มีอะไรมานำเสนอ
เธอได้ยินเสียงเสียงสนทนาที่เกิดจากเสียงป้าคำฟองอันนุ่มนวลกับเสียงห้วนห้าวของผู้ชายคนหนึ่ง ไม่นานก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนัก ๆ เดินขึ้นเรือนมาคนเดียว ส่วนป้าคำฟองคงกลับไปที่เรือนพักของตัวเองแล้ว เธอสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ เพื่อเรียกความกล้าหาญก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วหันกลับไปประจันหน้าผู้มาเยือน
ที่อยู่ตรงหน้าคือผู้ชายคนหนึ่งที่สูงไม่ต่ำกว่าเมตรแปดสิบในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำที่ถูกปลดกระดุมที่ปลายแขนแล้วถลกแขนพับขึ้นลวก ๆ จนถึงข้อศอก ท่อนล่างเป็นกางเกงยีนสีกรมท่าเข้มห่อหุ้มท่อนขากำยำ สวมรองเท้าหนังหุ้มข้อสั้นสีน้ำตาลแบบพวกคาวบอยในภาพยนตร์ ผิวพรรณส่วนที่เลยแขนเสื้อออกมาเป็นสีทองแดงคร้ามแดด
เขาถอดรองเท้า ถอดหมวกออกแล้วสลัดศีรษะที่มีเส้นผมชื้นเหงื่อยุ่งเหยิงเผยให้เห็นตาเฉี่ยวดุภายใต้คิ้วเข้ม จมูกโด่งเป็นสันคมและริมฝีปากบางที่มีหนวดเคราเขียวครึ้มมันยิ่งส่งให้ดูดุดันน่าเกรงขามมากขึ้น
เขาตวัดสายตามามองหญิงสาวร่างเล็กบอบบางในชุดนักศึกษาตรงหน้าตรง ๆ เธอรีบยกมือขึ้นไหว้ทันที
“สะ... สวัสดีค่ะพ่อเลี้ยง” แม้ไม่มีใครแนะนำว่าคนตรงหน้าคือใครแต่เธอก็อนุมานได้ว่าเขาต้องเป็นพ่อเลี้ยงภาค คนที่เธอต้องมาหาในคืนนี้นั่นเอง เธอทักทายเขาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักทั้งปกติเป็นคนฉะฉาน ไม่ค่อยตื่นกลัวอะไรง่าย ๆ
“กลับไปซะ” นั่นคือคำทักทายสำหรับเธอจากเขา
“เอ่อ... แต่ว่า...”
เขาไม่อยู่ฟังว่าเธอจะพูดอะไรต่อแล้วเดินออกจากห้องนั่งเล่นไปที่ห้องส่วนตัวของตัวเองหน้าตาเฉย ทิ้งให้เธอยืนงงอยู่ตรงนั้นครู่ใหญ่แต่ก็พอคาดเดาได้ว่าเขาคงไม่พอใจที่ได้เห็นสินค้าที่มาแทนคุณภาพภายนอกไม่เป็นดังที่ต้องการ
เพราะแพรดาวพี่สาวต่างสายเลือดของเธอนั้นผ่านมีดหมอมานับไม่ถ้วน ทั้งขาวทั้งอวบอึ๋มโดยเฉพาะหน้าอกหน้าใจใหญ่ถึงเจ็ดร้อยห้าสิบซีซีเท่าลูกส้มโอ ตรงกันข้ามกับตัวเธอที่เป็นผู้หญิงหน้าหวานตัวเล็กรูปร่างบอบบางมันคงไม่เร้าใจเขาเท่าไหร่นัก
เขาไม่เอาเธอ ไม่อยากได้อย่างสิ้นเชิงนั่นหมายความว่าบ้านของเธอจะโบยบินไปแล้วแน่ ๆ
ไม่ ไม่มีทาง คนอย่างภัทรวรรณจะไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ เธอจะต้องรักษาสมบัติชิ้นสุดท้ายของพ่อเอาไว้ให้ถึงที่สุด
คิดได้ดังนั้นเธอก็ยังรออยู่ตรงนั้น ไม่ยอมไปไหนเพราะมั่นใจว่าอย่างไรเสียเขาก็ต้องกลับออกมาเพราะยังไม่ได้ปิดประตูหน้าบ้าน
แล้วก็เป็นดังคาด ประมาณสิบนาทีหลังจากนั้นเขาก็เดินกลับออกมาพร้อมผิวปากอย่างอารมณ์ดีในสภาพที่มีผ้าเช็ดตัวสีน้ำเงินเข้มพันเอวแค่ผืนเดียว อวดท่อนบนเปลือยเปล่า รอยสักรูปเสือคำรามที่แผงอกกำยำด้านซ้าย ไหล่หนากว้าง ต้นแขน หน้าท้องมีมัดกล้าม ใต้สะดือมีไรขนประปรายที่รกครึ้มขึ้นเมื่อลับหายไปยังบริเวณที่ผ้าเช็ดตัวพันไว้หมิ่นเหม่รอบเอวสอบนั้นจึงได้เห็นว่าที่จริงเขาเป็นคนผิวขาวกว่ามาตรฐานชายไทยทั่วไปเพราะผิวพรรณจุดที่อยู่ในร่มผ้ามันขาวเหลือง แต่ส่วนที่เลยเสื้อผ้าออกมานั้นคล้ำแดดคงเพราะต้องตากแดดตากลมอยู่บ่อย ๆ
มือหนึ่งของเขาใช้ผ้าผืนเล็กขยี้เช็ดผมบนศีรษะที่เปียกชื้นจากการสระผม เสียงผิวปากเงียบหายไปทันทีเมื่อเขาเห็นว่าเธอยังอยู่ตรงนั้น
“ทำไมยังอยู่ตรงนี้ บอกให้กลับไปไง”
เธอผุดลุกขึ้นจากโซฟาแล้วส่งยิ้มธุรกิจที่พยายามฝืนสุด ๆ ไปให้
“คือ... ฉันยังไม่ได้ทำหน้าที่ปรนนิบัติพ่อเลี้ยงแทนพี่สาวตามที่ตกลงกันไว้เลยค่ะ” เขาไม่แม้แต่จะมองหน้าเธอด้วยซ้ำแต่เดินไปที่เคาน์เตอร์บาร์ หยิบบรั่นดีออกจากตู้เครื่องดื่ม เทลงแก้วแล้วสาดลงคอ
“เธอเด็กเกินกว่าที่ฉันคิด ถือว่าแม่ของเธอผิดสัญญา ส่งสินค้าไม่ตรงตามที่โฆษณาไว้”
“พอดีพี่สาวของฉันเขาติดธุระกะทันหันมาไม่ได้น่ะค่ะ จึงอยากจะขอความกรุณาพ่อเลี้ยงสักครั้งให้โอกาสฉันได้นำเสนอสิ่งที่ตัวเองมีก่อนเถอะนะคะ คั่นเวลาก่อนที่พี่สาวของฉันจะกลับมา” เธออ้อนวอนอย่างไม่ยอมแพ้ เขารินเครื่องดื่มใส่แก้วแล้วดื่มจนหมดอีกครั้ง ถือขวดและแก้วเดินออกมาจากเคาน์เตอร์ก่อนจะเดินไปนั่งบนโซฟา วางทั้งหมดนั่นบนโต๊ะ ตวัดสายตาขึ้นมองเธอแล้วตั้งคำถาม
“เธอมีอะไรมานำเสนอฉันบ้างล่ะ”
เธอหันมาหา สองมือถูกยกขึ้นเท้าเอวแล้วส่งยิ้มหวานที่พยายามปั้นแต่งไปให้ เขานึกขันในใจกับทีท่าที่เธอแสดงออกราวกับนางงามที่กำลังประกวดประชันบนเวที
“ฉันชื่อภัทรวรรณนะคะ ชื่อเล่นชื่อภัทร อายุยี่สิบปี เรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีสองคณะบัญชี ฉัน... ยังเวอร์จิน”
“แล้วไง” คำถามกับน้ำเสียงเย็นชาไร้ซึ่งความสนใจนั้นช่างทำให้เธออับอายเหลือเกินแต่ก็พยายามกดข่มอารมณ์เอาไว้
“ก็... คืนนี้ฉันจะมอบความสาวให้พ่อเลี้ยงเพื่อแลกกับดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายค่ะ”
“เธอคิดอะไรอยู่ในหัววะ คิดว่าฉันเป็นไอ้แก่ตัณหากลับที่ชอบพร่าพรหมจรรย์เด็กสาวหรือไง เป็นไอ้เปโดที่อยากฟันเด็กในชุดนักเรียนนักศึกษาอะไรทำนองนั้นเหรอ ทุเรศฉิบ !”
“ปละ... เปล่านะคะ ฉันไม่เคยคิดแบบนั้นเลยค่ะ ก็แค่...”
“ก็แค่อะไรพูดมาให้หมด !”
