บทที่ 2
หลี่ชิงจูยังไม่ตายหรือ?
เช่นนั้นเรื่องเหลวไหลที่ตนเองประสบพบเจอนั้นมันคืออะไรกัน?
หลี่เค่อชวนแสยะยิ้มเย็นชา “เข้าใจผิดหรือ? เข้าใจผิดอะไรกัน!? น้องรักของพี่ ถ้าไม่ใช่เพราะอ๋องอวิ๋นเตี้ยนเซี่ยช่วยชีวิตเจ้าไว้ แล้วเจ้าก็กำลังฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บอยู่หลายเดือนนี้ เราจะได้พบกันอีกได้อย่างไร? นี่คือความผิดของนางอยู่แล้ว! ถ้าไม่ใช่เพราะนางกลับมากะทันหัน ตอนนั้นเจ้าก็คงไม่”
“เอาล่ะ! เงียบปากได้แล้ว!”
ผู้นำตระกูลหลี่ ในที่สุดแม่ทัพใหญ่ผู้เกรียงไกรก็ตะคอกหยุดบุตรชายคนโตของตนเอง
เขาขมวดคิ้วกล่าวว่า “ในเมื่อเรื่องก็ผ่านไปแล้ว จูเอ๋อร์กลับมาก็เป็นเรื่องที่ดีมาก เรื่องที่ผ่านไปแล้ว เราก็อย่าพูดถึงมันอีกเลย ไป ไปเรียกคนตามลั่วเอ๋อร์มา บอกว่าพี่สาวของนางต้องการพบตัวนาง”
ตระกูลหลี่จะนับหลี่ชิงจูเป็นบุตรสาวคนโตต่อไป
ในเมื่อนางยังมีชีวิตอยู่ บาปของหลี่ชิงลั่วจึงน้อยลงไปมาก
ไม่นานก็มีคนรีบวิ่งกลับมาตอบว่า “ไม่ ไม่ดีแล้วเจ้าค่ะ! คุณหนูรอง นะ นางเสียแล้วเจ้าค่ะ”
“เสียอะไรนะ?” ฮูหยินหลี่ที่กำลังโอบกอดลูกสาวสุดที่รักที่เพิ่งกลับมา ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเอ่ยถาม
“ตอบฮูหยิน เมื่อครู่ให้คนไปดู คุณหนูรองนาง นางเสียแล้วเจ้าค่ะ สิ้นลมไปแล้ว”
ข้ารับใช้สาวก้มหน้าลงอย่างเร็ว ในใจก็แอบสบถด่าว่า อัปมงคลเสียจริง! ตายตอนไหนไม่ตาย มาตายตอนนี้เสียได้!
ฮูหยินหลี่ดูมึนงงและสับสน แต่ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาทางอารมณ์มากนัก หลี่เค่อชวนก็แสยะยิ้มเย็นชา
“ทำไม นางก็จะใช้วิธีฆ่าตัวตายหรือ? อย่าคิดว่านางจะเหมือนกับจูเอ๋อร์ที่ดึงดูดความสนใจและความเห็นใจของพวกเราได้! นางไม่มีสิทธิ์นั้นหรอก! นางจะต้องได้ยินว่าจูเอ๋อร์กลับมาแล้ว แล้วเลียนแบบโดยไม่ดูตาม้าตาเรืออยู่ตรงนั้น อยากดึงดูดให้พวกเราไปหานางน่ะสิ!”
“ท่านพ่อท่านแม่ ไม่ต้องไปสนใจนางหรอก!”
“ในเมื่อจะแกล้งตาย พวกเจ้าไปเอาเสื่อฟางไปห่อตัวนางไว้แล้วโยนออกไปให้หมากินซะ!”
คนที่เหลือก็รู้สึกตัวขึ้นมาทันที
ฮูหยินหลี่สูดหายใจเข้าลึกๆ “นางแสดงให้พวกเราดูจริงๆหรือ?”
“ถ้าเป็นแบบนั้นจริง เช่นนั้นก็ทำเกินไปแล้วนะ!”
ฮูหยินหลี่กับท่านแม่ทัพก็มีสีหน้าเย็นชาขึ้นมาทันที “ชักจะตามใจนางเกินไปแล้ว ริอ่านเล่นละครตบตาเช่นนี้ได้!”
หลี่ชิงจูก็กล่าวด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “ท่านพ่อท่านแม่ ลูกเป็นพี่สาวที่ไม่ดีเลย พวกท่านอย่าโทษลูกเลย ตอนนั้นลูกอยากตายมากจริงๆ ฮื่อๆๆ”
หลี่ชิงจูกล่าวด้วยสีหน้าน้อยใจ ทุกคนก็รีบเข้าไปโอบนางและปลอบใจนางทันที
“จูเอ๋อร์เด็กดี พวกเราไม่ได้ว่าเจ้าเลยนะ เจ้าอย่าทำให้พวกเราตกใจก็พอแล้ว!”
เมื่อเผชิญหน้ากับหลี่ชิงจู หลี่เค่อชวนก็เปลี่ยนสีหน้าทันที ในที่สุดก็มีท่าทางอ่อนโยนและใจดีเหมือนพี่ชายแล้ว
และในตอนนี้เอง จวงเว่ยก็รีบวิ่งเข้ามาอย่างดีใจ
ทั้งตระกูลหลี่กำลังดีใจกับการกลับมาของหลี่ชิงจู ทุกคนค่อยๆลืมหลี่ชิงลั่วไปแล้ว
และข้ารับใช้ที่ถูกส่งไปจัดการหลี่ชิงลั่ว ตอนนี้กำลังเตะร่างที่แข็งทื่อของหลี่ชิงลั่วอย่างโมโห
“ทุกคนต่างก็กำลังดีใจกับการกลับมาของคุณหนูใหญ่ที่เรือนข้างหน้า แต่กลับส่งข้ามาเก็บศพให้เจ้า! ช่างอัปมงคลเสียจริง!”
หลี่ชิงลั่วถูกม้วนเข้าไปในเสื่อและลากไปกับพื้นที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ
วิญญาณของหลี่ชิงลั่วมองดูหิมะที่ปลิวว่อนอยู่กลางอากาศ ฟังเสียงหัวเราะขบขันของโลกมนุษย์ ดวงตาแดงเถือกของนางมองค้อนใบหน้าของทุกคน ในใจก็เต็มไปด้วยความเกลียดชังและความไม่แค้น!
นางหลี่ชิงจูเป็นแก้วตาดวงใจของพวกเขา และนางหลี่ชิงลั่วก็เป็นแค่รากหญ้า ไม่สมควรมีชีวิตอยู่อย่างนั้นหรือ?
เพราะอะไรกัน!?
เพราะแผนการกลั่นแกล้งของหลี่ชิงจู ทำให้นางต้องทนทุกข์ทรมานและลำบากแสนเข็ญ
ตนเองตายไปแล้วก็ยังไม่ได้รับความเท่าเทียมจากพวกเขา!
นางควรจะมีชีวิตที่ดีแต่นางกลับต้องรอคอยความคาดหวังที่ว่างเปล่า
ลมหนาวของหิมะพัดเข้ามา วิญญาณของหลี่ชิงลั่วก็หายไปพร้อมกับลม
เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกที นางก็ตื่นขึ้นมาในรถม้าที่กำลังเคลื่อนที่อยู่
หลี่ชิงลั่วมองดูทุกอย่างอย่างสับสน จนกระทั่งพบกับดวงตาคู่หนึ่ง ก็ถึงตื่นขึ้นมาทันที
แม่นมจางกับชุ่ยเอ๋อร์!?
หลี่ชิงลั่วมองดูเสื้อผ้าบนตัวของตนเอง แล้วแอบหยิกตนเองอย่างแรง
นางรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดที่แท้จริง หลี่ชิงลั่วก็ตกตะลึงเมื่อตระหนักว่า นาง หรือว่านางได้ย้อนกลับมาในอดีต!?
“คุณหนู คุณหนูเป็นอะไรหรือเจ้าคะ?”
แม่นมจางสังเกตเห็นสีหน้าผิดปกติของหลี่ชิงลั่ว นางก็ถามอย่างเป็นห่วง
หลี่ชิงลั่วกลับจ้องมองพวกนางสองคน สีหน้าของนางยังไม่เปลี่ยนไป แต่หัวใจกลับเต้นแรงราวกับพายุโหมกระหน่ำ
หลี่ชิงลั่วได้เกิดใหม่แล้ว!
นางกลับมาในวันที่ยังไม่ได้ย่างก้าวเข้าบ้านตระกูลหลี่!
ตอนนี้หลี่ชิงจูก็ยังไม่เผาตัวเองตาย คนตระกูลหลี่ก็ยังไม่เกลียดนางเข้ากระดูก นางก็ยังไม่ได้กลับไปที่ตระกูลหลี่
และชาตินี้ นางจะไม่ยอมให้ตนเองต้องตายไปอย่างน่าสมเพชเด็ดขาด!
ส่วนความสัมพันธ์ทางสายเลือดอะไรนั่น ชาตินี้ก็ไปตายให้หมดเลย!
นางไม่ต้องการสิ่งของที่ไร้ประโยชน์เลือนรางและหลอกลวงเหล่านี้แล้ว
ชาติก่อน นางหลี่ชิงลั่วไม่ติดค้างใครทั้งนั้น
ตระกูลหลี่และหลี่ชิงจูติดค้างนาง แล้วก็ยังมีครอบครัวของหลี่ชิงจูที่โฉดชั่วราวกับปีศาจในป่าติดค้างนางหลี่ชิงลั่ว!
ชาตินี้ นางจะให้ทุกคนที่ติดค้างนางชดใช้บาปทั้งหมดที่ได้ก่อกับนางไว้!
ภายใต้สายตาที่ไม่เข้าใจของแม่นมจางและชุ่ยเอ๋อร์ หลี่ชิงลั่วก็ค่อยๆหุบยิ้มแล้วเช็ดน้ำตา
นางมองดูสองคนนี้และในใจก็ปั่นป่วนเช่นกัน
แม่นมจางเป็นคนของฮูหยินเฒ่าตระกูลหลี่และเป็นคนของท่านย่าแท้ๆของหลี่ชิงลั่ว ชุ่ยเอ๋อร์ก็เป็นสาวรับใช้ของท่านแม่
ตอนนั้นฮูหยินเฒ่าสืบตัวตนของหลี่ชิงลั่วได้ แล้วสั่งให้แม่นมจางกลับจวนไปบอกความจริงกับทุกคน
จวนแม่ทัพก็ว้าวุ่นทันที
แต่ทั้งพยานและหลักฐานวางอยู่ตรงหน้าแล้ว และพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเชื่อมัน
ถึงแม้ทุกคนจะเสียใจอย่างมาก แต่ความหมายของฮูหยินเฒ่าคือ จะให้สายเลือดของจวนแม่ทัพเร่ร่อนอยู่ข้างนอกไม่ได้เด็ดขาด ดังนั้นก็เลยสั่งแม่นมจางกลับจวนมาช่วยจัดการเรื่องนี้
แม่แท้ๆของหลี่ชิงลั่ว หรือก็คือฮูหยินแม่ทัพฉวี่ซื่อก็ส่งสาวใช้ระดับสามอย่างชุ่ยเอ๋อร์ของตนมากับแม่นมจาง ตระกูลหลี่ก็ส่งพ่อบ้านกับคนขับรถม้าสองสามคนเดินทางไปยังหุบเขา เพื่อรับหลี่ชิงลั่วกลับมา
ชาติก่อน แม่นมจางกับชุ่ยเอ๋อร์ยังเกรงใจหลี่ชิงลั่วและเป็นมิตรอยู่ตลอดทั้งทาง
แต่หลังจากที่กลับถึงตระกูลหลี่แล้ว เพราะการตายของหลี่ชิงจู ดังนั้นหลี่ชิงลั่วก็ถูกทุกคนในตระกูลหลี่กลั่นแกล้ง นางจึงไม่ได้สังเกตว่าต่อมาสองคนนี้ไปไหนแล้ว
แม่นมจางน่าจะกลับไปที่วัด
หลี่ชิงลั่วกลับมาอยู่ตระกูลหลี่นานมากถึงได้รู้ว่า ตอนนี้ท่านย่าแท้ๆของนางกำลังบำเพ็ญเพียรอยู่ที่วัด และไม่ได้กลับมาที่จวนเลย
ส่วนชุ่ยเอ๋อร์ ต่อมาตนเองก็ตามหาในจวนอยู่สักพักใหญ่ แต่ก็ไม่เจอตัวนางเลย
ตอนนี้เมื่อเห็นพวกนางแล้ว หลี่ชิงลั่วก็คิดในใจ ใครจะคิดว่าในบรรดาคนที่เกี่ยวข้องกับตระกูลหลี่ มีเพียงพวกนางสองคนเท่านั้นที่ยังคงใจดีกับนางอยู่
แต่นางเกิดใหม่ได้ตรงเวลาพอดี
ขอแค่ยังไม่ได้ก้าวเข้าตระกูลหลี่ เช่นนั้นนางก็ยังมีเวลาและโอกาสในการวางแผน เพื่อรับมือกับการเผาตัวเองตายและการแกล้งตายของหลี่ชิงจู
“แม่นม ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหนหรือ?”
หลี่ชิงลั่วเปิดม่านรถม้าออกเล็กน้อย และมองไปยังข้างนอกรถม้า
นางสูดหายใจเข้าลึกๆ อย่างที่คาดไว้ ชีวิตที่อิสระเช่นนี้ก็ถึงจะเป็นการใช้ชีวิตได้อย่างมนุษย์จริงๆ
ชาติก่อนนางมีชีวิตไม่เหมือนมนุษย์ ต่อมาก็ต้องตายอย่างอนาถ ความอ่อนแอและรังแกง่ายของตนเองก็ต้องน่าโมโหอยู่แล้ว
ในอดีตของนางนั้นช่างโง่เขลาเสียจริง
คาดหวังแต่กับสิ่งของที่ไม่มีอยู่จริง ชาตินี้จะไม่เป็นเช่นนั้นอีก
หลี่ชิงลั่ววางม่านลงและสายตาก็ประกายไปด้วยความมืดมน
แม่นมจาง “ตอนนี้เราห่างจากเมืองจินหลิงแค่ประมาณห้าสิบหกสิบลี้ แต่วันนี้ก็เริ่มดึกแล้ว เกรงว่าเราจะรีบเข้าเมืองก่อนที่เมืองจะปิดไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ”
“เมื่อครู่บ่าวกับพ่อบ้านก็คุยกันแล้วว่า คืนนี้เราจะหาโรงเตี๊ยมพักผ่อนกันก่อน พรุ่งนี้เช้าคุณหนูก็จะได้ล้างหน้าแต่งตัวด้วย แล้วค่อยเข้าเมืองกลับจวนดีหรือไม่เจ้าคะ?”
หลี่ชิงลั่วเงยหน้าขึ้นสบตากับสายตาที่กำลังสังเกตของแม่นมจาง
ทันใดนั้นนางก็รู้ตัวว่า แม่นมจางกำลังทดสอบตนเองอยู่!
ชาติก่อน นางรีบอยากไปพบท่านพ่อกับท่านแม่แล้วก็พี่ชาย ดังนั้นจึงปฏิเสธข้อเสนอแนะของแม่นมไป และให้ข้ารับใช้ที่ขับรถม้ารีบขับเข้าเมือง
แต่ความจริงก็เหมือนอย่างที่แม่นมจางบอก พวกเขาเข้าเมืองไม่ทัน
ดังนั้น สุดท้ายพวกเขาจึงต้องค้างคืนในถิ่นทุรกันดารนอกประตูเมืองโดยพักอยู่ในรถม้า
แม่นมจางอายุมากแล้ว เดินทางลำบากมาทั้งทางก็รู้สึกไม่ค่อยสบายตัว ต่อมาเมื่อส่งนางกลับตระกูลหลี่แล้วพบว่านางโง่เขลาและตามคนไม่ทัน แม่นมก็รีบกลับไปก่อนทันที
ตอนนี้เมื่อนึกถึงชาติก่อนของตนเอง ช่างตาบอดอะไรเช่นนี้ แม้แต่โอกาสนี้ก็ยังคว้าไว้ไม่ได้!
หลี่ชิงลั่วส่ายหน้าเบาๆ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธข้อเสนอแนะของแม่นมจางเหมือนกับชาติก่อน แล้วกล่าวเพียงว่า “แม่นม ไม่ต้องรีบหรอก ไม่รู้ว่าที่นี่ไกลจากวัดชิงซงหรือไม่?”
ท่านย่าแท้ๆของหลี่ชิงลั่วกำลังบำเพ็ญเพียรอยู่ที่วัดชิงซง!
ชาติก่อน นางไม่ได้คว้าโอกาสนี้ไว้ ชาตินี้ คนเดียวที่นางสามารถพึ่งพาได้ในตระกูลหลี่ เกรงว่าจะมีเพียงท่านย่าแท้ๆของนาง!
และแม่นมจางก็สังเกตและทดสอบตนเองตลอดทั้งทาง เกรงว่าจะได้รับคำสั่งจากฮูหยินเฒ่าด้วย อยากดูว่าตนเองนั้นมีลักษณะนิสัยและความประพฤติอย่างไร
ถึงแม้ชาติก่อนตนเองจะเพิ่งออกจากป่าและมีพฤติกรรมไม่ดีนัก แต่ก็ยังให้ความรู้สึกบริสุทธิ์และไร้เดียงสาอยู่
ดังนั้นการเริ่มต้นของชาตินี้ เหตุใดนางถึงไม่ใช่ลักษณะพิเศษนี้เข้าหาฮูหยินเฒ่าก่อนล่ะ?
ทั้งตระกูลหลี่นางหลี่ชิงลั่วโดดเดี่ยวและไร้คนช่วยเหลือ
ไม่มีที่พึ่งพิง เช่นนั้นนางก็จะหาที่พึ่งพิงเอง!
หลังจากที่มีความคิดเช่นนี้แล้ว หลี่ชิงลั่วก็แสดงออกด้วยสีหน้าที่จริงใจ
“แม่นม ก่อนกลับบ้าน ข้าอยากไปกราบไหว้ท่านย่าก่อน ไม่รู้ว่าจะได้หรือไม่?”
