซึ้งมากจริงๆ
นางยิ้มเล็กน้อยแล้วพยักหน้า “วัดชิงซงก็ไม่ไกลจากที่นี่มาก เดินทางอีกไม่ถึงชั่วยามก็ถึงแล้ว ถ้าคุณหนูอยากไปจริงๆ บ่าวพาคุณหนูไปกราบไหว้ดีหรือไม่? แต่ฮูหยินเฒ่าจะอยากพบคุณหนูหรือไม่ บ่าวไม่รับประกันนะเจ้าคะ”
ถึงแม้พ่อบ้านกับข้ารับใช้จะมีข้อแม้ แต่เห็นได้ชัดว่าแม่นมจางมีตำแหน่งสูงกว่า ดังนั้นพวกเขาจึงต้องฟังคำสั่งแล้วเปลี่ยนเส้นทางรถม้า เลี้ยวไปยังทิศทางที่ไปวัดชิงซง
จนกระทั่งรถม้าหยุดลงที่นอกวัดชิงซง หลี่ชิงลั่วเดินลงจากรถม้าแล้วมองดูวัดตรงหน้า ในที่สุดในใจก็รู้สึกถึงความเป็นจริง
ชาตินี้ ตั้งแต่นี้ต่อไป จะแตกต่างกันออกไปทันที
แต่ว่า ฮูหยินเฒ่าไม่ยอมพบนางจริงๆด้วย นี่ป็นสิ่งที่หลี่ชิงลั่วนึกไม่ถึงเลยจริงๆ
“คุณหนู ท่านฮูหยินเฒ่าบอกว่าท่านรู้ว่าคุณหนูมาแล้ว และรับน้ำใจนี้ไว้แล้วเจ้าค่ะ ให้บ่าวพาคุณหนูส่งกลับตระกูลหลี่ และไปทำความรู้สึกกับคนในครอบครัวของคุณหนู อยู่ในจวนกับคุณหนูไปสักระยะ รอทุกอย่างราบรื่นดีแล้ว บ่าวค่อยกลับมาเจ้าค่ะ”
หลี่ชิงลั่วได้ยินคำพูดนี้แล้วก็รู้สึกตกตะลึงอย่างมาก!
ชาติก่อน แม่นมจางไม่ได้เข้าจวนไปกับนาง!
อย่าว่าแต่ให้คำแนะนำนางในจวนและอยู่กับนางไปสักระยะเลย!
ไม่คิดเลยว่า ตนเองเพียงแค่มาวัด ยังไม่ได้พบคนด้วยซ้ำ ฮูหยินเฒ่าก็ประทานความเมตตาให้นางถึงเพียงนี้แล้ว
ฮูหยินเฒ่ากับคนที่เหลือในตระกูลหลี่นั้นช่างแตกต่างกันเสียจริง
ในเมื่อหลี่ชิงลั่วมาแล้ว นางก็จะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
นางรีบแสดงท่าทีทันที “แม่นมจาง ข้าจะไม่กลับไปแน่นอน ข้าต้องการเข้าพบท่านย่าจริงๆ ถ้าท่านย่าไม่อยากพบข้า เช่นนั้นข้ารอจนกว่าท่านย่าจะยอมพบข้าก็ได้ รบกวนแม่นมจางช่วยจัดการที เกรงว่าข้าต้องรบกวนอยู่ในวัดต่อชั่วคราวแล้วล่ะ”
หลี่ชิงลั่วย่อตัวเคารพแม่นมจางเล็กน้อย ถึงแม้จะดูลวกๆและไม่เป็นท่า แต่ก็มีความหมายเดียวกัน
ทำเอาแม่นมจางรู้สึกแปลกใจมาก
ท่าทางดื้อรั้นไม่ยอมแพ้ง่ายๆนี้ แล้วความไม่เรื่องมาก เหมือนวัยสาวของฮูหยินเฒ่าเลย
และไม่รู้ว่าจะทนไปได้กี่วันกันนะ
หลี่ชิงลั่วพักอยู่ในวัด เห็นได้ชัดว่าพ่อบ้านกับข้ารับใช้นั้นทนไม่ไหวแล้ว
เช้าวันที่สอง พ่อบ้านก็กลับเมืองจินหลิงไปก่อน บอกว่าจะกลับไปรายงาน แต่กลับให้ข้ารับใช้เฝ้าอยู่ที่นี่
หลี่ชิงลั่วแสยะยิ้มเย็นชา
ทำไมหรือ นางไม่รีบกลับไป ละครการเผาตัวเองตายของหลี่ชิงจูก็แสดงต่อไปไม่ได้แล้วอย่างนั้นหรือ?
ชาติก่อน หลี่ชิงจูเขียนจดหมายลาตายและ ‘ฆ่าตัวตาย’ ด้วยการเผาตัวเองตายในวันนี้
เผาห้องของตระกูลหลี่ไปกว่าสิบห้อง ทิ้งไว้เพียงศพที่ถูกเผาไหม้ของสาวใช้และของนาง ‘เอง’
ทั้งตระกูลหลี่เสียใจและสิ้นหวังอย่างมาก
ชาตินี้ นางหลี่ชิงลั่วไม่รีบกลับไป นางจะดูสิว่าหลี่ชิงจูจะรีบเผาตัวเองตายหรือเปล่า
หลี่ชิงลั่วให้ชุ่ยเอ๋อร์ช่วยสังเกตเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมือง ตนเองก็ถึงพักอยู่ในวัดอย่างสบายใจ
แต่ตลอดสามวัน ฮูหยินเฒ่าก็ไม่คิดที่จะเรียกนางเข้าพบเลย
และฮูหยินเฒ่าก็พักอยู่หลังป่าไผ่ที่เงียบสงบ หน้าประตูมีแม่นมสองสามคนเฝ้าอยู่ หลี่ชิงลั่วไม่ได้อุกอาจบุกรุกเข้าไปทันที
และนางก็ไม่ได้คิดจะประมาทด้วย
แม่นมจางก็มาดูนางวันละครั้งทุกวัน
หลี่ชิงลั่วขอยืมพู่กันกับกระดาษ และบังคับตัวเองให้นั่งเงียบๆ ในห้องเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงทุกวัน จากนั้นก็ฝึกเขียนตัวหนังสือบิดโค้งไปมาของตนเอง
ตัวหนังสือของนางน่าเกลียดมากจริงๆ
แม่นมจางแอบซ่อนไว้หนึ่งใบแล้วเอากลับไปให้ฮูหยินเฒ่าดู ฮูหยินเฒ่าเห็นแล้วก็ขมวดคิ้วเป็นปม
“อุ๊ป อึก”
สาวใช้อิงเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆอดไม่ได้หัวเราะ
“ท่านฮูหยินเฒ่า ตัวหนังสือของคุณหนูอย่างกับหนอนเลย ท่านดูสิ มีทั้งใหญ่ทั้งเล็กเลย”
ฮูหยินเฒ่าโกรธจนวางคว่ำกระดาษวางบนโต๊ะอย่างแรง
“ห้ามหัวเราะ!”
อิงเอ๋อร์รีบก้มหน้าลงและไม่กล้าออกเสียงอีก
แต่หน้าที่คว่ำออกมาก็ยังคงเป็นตัวหนังสือหนอนอย่างกับไก่เขี่ยขี้เลย!
ฮูหยินเฒ่ากระตุกมุมปากอย่างทนไม่ไหว
แม่นมจางมองค้อนอิงเอ๋อร์ “ลงไป! พูดมากเกินไปแล้ว!”
“ท่านฮูหยินเฒ่า บ่าวว่า คุณหนูมีใจนี้ก็ดีมากแล้วนะเจ้าคะ คุณหนูไม่ได้จับพู่กันเลยตั้งแต่เด็ก จับแค่ฟืน จอบ เคียวและขวาน ท่านไม่เห็นมือของคุณหนูเลย เทียบกับคนงานในครัวไม่ได้เลยด้วยซ้ำ!”
“ปีนี้คุณหนูอายุแค่สิบหกปีเท่านั้น”
“เดิมทีควรได้ใช้ชีวิตคุณหนูอย่างสุขสบาย แต่ตอนนี้กลับอ่านหนังสือไม่ออกด้วยซ้ำ บ่าวเห็นคุณหนูฝึกเขียนจากตัวอักษรบนกำแพงวัด ถึงแม้จะเขียนไม่สวย แต่คุณหนูกลับไม่รู้สึกขายหน้าเลย คุณหนูกล้าได้กล้าเสียนะเจ้าคะ?”
ฮูหยินเฒ่าแสยะยิ้มเย็นชา “เจ้าพูดแทนนางเก่งเสียจริงนะ กล้าได้กล้าเสียจริงหรือเปล่ายังต้องรอดูกันต่อไป”
“แต่ว่า ตัวหนังสือของนางขี้เหร่จนทนดูไม่ได้จริงๆ! เจ้าไป ไปเอาสมุดฝึกเขียนอักษรเบื้องต้นในตู้ของข้าไปให้นางซะ อย่าให้นางเปลืองกระดาษอีกนะ”
แม่นมจางหัวเราะ ‘เหอะๆ’ “เจ้าค่ะ ท่านฮูหยินเฒ่าปากร้ายแต่ใจดีนะเจ้าคะ ทั้งที่เป็นห่วงหลานและชอบเด็กที่มีความเพียรพยายาม สมุดฝึกเขียนอักษรนั้นท่านเตรียมไว้ให้ท่านแม่ทัพสินะเจ้าคะ? แต่น่าเสียดายที่ตอนนั้นไม่ได้ใช้”
เมื่อเห็นสีหน้าของฮูหยินเฒ่าดูไม่ดี แม่นมจางก็ถึงไม่ได้พูดต่อไป
นางรีบสมุดฝึกเขียนอักษรมา จากนั้นก็รีบนำไปส่งให้หลี่ชิงลั่วทันที
หลี่ชิงลั่วได้รับความโปรดปรานอย่างไม่คาดฝันจนรู้สึกประหลาดใจ
นางรีบมาด้วยสองมือ แล้วให้สัญญาว่าจะรักษาและถนอมเอาไว้อย่างระมัดระวัง
แม่นมจางเห็นว่านางยิ่งอยู่ยิ่งรู้ความ จึงไม่ได้รีบไล่นางไป แล้วถอนหายใจอย่างแรง
“คุณหนูรู้หรือไม่ เหตุใดท่านฮูหยินเฒ่าถึงอยู่ในวัดชิงซงหลายปีก็ยังไม่กลับจวนแม่ทัพ?”
หลี่ชิงลั่วเคยได้ยินเหตุผลบางประการในจวนแม่ทัพ แต่นางรู้ว่านั่นไม่ใช่ความจริงของเรื่องราวทั้งหมด
ดังนั้น ตอนนี้นางจึงส่ายหน้าและแกล้งทำเป็นไม่รู้
บางทีแม่นมจางคงได้เห็นหลี่ชิงลั่วยืนกรานที่จะพบกับฮูหยินเฒ่าในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา จึงมีใจอยากจะเสนอแนะนาง ก็เลยเล่าให้นางฟังถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในจวนแม่ทัพในรุ่นก่อนด้วยตัวเอง
ที่แท้ฮูหยินเฒ่าผู้นี้เป็นคุณหนูของตระกูลเผยซึ่งเป็นตระกูลแม่ทัพผู้ก่อตั้งประเทศ แม้ว่านางจะเรียนรู้วรรณกรรมและการเขียนอักษรมาตั้งแต่เด็ก แต่นางกลับชอบฝึกใช้อาวุธดาบมากกว่า
สามสิบเจ็ดปีก่อน หลังจากเผยซื่อแต่งเข้าตระกูลหลี่ ตั้งครรภ์สิบเดือนและให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง หรือก็คือพ่อของหลี่ชิงลั่ว หลี่เฉาจิ้ง
แต่ทารกยังไม่ทันได้เติบโต มีข่าวเร่งด่วนมาจากชายแดนว่าพ่อของหลี่เฉาจิ้งถูกล้อมโดยกองทหารศัตรู และไม่ทราบว่าเขาอยู่ที่ไหน ไม่รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือเสียชีวิตแล้ว
เผยซื่อเป็นห่วงสามีและเพื่อที่จะรักษาสถานการณ์สงครามเอาไว้ เผยซื่อจึงต้องจำใจทิ้งทารกแปดเดือนไว้ข้างหลัง นางสวมชุดเกราะและรับพระบัญชาจากจักรพรรดิ นำกำลังไปสนับสนุนกองทัพที่ชายแดนด้วยตนเอง
หลี่เฉาจิ้งก็ฝากให้ฮูหยินเฒ่าตระกูลหลี่ดูแลในจวน และมีอดีตสาวใช้อุ่นเตียงของสามี ต่อมาเติ้งซื่อก็ถูกเผยซื่อยกขึ้นมาเป็นอนุภรรยาและดูแลด้วยตนเอง
แต่ใครจะรู้ว่าไปนานถึงห้าปีกว่าจะได้กลับมา
และเมื่อกลับมาถึง หลี่เฉาจิ้งก็ไม่ยอมรับแม่แท้ๆเผยซื่อแล้ว ต้องการแค่เติ้งซื่อและติดเติ้งซื่อไปแล้ว
ถึงแม้ตำแหน่งของเผยซื่อจะไม่มีใครสั่นคลอนได้ แต่บุตรชายเพียงคนเดียวไม่สนิทกับตนเอง ทำให้เผยซื่อรู้สึกไม่สบายใจมาก
นางพยายามทุกวิถีทางก็แลกกับความจริงใจของลูกชายไม่ได้
ตอนที่นางป่วย ถึงแม้หลี่เฉาจิ้งจะมาเยี่ยมเป็นบางครั้ง แต่ถ้าเติ้งซื่อป่วยขึ้นมา หลี่เฉาจิ้งก็จะรีบเข้าไปดูแลช่วยยกน้ำยาชาให้ และดูแลด้วยตัวเอง วันหนึ่งไปเยี่ยมหลายสิบครั้ง แล้วยังไปสวดภาวนาที่วัดอีกด้วย
เรื่องเหล่านี้มีมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เผยซื่อรู้สึกโกรธมาก
นางคิดว่า เรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพราะเติ้งซื่อเข้ามาแทรกแซง ทำให้หลี่เฉาจิ้งไม่เห็นหัวแม่แท้ๆอย่างนาง ก็ถึงให้ความสำคัญกับอนุภรรยาอย่างนางมากกว่าแม่แท้ๆของตนเอง!
เผยซื่อวางแผนจะไล่เติ้งซื่อไป ให้นางไปสวดมนต์ภาวนาอยู่ในวัดตลอดชีวิตก็ดี หรือขายนางให้สิ้นเรื่องก็ช่าง
แต่หลี่เฉาจิ้งกลับต่อต้านด้วยการตาย
แล้วยังตะโกนว่า “ถ้าท่านกล้าแยกแม่เติ้งกับข้าออก ข้าจะเกลียดท่านไปตลอดชีวิต! ท่านตายแล้วก็อย่าหวังจะให้ข้ากราบไหว้เลย!”
