ขัดดอก
หญิงสาวได้แต่นิ่งเงียบ ไม่ได้เชื่อทั้งหมดแต่ก็ฟังดูมีเหตุผลเพราะตอนนั้นตัวเองก็เรียนโรงเรียนประจำ เดือนหนึ่งจะได้กลับบ้านสักครั้งจึงไม่รู้ความเป็นไปในบ้านมากนัก
ยอมรับว่าตั้งแต่ที่พ่อเอาผู้หญิงคนใหม่อย่างน้าพลอยพรรณเข้ามาแทนที่แม่ เธอเองก็ไม่พอใจและห่างเหินกับพ่อไปโดยปริยาย ตัดสินใจสอบเข้าเรียนมัธยมปลายที่โรงเรียนประจำเพราะจะได้ไม่ต้องใช้ชีวิตร่วมกับพ่อ แม่เลี้ยงและพี่สาวคนใหม่ที่ดูยังไงก็ไม่เข้าตา
พลอยพรรณทำงานเป็นเซลส์ขายประกันและเจอพ่อของเธอขณะที่ไปติดต่อขายประกันในสถานที่ทำงานจนพบรักกัน ส่วนแพรดาวหรือพี่แพร ลูกสาวที่ติดมากับพลอยพรรณที่อายุห่างจากภัทรวรรณสี่ปีนั้นก็ไม่ได้มีอาชีพเป็นหลักเป็นแหล่ง เห็นบอกว่าเป็นพริตตีและเดินสายประกวดนางงามแต่ก็ไปบ้างไม่ไปบ้าง ต้องขอเงินแม่ใช้อยู่ดี เธอเรียนไม่จบและเอาเงินไปทำศัลยกรรม ไม่เคยอยู่ติดบ้าน เงินที่หามาได้ก็เอาไปถลุงใช้ฟุ่มเฟือยกับข้าวของราคาแพง ไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่แล้วอัพรูปลงโซเชียลเพื่อให้ผู้คนเข้ามาชมว่าเป็นคุณหนูไฮโซ
หนี้สินที่เกิดขึ้นก็คงจะเพราะพ่อต้องไปกู้ยืมเงินมาเลี้ยงดูสองแม่ลูกด้วยนั่นแหละเพราะน้าพลอยพรรณเองก็ไม่ได้ขายประกันจริงจังอะไรนัก พอแต่งงานกับพ่อ เจ้าหล่อนก็ไปทำงานบ้างไม่ไปบ้าง
ภัทรวรรณเข้าใจเรื่องหนี้ในระบบแต่หลังจากพ่อตายก็เคลียร์หนี้เคลียร์สินไปหมดแล้วแต่หนี้นอกระบบนี่เธอไม่เคยรู้เลยจริง ๆ ว่าพ่อเคยไปก่อเอาไว้จริงไหม ถ้าจะกล่าวหาว่าน้าพลอยไปสร้างขึ้นก็ไม่มีหลักฐานอีกนั่นแหละแต่ที่รู้ ๆ เธอจะไม่ยอมเสียบ้านหลังนี้ไปเป็นอันขาด
“หนี้มันเท่าไหร่”
“รวมดอกแล้วก็ห้าแสนกว่า”
“โอ้โฮ หนี้อะไรตั้งห้าแสน”
“ก็เอามากินมาใช้กันในบ้านทั้งนั้นแหละ”
“แล้วต้องผ่อนเท่าไหร่เนี่ย”
“ดอกพร้อมต้นก็เดือนละสองหมื่น ดอกมันก็ทบขึ้นเรื่อยจนตอนนี้เฉพาะดอกเกือบแสนแล้ว”
ภัทรวรรณทิ้งตัวลงพิงพนักเก้าอี้อย่างหมดแรง ลำพังเงินเดือนงานพิเศษของตัวเองที่พึ่งได้รับโอนมาก็แค่เจ็ดพันกว่าบาทรวมกับเงินที่เก็บหอมรอมริบก็พอเพียงแค่ใช้จ่ายตัวเองและค่าเทอมในเทอมต่อไปเท่านั้น
“แล้วเขาจะเอาไง”
“ก็จะเอาเงินนั่นแหละ มันบอกให้เวลาสามวันให้ไปจัดการหาเงินมาให้ได้ น้าก็เลยคิดว่าจะขายบ้าน”
“ไม่มีทางหรอก ภัทรไม่ยอม นี่เป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายที่พ่อทิ้งไว้ให้และน้าคิดดูสิว่าถ้าขายบ้านแล้วเราจะไปอยู่ไหนกัน เราจะลำบากกันมากขึ้นนะคะ”
“จริง ๆ น้าก็ไม่ได้ขายหรอกแต่มันหมดสิ้นหนทางแล้วจริง ๆ นี่นา” ภัทรวรรณหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน วัยอย่างเธอน่าจะเป็นวัยที่กำลังผลิบานร่าเริงกับชีวิตแต่กลับต้องมาแบกรับภาระหนี้สินบ้า ๆ บอ ๆ ที่ตัวเองไม่ได้ก่อ แถมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้เป็นพ่อที่จากไปนั้นสร้างไว้ตามที่แม่เลี้ยงบอกจริงหรือไม่
“อันที่จริงน่ะน้าก็มีทางออกแล้วล่ะตอนแรกน่ะ” นั่นทำให้ภัทรวรรณเงยหน้าลืมตาขึ้นมอง
“ทางออก ?” แม่เลี้ยงพยักหน้า
“น้าเจรจาต่อรองแล้วให้ยัยแพรน่ะ ไป... เอ่อ... ขัดดอก”
“ขัดดอก ? ยังไงนะคะ”
“ก็... ไปเป็นผู้หญิงให้พ่อเลี้ยงเขา”
“น้าจะบ้าเหรอคะ เป็นแม่ประสาอะไรถึงได้คิดแบบนั้นได้ลงคอ จะส่งพี่แพรไปเป็นนางบำเรอเจ้าหนี้เงินกู้เนี่ยนะ”
หญิงสาวโวยวายขึ้นทันที แม้จะไม่ได้สนิทสนมมีความสัมพันธ์อันดีกับพี่สาวนอกไส้มากนักแต่ในฐานะเพื่อนร่วมโลกหากมีใครต้องถูกส่งไปขัดดอกเช่นนั้นเธอก็ไม่มีทางเห็นด้วยเด็ดขาด
“ใจเย็น ๆ ก่อนสิยัยภัทร มันไม่ได้แย่ถึงขั้นนั้นหรอกน่าเพราะเจ้าหนี้คนนั้นคือพ่อเลี้ยงภาค”
“แย่ค่ะ แย่หมดนั่นแหละถ้าต้องไปเป็นนางบำเรอให้ผู้ชายหน้าไหนก็ไม่รู้ที่เราไม่ได้ชอบได้รัก”
“แต่นี่คือพ่อเลี้ยงภาคเลยนะ คุณภาค ภาสกรสุวรรณ ยังหนุ่มยังแน่นแถมโสดเจ้าของโรงไม้ใหญ่ที่สุดในจังหวัดเรา”
“ทำบังหน้าล่ะมั้ง ถ้าจะรวยขนาดนั้นแล้วทำไมต้องมานั่งปล่อยเงินกู้”
“ก็เพราะเขาคิดแบบนั้นไงเขาถึงได้รวย อะไรเป็นเงินเป็นทองเขาก็ทำหมดแหละ”
ภัทรวรรณอดที่จะเหลือบตามองบนไม่ได้พลางคิดค่อนขอดแม่เลี้ยงอยู่ในใจ ก็รู้ดีนี่ว่าต้องทำงานถึงจะมีเงินมีทองแล้วทำไมแม่เลี้ยงจึงได้ขี้เกียจตัวเป็นขน ทำบ้างไม่ทำบ้าง ขี้เกียจพอกันทั้งแม่ทั้งลูกนั่นแหละ
“แกน่าจะเคยเห็นเขาบ้างนะถ้าไปตามงานสังคมต่าง ๆ ตระกูลเขาเก่าแก่ในเมืองนี้” ภัทรวรรณเอียงคอทำท่าคิด
ภาค ภาสกรสุวรรณ
นามสกุลนี้เป็นที่คุ้นเคยเหลือเกินเพราะตามศาลาริมทาง ป้ายรถเมล์ สิ่งก่อสร้างสาธารณะในจังหวัดล้วนแล้วแต่มีนามสกุลของเขาเป็นผู้บริจาคทั้งนั้น
