บทที่ 12
หลี่ชิงลั่ว “ตอนนี้ลั่วเอ๋อร์ไม่อาจอธิบายกับท่านย่าได้เจ้าค่ะ แต่ท่านย่าได้โปรดเชื่อลั่วเอ๋อร์ด้วย ถ้าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นคงดีที่สุด แต่ถ้ามีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น ยังขอให้คนของท่านย่าช่วยลั่วเอ๋อร์ระวังส่วนที่ผิดปกติแปลกๆ เสียหน่อย”
ฮูหยินเฒ่าเผยจ้องหลี่ชิงลั่วอย่างลึกซึ้ง สายตาที่มองนาง ยิ่งล้ำลึกขึ้นมา
แม่เด็กคนนี้ เป็นแค่คนที่เติบโตมาในหุบเขาจริงหรือ?
ถ้าเติบโตมาในป่าเขาจริง เด็กสาวที่ไม่เคยพบเจอโลกกว้าง เหตุใดถึงรู้ว่าจวนแม่ทัพเป็นอย่างไรบ้าง ยังสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ ว่าจะมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น?
แต่ว่า หลี่ชิงลั่วเผชิญหน้ากับสายตาสืบสวนของฮูหยินเฒ่าเผย ก็เพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อย ประหนึ่งไม่คิดจะอธิบายอะไรในเวลานี้จริงๆ
ฮูหยินเฒ่าเผยทำตามที่นางขอร้องแล้ว ให้แม่นมจางรีบจัดเตรียมกำลังคนออกไปทันที
ตระกูลหลี่ หน้าประตูจวนแม่ทัพ
เมื่อรถม้าค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ ทุกคนในตระกูลหลี่ ล้วนเตรียมพร้อมต้อนรับอย่างเคารพนอบน้อมกันเรียบร้อย
ทว่า ในฝูงชนกลับยังคงขาดไปคนหนึ่งแล้ว
คนผู้นี้ ก็คือหลี่ชิงจูบุตรสาวตัวปลอมของตระกูลหลี่ ที่ปัจจุบันนี้กลับยังคงประกาศต่อภายนอกว่าเป็นบุตรสาวคนโตจากภรรยาเอก
หลี่เฉาจิ้งเห็นบุตรสาวที่ปกติปกป้องทะนุถนอมเอาไว้ในฝ่ามือราวกับอัญมณีจนถึงตอนนี้ยังไม่ปรากฏตัว อดขมวดคิ้วไม่ได้ ถามภรรยาที่ด้านข้างด้วยเสียงเบาๆ “จูเอ๋อร์เป็นอะไรไป? ถ้าเพียงแค่น้องสาวนางกลับมาคนเดียวก็แล้วไป ทั้งที่รู้ว่าท่านย่าจะกลับมาด้วย เหตุใดยังทำตัวเป็นเด็กๆ ไม่ออกมาต้อนรับ?”
ฮูหยินแม่ทัพฉวี่ซื่อรีบร้อนอธิบาย “ท่านพี่ จูเอ๋อร์นางไม่ได้ตั้งใจไม่เคารพต่อท่านย่าจริงๆ เป็นเพราะในช่วงนี้ นางรู้สึกผิดไม่สบายใจ และเป็นกังวลมากเกินไปต่อเฉาเอ๋อร์ ดังนั้นเมื่อคืนถึงไข้ขึ้นฉับพลัน จนถึงเวลานี้ ยังสะลึมสะลือลุกไม่ขึ้นเลย”
ขณะพูดอยู่ ฉวี่ซื่อยังเช็ดน้ำตาบริเวณหางตาด้วยความสงสาร
หลี่เค่อชวนพึมพำอย่างเย็นชาอยู่ด้านข้าง “เป็นนางมารร้ายจริงๆ! ถ้าจูเอ๋อร์เป็นอะไรไป ข้าไม่ปล่อยนางไว้แน่!”
หลี่เฉาจิ้งไม่เห็นด้วยกับคำพูดนี้ของบุตรชายคนโต
“เจ้าพูดเหลวไหลอะไร? น้องสาวของเจ้ายังไม่ได้เข้ามาแม้แต่ประตูจวนด้วยซ้ำ!”
หลี่เค่อชวน “ยังไม่ได้เข้าประตูจวนมาก็ทำให้จูเอ๋อร์ล้มป่วยแล้ว นางไม่ใช่นางมารร้าย แล้วผู้ใดเป็นกันเล่า? ท่านพ่อ ถ้านางขัดแย้งกับจูเอ๋อร์ ข้าจะไล่นางออกจากจวนไปแน่ขอรับ!”
ฉวี่ซื่อก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่า บุตรชายจะเป็นปรปักษ์ต่อบุตรสาวแท้ๆ เช่นนี้
นางอดพูดโน้มน้าวไม่ได้ “ชวนเอ๋อร์ อย่างไรเสียเฉาเอ๋อร์ก็เป็นน้องสาวของเจ้า ห้ามกระทำเยี่ยงนี้เด็ดขาด!”
ระหว่างพูดจา รถม้าค่อยๆ จอดลงมาแล้ว
หลี่ชิงลั่วประคองแขนฮูหยินเฒ่าเผยลงจากรถม้า
หลี่เฉาจิ้งมองมารดาของตนเองตาไม่กะพริบ ในใจรู้สึกซับซ้อนยุ่งเหยิง
ผ่านไปนานมาก ถึงย้ายสายตาไปยังเด็กสาว ที่ผอมแห้ง และผิวพรรณดำคล้ำตรงด้านข้างคนนั้น
สายตาเขาสั่นเทาเล็กน้อย
นั่นก็คือเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา?
เมื่อสองเดือนก่อน ตอนที่เพิ่งรู้ความจริง เขากับฉวี่ซื่อล้วนไม่มีทางยอมรับได้ในทันใด
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บุตรสาวที่เลี้ยงดูอยู่ข้างกายมาสิบกว่าปี และปกป้องทะนุถนอมดุจดังอัญมณีจนเติบโตมา อยู่ดีๆ มีวันหนึ่ง ถูกบอกว่าไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของพวกเขา
ส่วนเลือดเนื้อเชื้อไขของพวกเขา คาดไม่ถึงว่าจะมีลักษณะอย่างนี้
หลี่เฉาจิ้งมองเห็นลักษณะของหลี่ชิงลั่ว ในใจรู้สึกผิดหวังอย่างยิ่ง
ฉวี่ซื่อก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าใด คิดในใจ: คุณพระ มิน่าชวนเอ๋อร์ถึงไม่พอใจต่อเฉาเอ๋อร์มากเช่นนี้ เหตุใดถึงมีลักษณะหยาบกระด้างธรรมดาเช่นนี้?
เมื่อเปรียบเทียบกับจูเอ๋อร์ขึ้นมา เรียกว่าต่างกันราวฟ้ากับเหวโดยแท้
ถ้าจูเอ๋อร์เป็นจันทร์กระจ่างบนท้องฟ้า เช่นนั้นนางก็เป็นเพียงต้นหญ้าตามข้างทางอย่างแท้จริงแล้ว
ลักษณะอย่างนี้ ถึงจะไปปรนนิบัติในเรือนของจูเอ๋อร์ แม้แต่ให้เป็นสาวใช้ทำงานหนักยังเป็นไม่ได้เลย
สำหรับเรื่องนี้ ฉวี่ซื่อผิดหวังยิ่งนัก ปวดใจสุดจะทน
เหตุใดจูเอ๋อร์ถึงไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของนาง?
นางยินยอมให้ทุกอย่างนี้ไม่เคยเกิดขึ้น
หลีชิงลั่วมองเห็นสายตาของพวกเขา อดหัวเราะเยาะในใจไม่ได้
ท่าทางผิดหวังที่ปิดซ่อนไม่ได้เช่นนี้ เมื่อชาติก่อนตนเองไม่ทันได้สังเกตเห็น
ไม่ บางทีสังเกตเห็นแล้ว แต่ชาติก่อนนางรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ และอับอายต่อลักษณะของตนเอง ฉะนั้นถึงเลือกเพิกเฉยต่อสายตาของพวกเขาแล้ว
แต่ลักษณะในปัจจุบันนี้ของนาง ไม่ได้เป็นมาโดยกำเนิด
ทุกอย่างนี้ หรือว่าไม่ใช่ย่าแท้ๆ ของหลี่ชิงจูที่ทำให้เกิดขึ้น เพราะเจตนาชั่วร้ายซึ่งเห็นแก่ตัวของตนเอง?
หญิงชราผู้นั้นของตระกูลหลิวแลกเปลี่ยนชีวิตของพวกนางแล้ว
ให้หลี่ชิงลั่ว มาแทนที่หลี่ชิงจู เพื่อไปประสบความทุกข์ยากลำบากในโลกนี้แล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะใช้แรงงานมาหลายปี ถ้าไม่ใช่เพราะปรนนิบัติทุกคนในตระกูลหลิวเหมือนวัวเหมือนควายมาสิบกว่าปี และนางไม่เคยได้กินอิ่มสักมื้อหนึ่ง ซ้ำยังไม่เคยได้นอนหลับเต็มอิ่มสักคืน จะเป็นลักษณะเช่นในปัจจุบันนี้ได้อย่างไร?
ถ้าให้หลี่ชิงจูไปใช้ชีวิตเยี่ยงนางดูบ้าง นางจะต้องไม่ได้ดูมีศักดิ์ศรีน่าเคารพ ถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจ และสูงส่งไร้ตำหนิอย่างในปัจจุบันนี้เช่นเดียวกัน
ยิ่งไม่อาจมีใบหน้างดงามอันบริสุทธิ์ผุดผ่อง และขาวใสน่าหลงใหล
หลี่ชิงลั่วซ่อนรอยยิ้มเยาะไว้ในใจ รอให้หลี่เฉาจิ้งและคนอื่นเข้ามาทำความเคารพฮูหยินเฒ่าเผยกันก่อน
“ลูก ขอคารวะท่านแม่ ท่านเดินทางไกลอย่างเหน็ดเหนื่อย ลำบากมาตลอดทางแล้ว”
“ลูกฉวี่ซื่อ ขอคารวะท่านแม่ ขอต้อนรับท่านแม่กลับจวนเจ้าค่ะ”
“หลานหลี่เค่อชวน ขอคารวะท่านย่า”
ชาติก่อน ตอนหลี่ชิงลั่วกลับมา มีเพียงหลี่เฉาจิ้งและฉวี่ซื่อรอนางอยู่หน้าประตูจวน หลี่เค่อชวนไม่เคยปรากฏตัว
มิหนำซ้ำ คนรับใช้ในจวน รอบนี้ก็ออกมาต้อนรับอย่างเคารพนอบน้อมกันทั้งหมด
คงเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดของท่านย่าถึงเป็นเช่นนี้
ฮูหยินเฒ่าเผยเพียงแค่พยักหน้าให้อย่างเย็นชา และไม่ได้มองหลี่เฉาจิ้งต่อสักแวบหนึ่ง
หลี่เฉาจิ้งอดรู้สึกหดหู่ใจไม่ได้ ยังไม่ได้เอ่ยปากพูดจาอีก ฮูหยินเฒ่าเผยก็ดันหลี่ชิงลั่วทีหนึ่ง
“ไปเถิด ไปทำความเคารพพ่อแม่แท้ๆ และคนในครอบครัวของเจ้า”
หลี่ชิงลั่วค่อยๆ เดินเข้าไปข้างหน้า “ลั่วเอ๋อร์ขอคารวะท่านพ่อ ท่านแม่ คุณชายใหญ่”
ฉวี่ซื่อฉีกยิ้มออกมานิดๆ และเดินไปข้างหน้าครึ่งก้าว “ลั่วเอ๋อร์? คงเป็นชื่อที่ท่านย่าของเจ้าตั้งให้เจ้าสินะ? กลับมา กลับมาก็ดี”
“ลั่วเอ๋อร์ เจ้าเรียกชวนเอ๋อร์ว่าพี่ชายก็พอ”
ยังพูดไม่ทันจบ เรือนด้านในก็มีเสียงโวยวายลอยมา
หลี่เฉาจิ้งขมวดคิ้วตำหนิเสียงเบาๆ “ไปดูทีสิ เกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว? วันนี้ท่านแม่กลับจวนมา ไม่สมควรเอะอะโวยวาย และเกิดเรื่องวุ่นอะไรขึ้น!”
พูดจบ หลี่เฉาจิ้งหันหน้ามาพูดเชื้อเชิญกับฮูหยินเฒ่าเผยอย่างเคารพ “ท่านแม่ขอรับ พวกเราเข้าไปแล้วค่อยพูดกันเถิดขอรับ”
เพียงแต่ฮูหยินเฒ่าเผยยังไม่ทันยกเท้าขึ้น เรือนด้านในก็มีคนวิ่งออกมาอย่างลนลานก่อนแล้ว
“นายท่าน ฮูหยิน คุณชายแย่แล้วเจ้าค่ะ! คุณหนูใหญ่ทิ้งจดหมายฉบับหนึ่งเอาไว้ จากนั้น จานนั้นเผาตัวเองแล้ว!!!”
