4/2
“ถ้าผมอยาก ผมก็ตักกินเองได้นี่ครับ”
“เอาเถอะค่ะ น้องไอผิดเอง เดี๋ยวข้าวจานนี้น้องไอทานเองแล้วกันนะคะ ส่วนของพี่เอริค เดี๋ยวให้ป้าเกรสตักข้าวให้ใหม่” แล้วแม่ตัวดีก็หันไปบอกป้าเกรสเสียงหวาน ชายหนุ่มทำท่าจะลุกเพราะนึกรำคาญเต็มที เขาชอบผู้หญิงเอาใจ แต่ไม่ใช่แบบที่ไอรีนกำลังทำอยู่ โดยรวมแล้วเธอไม่มีอะไรตรงสเป็คของเขาเลยนอกจาก...ความสวย
“อย่าเสียมารยาทเอริค เกรส...เอาจานมาตักข้าวให้เอริคใหม่” มารดาออกปากขนาดนี้แล้วบุตรชายจะดื้อลุกหนีได้ยังไง ชายหนุ่มจึงต้องนั่งลงตามเดิมปรายตามองคนทำหน้าละห้อยราวกับคนสำนึกผิดนักหนา เขาไม่รู้ว่าเธออยากเอาใจหรือประชดประชันด้วยการตักกับข้าวใส่จานเขาจนพูนแบบนี้
นี่ล่ะนะ คนไม่มีความคิด
“วันนี้แกเป็นอะไรไป ดูอารมณ์ไม่ค่อยดี” บิดาถามอย่างอดไม่ได้ ปกติบุตรชายจะทำอะไรระวังทุกเรื่อง จัดว่าเป็นคนมีมารยาทดีคนหนึ่ง ถึงบางครั้งจะดูกะล่อนเป็นคาสโนว่าฆ่าไม่ตาย แต่เรื่องมารยาทที่พึงกระทำจะมีติดตัวไว้เสมอ แล้วท่าทีฮึดฮัดตั้งแต่ลงมาร่วมโต๊ะอาหารพร้อมหน้าค่าตากันเกิดขึ้นเพราะอะไร
“พี่เอริคคงรำคาญน้องไอน่ะค่ะคุณลุง น้องไอมาทีไรก็สร้างความรำคาญให้พี่เอริคทุกครั้ง แบบนี้น้องไอคิดว่าไม่น่าจะมาพักที่นี่ถี่เกินไป หรือบางทีคืนนี้น้องไอคิดว่าน่าจะกลับไปนอนบ้านดีที่สุด พี่เอริคจะได้ไม่อึดอัดใจมากไปกว่านี้”
เอนริเก้มองคนเจื้อยแจ้วด้วยหางตา เธอจงใจประชดประชันเขาเพื่ออะไร หรือนี่คืออีกหนึ่งแผนการของเธอ ยัยจอมยุ่งช่างวางแผน ในหัวสวยๆ ของเธอคงเต็มไปด้วยแผนการนับร้อยนับพันกระมัง เห็นหน้าจ๋อยๆ แบบนี้ใจจริงไม่ได้เป็นอย่างที่แสดงออกหรอก ฮึ...ทำไมเขาจะไม่รู้ ก็เธอกำลังเปิดศึกพิชิตใจกับเขาอยู่นี่นา อะไรที่ทำแล้วเข้าทาง เธอจะรีบทำโดยไม่รอช้า และเธอก็ตั้งใจเข้าทางคุณพ่อคุณแม่ของเขาเสียด้วย พวกท่านก็เหมือนกัน รักแม่คนนี้นักหนา รักยิ่งกว่าลูกแท้ๆ อย่างเขาเสียอีกกระมัง
ยัยไอรีนทำอะไรก็ดูจะขวางหูขวางตาเขาไปเสียทุกอย่างสิน่า
“นอนที่นี่ล่ะจ้ะหนูไอ ค่ำมืดดึกดื่นจะกลับไปบ้านน่ากลัวออก เป็นผู้หญิงสวยตัวเล็กเท่านี้จะไปต่อกรกับใครเขาได้ นอนที่บ้านป้านี่แหละหนู เดี๋ยวป้าจะโทร.ไปบอกคุณแม่ของหนูให้”
ดูดู๊คุณแม่ของเขาก็อีกกำลังวางแผนหาลูกสะใภ้ให้เขา โอย...ถ้าเจ้าหล่อนอยากกลับ บอกมาเลยเดี๋ยวให้คนไปส่ง แต่นี่คนโน้นก็ยกหาง คนนี้ก็เป็นห่วงสารพัด ความจริงคุณหนูไอรีนไปไหนมาไหนไม่ต้องกังวลเพราะมีบอดี้การ์ดคอยคุ้มกันอีกเป็นโขยง แล้วมันน่ากลัวตรงไหนกันเล่า
เอนริเก้ก็ได้แต่กระทบกระเทียบคนตัวเล็กอยู่ในใจ ถ้าพูดออกไปมีหวังแม่คุณคงบีบน้ำตาเรียกความสงสาร แล้วพ่อกับแม่ของเขาก็ต้องโอ๋กันจ้าละหวั่น
“ขอบคุณค่ะคุณป้า” ไอรีนขอบคุณ แล้วอมยิ้มกับจานข้าวที่มีกับพูนจาน เธอตักอาหารเข้าปากแม้จะรู้สึกว่าท้องอิ่มแล้วก็ตาม จานข้าวของพี่เอริคนี่นา เธอแอบเห็นเขาตักข้าวเข้าปากไปช้อนหนึ่งแล้ว ฉะนั้นหญิงสาวเลยจงใจกินข้าวช้อนเดียวจานเดียวกับเขาเสียเลย
อาหารมื้อนั้นผ่านไปด้วยความอึดอัด ไอรีนอึดอัดที่ทานข้าวถึง 2 จาน เอนริเก้อึดอัดที่ต้องนั่งร่วมโต๊ะกับเธอ มีเพียงผู้ใหญ่สองท่านที่ดูจะสมใจจนยิ้มไม่หุบ เอนริเก้รวบช้อนก่อนดื่มน้ำแล้วเอ่ยขอตัว ไอรีนไม่ว่าอะไรคืนนี้เธอจะปล่อยเขาไปก่อน ไม่ไหวจริงๆ ล่ะตอนนี้ คนไม่ค่อยทานเยอะรู้สึกแน่นท้องอึดอัดไปหมดแล้ว
ไม่น่าเลยยัยไอ แล้วคืนนี้เธอจะนอนหลับไหมล่ะเนี่ย
กลางดึกสงัด เอนริเก้นอนพลิกซ้ายพลิกขวาอยู่นาน ทำยังไงเขาก็นอนไม่หลับ เพราะอะไรน่ะหรือ ก็ภาพความงามกระจ่างตายังแจ่มชัดอยู่ในความคิด ไอรีนสวยจนติดตาตรึงใจเขาทีเดียว ความปรารถนาเกิดขึ้นจนเรือนกายเกิดความเปลี่ยนแปลง แค่คิดความเป็นชายก็ตื่นเพริดสร้างความรวดร้าวไปทั่วร่างใหญ่
“โอ๊ย!!! ยัยหน้าด้าน เธอจะจองเวรจองกรรมฉันไปถึงไหน ฉันอยากนอน!!!”
ถ้าคืนนี้เขานอนไม่หลับ พรุ่งนี้จะมีปัญหาแน่ถ้าตื่นขึ้นมาไม่ทันช่วงเช้า กระทิงเพศเมียตัวหนึ่งได้เวลาติดสัดช่วงเช้าพอดี เวลาติดสัดก็จะมีแค่ไม่กี่ชั่วโมง ถ้าพรุ่งนี้เขาพลาดการผสมพันธุ์ของมัน เขาจะต้องรอนานถึงระยะติดสัดช่วงต่อไป
เมื่อทำยังไงภาพความงามก็ยังตามมาหลอกหลอน เอนริเก้จึงต้องลุกขึ้นแล้วคว้าเสื้อคลุมมาสวม คืนนี้อากาศเย็นเห็นทีจะต้องออกไปรับลมเย็นสักหน่อย เผื่อสมองจะปลอดจากภาพที่ติดใจ ตาจะได้หลับเสียที ร่างสูงเดินออกไปนอกบ้านตั้งใจว่าจะนั่งนับดาวแค่หน้าบ้าน แต่พอเห็นแสงสว่างวับแวบใกล้ๆ กับบ้านใหญ่ คิดว่าต้องมีความผิดปกติเกิดขึ้นแน่ๆ จึงกระชับเสื้อคลุมแล้วหยิบปืนพกติดมือไปด้วย
ร่างสูงย่องเข้าไปตรงจุดที่เห็นไฟสว่างวาบ ไฟดวงเล็กน่าจะเป็นไฟติดหมวกที่หัวขโมยมักใช้กัน เขาย่องเข้าไปใกล้เรื่อยๆ อย่างเงียบกริบ ไม่ได้ยินเสียงอะไรดังนอกจากเสียงฝีเท้าและอะไรบางอย่างที่ร้องโครกครากดังแว่วมาตามลม จะว่าเป็นเสียงสัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่งที่อยู่แถวนี้ก็คงไม่ใช่ เขาเป็นสัตวบาลรู้จักสัตว์แทบทุกชนิดเป็นอย่างดี พูดได้ว่าถ้าไม่ทำฟาร์มก็ผันตัวไปเรียนสัตวแพทย์อีกนิดหน่อยก็เป็นหมอรักษาสัตว์ได้แล้ว
โดยเฉพาะวัว เอนริเก้ใช้เวลา 3 ปี จมอยู่กับการศึกษามันโดยไม่สนใจอย่างอื่น เขารู้จักมันดีพอๆ กับรู้จักตัวเอง และเป็นมาธาดอร์เพียงคนเดียวที่ปลิดชีวิตวัวด้วยการจ้วงปลายดาบตัดขั้วหัวใจ วัวที่ตายด้วยปลายดาบของเขาจะไม่ทรมานมากนัก แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งที่ฆ่ามัน ด้วยเหตุนี้เขาจึงใช้เวลาว่างทุกครั้งทำบุญ เอนริเก้เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ แต่ไม่ถึงขั้นงมงายไร้สาระ เขาเชื่อว่าการฆ่าโดยเจตนาคือการสร้างบาปครั้งใหญ่ ตอนนี้ก็เชื่อว่าตนเองคงมีบาปหนา เขาไม่รู้หรอกว่ามาธาดอร์คนอื่นๆ จะรู้สึกแบบนี้หรือไม่ รู้สึกเจ็บเหมือนเจ้าวัวตัวที่ถูกสังหารหรือเปล่า การทำบุญด้วยเงินทองและอาหารช่วยให้เขาสบายใจขึ้นในระดับหนึ่ง นี่คือที่มาของการทำฟาร์มเพาะพันธุ์วัวกระทิง
