บทที่ 7
คาร์ลหลิ่วตาให้ก่อนจะเดินจากไป เมื่อเขาเดินกลับมาพร้อมด้วยแก้วเครื่องดื่มนั้นมีพอล ดันแลพเดินตามมาด้วย และที่ตามหลังคนทั้งสองมาก็คือมาร์กาเร็ต แม็กซเวลส์ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามเธอก็ยังเป็นคนวงนอกอยู่นั่นเอง เดฟเหลือบตามองไปทางเธอแวบหนึ่งแล้วก็ลืมไปในนาทีเดียวกันนั้นเลย ซึ่งดูมันจะโหดร้ายยิ่งเสียกว่าการดูถูกกันอย่างเจตนาเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันเป็นไปด้วยจิตใต้สำนึกที่ไม่ชอบหน้าผู้หญิงคนนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
“มาพอดีเลยพอล” เดฟเอ่ยขึ้น “พอดีเวลาที่เราจะดื่มอวยพรกันไงล่ะ”
“ดี...เอาเลยสิ” พอลรีบคล้อยตาม “เดี๋ยว มาร์กาเร็ต คุณดื่มอะไรล่ะ?”
แก้มตอบๆ นั้นแดงเรื่อขึ้นเมื่อเขาส่งแก้วเครื่องดื่มมาให้ ท่าทางดีอกดีใจที่ยังมีคนเอาใจใส่นั้นบางทีเธออาจจะไม่รู้ก็ได้ว่ามันมากเกินความจำเป็น มารยาทหยาบคายของเดฟไม่ได้ทำให้เธอเดือดเนื้อร้อนใจแต่ประการใด เพราะเธอเองก็ไม่ใคร่สนใจในตัวเขาอยู่แล้ว และมาร์กาเร็ตก็ไม่ใช่ผู้หญิงหน้าตาขี้เหร่คนแรกที่หลงใหลพอลด้วยมารยาทอันงดงามของเขา
เดฟดึงแก้วจากมือคาร์ลมาใส่มือฉัน
“เอ้า ของเธอไงล่ะฮัสเคลล์”
“เห็นจะไม่แล้วละค่ะ”
“ดื่มเป็นเกียรติแก่เจ้าภาพหน่อยสิ” เดฟยกแก้วในมือชูขึ้น
มันเป็นการดื่มอวยพรที่ฉันไม่อาจปฏิเสธได้ สิ่งที่ดื่มเข้าไปนั้นมันไม่ใช่สก๊อตช์อย่างแน่นอน ฉันไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรกันแน่ แต่มันแรงอย่างน่ากลัวทีเดียว ฉันคงทำหน้าเหยเกเทันทีเมื่อกล้ำกลืนมันลง พอลสังเกตเห็นอยู่จึงเอ่ยถามขึ้นว่า
“นี่คุณเอาอะไรให้เด็กกินน่ะเดฟ? ปกติถ้ากินเหล้าได้ที่ขนาดนี้แล้วผมมักจะเปลี่ยนไปดื่มชาร้อนๆ นะ ฮัสเคลล์เรากินชากันดีไหมล่ะ?”
“ดีค่ะ ขอบคุณ” ฉันตอบด้วยความจริงใจ
เขาหันไปทางโต๊ะที่อยู่ทางเบื้องหลัง และเอ่ยถามมาว่า
“จะผสมอะไรล่ะ มะนาว นม หรือว่าน้ำตาล?”
“ขอแค่ชาเปล่าๆ ก็พอค่ะ”
“ฉันขอชาด้วยนะคะพอล” แม็กซ์เวลล์เบียดร่างเข้ามาเหมือนจะผลักฉันให้เลี่ยงไปเสียทางหนึ่ง
“ด้วยความยินดี” เข้ายื่นถ้วยชาให้เธอก่อน แต่มันก็เป็นการทำตามความเหมาะสมเท่านั้น เพราะอย่างน้อยเธอก็อายุมากแล้ว และสายตาที่มาร์กาเร็ตเหลือบมองฉันนั้นมันเปล่งแววเย้ยหยันอย่างเห็นได้ชัด ราวกับว่ารอบนี้เธอได้ชัยชนะมาครองก็ไม่ปาน
แต่ดูเหมือนพอลจะไม่ได้สนใจกับสิ่งที่เกิดอยู่เลย แถมเขายังยิ้มเป็นพิเศษให้ฉันด้วยซ้ำตอนที่ยื่นถ้วยชามาให้ แต่นั่นเป็นสิ่งที่มาร์กาเร็ตเชื่ออยู่มิใช่หรือว่าดวงตาที่เหมือนหน้าต่างของหัวใจคู่นั้นดูมีความสุขขึ้นเมื่อได้เห็นเธอ สีหน้าที่เหมือนครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลาคล้ายความหมองเศร้าลง
ฉันเริ่มรู้สึกมึนศีรษะ บอกตัวเองว่าบางทีชาร้อนๆ มันอาจจะช่วยได้ จึงยกขึ้นจิบและพยายามตั้งใจฟังสิ่งที่พอลกำลังพูดอยู่
“ก็เป็นอันว่าตอนนี้เราตกลงกันในปัญหาที่ว่าของต่างๆ นั้นจะเก็บรวมกันไว้ที่ไหน...”
“เดี๋ยว...” เดฟขัดขึ้นทันที “เรายังไม่ได้ตกลงอะไรกันเลยนะ พ่อเฒ่าคนนั้นพยายามตรึงเราไว้ด้วยวิธีการบีบบังคับให้เราต้องใช้บ้านหลังนี้ ขอโทษนะพอล แต่ผมว่าเขาเป็นคนไร้ความคิดจริงๆ แม้ว่าเขาจะเป็นพ่อตาคุณก็ตามทีเถอะ”
“เดฟ คุณก็รู้ว่าผมเห็นด้วยว่าบ้านหลังนี้มันไม่เหมาะ ผมอยากจะให้สร้างอาคารหลังใหม่ขึ้นมามากกว่า นอกเหนือจากความจริงที่ว่าวิคเตอร์ยืนยันที่จะให้ใช้บ้านหลังนี้ตามวิธีของเขา แต่คุณก็ต้องรู้ว่าการก่อสร้างอาคารใหม่ขึ้นน่ะมันต้องใช้เวลาเป็นปีๆ เหมือนกัน ทางโอเรียนทัล อินสทิทิวท์ก็ไม่มีพื้นที่อย่างพอเพียง...”
“เราจะรู้ได้ยังไงกันล่ะ ตอนนี้เรายังไม่รู้เลยว่ามันมีอะไรอยู่ในห้องใต้ดินนั่นบ้าง ถ้าที่เหลือนั่นมันกองสุมกันอย่างที่ผมเคยเห็นละก็...”
“นั่นน่ะคุณละเดฟ” มาร์กาเร็ต แม็กซ์เวลล์พูดเสียงดัง “ชอบสรุปล่วงหน้าดีนักยังไม่ทันรู้เลยว่าอะไรเป็นอะไร เวลานี้ที่สถาบันมีโบราณวัตถุอยู่กว่าเจ็ดหมื่นชิ้น เราย่อมต้องการเนื้อที่มากกว่านั้นด้วย ฉันยังแปลกใจเลยที่ไม่เห็นคุณผลักดันเรื่องนี้เพื่อประโยชน์ของเรา”
เดฟทำสีหน้าเหมือนไม่ได้ยินที่เธอพูดออกมาเลยแม้แต่คำเดียว ถ้าฉันเป็นมาร์กาเร็ตในตอนนี้คงตบหน้าเข้าให้สักฉาดแน่ ดูเหมือนเขาไม่สนใจว่าจะมีเธอยืนรวมอยู่ในที่นั้นด้วยซ้ำ แต่พอลยกแขนขึ้นโอบไหล่มาร์กาเร็ตไว้
“เขาก็ไม่ถึงกับรีบด่วนสรุปอะไรนักหรอกนะมาร์กาเร็ต มันเป็นความจริงอยู่เหมือนกันที่ว่าเรายังไม่รู้แน่ชัดเลยว่ามีอะไรอยู่ในห้องใต้ดินนั่น...”
“เพราะเหตุนี้ไงล่ะผมถึงได้บอกว่าก่อนอื่นเราควรจะทำบัญชีรายการสิ่งของต่างๆ ให้ละเอียดแล้วก็เป็นหลักเป็นฐานเสียก่อน” เดฟว่า “คุณเห็นจะต้องให้ความร่วมมือกับเราเสียแล้วละพอล เราจะต้องขุดค้นในห้องใต้ดินนั้นด้วยมือทั้งสองของเราเอง เราต้องการคนทำงานเพิ่มขึ้น เวลานี้เราไม่รู้เลยว่าตัวเองมีอะไรอยู่บ้าง ฮัสเคลล์เองก็ไม่ควรจะทำอยู่แต่แค่บัญชีของเก่านั้น...เอ๊ะ...ฮัสเคลล์นั่นเป็นอะไรไป?”
สิ่งที่เกิดตามมาก็คือน้ำชาจากในถ้วยหกราดลงบนพื้นห้อง พอลกระชากถ้วยไปจากมือฉันอย่างตกใจ
“ฮัสเคลล์...”
ใบหน้าของเขาเหมือนลอยเลื่อนห่างออกไปจากฉันทุกที มันคล้ายกับเรามองหน้าใครคนหนึ่งจากกล้องส่องทางไกลด้านผิด ฉันรู้สึกว่ามีมือมาโอบอยู่บนไหล่ สัมผัสนั้นช่างบางเบาเหมือนใยแมงมุม และพื้นห้องที่รองรับร่างก็ยุบยวบลงไป อาการปั่นป่วนบังเกิดขึ้นภายในขณะที่ฉันรู้สึกเหมือนร่างลอยล่องไปในอากาศ จาก ณ ที่ไกลแสนไกลมีเสียงใครหลายคนพูดว่า
“คงจะเมาละมั้ง...เด็กคนนี้เมาแน่...ตายแล้ว ไม่น่าเป็นไปได้เลย”
มีใบหน้าของใครหลายคนวูบวาบอยู่เหนือร่าง ทุกใบหน้านั้นเปล่งแววตำหนิติเตียน และบางคนก็หัวเราะอย่างปราศจากความเห็นอกเห็นใจ มีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า
“เมาจริงๆ ด้วย ทุเรศที่สุด...ก็น่าจะรู้นี่นาไม่น่าเชิญมาร่วมงานด้วยเลย...”
แต่ทันใดก็มีเสียงใครคนหนึ่งดังขึ้นเหนือเสียงของทุกคน เป็นเสียงของผู้ชายที่เปี่ยมด้วยความกังวลห่วงใย
“เด็กคนนี้ไม่ได้เมาหรอก...กำลังไม่สบายอย่างมาก...ช่วยกัน...”
“ช่วย...ด้วย...” ฉันคิดว่าตัวเองได้เปล่งเสียงร้องออกมาอย่างนั้น ก่อนจะตกลงสู่ความมืดดำอันน่ากลัว...
ฉันมีความรู้สึกเหมือนใครเอาเชือกมาผูกที่หัวแล้วก็บิดปมให้มันตึงเขม็งขึ้นทำให้มองเห็นภาพน่ากลัวๆ ต่างๆ นานา โดยเฉพาะภาพการกระทำทรมานในยุคกลาง เพชฌฆาตจะเอาท่อนไม้ใส่เข้าไปในบ่วงแล้วก็บิดแรงๆ จนกระทั่งคมเชือกกัดเข้าไปในเนื้อหนังของผู้เคราะห์ร้าย ฉันพยายามตะโกนออกไปว่า
“หยุด...บอกให้เขาหยุดที อย่าทรมานกันอีกเลย” แต่ไม่มีเสียงหลุดรอดออกมาจากปากที่แห้งกรัง สมองอื้ออึงด้วยความปวดร้าวและหูก็แว่วแต่ศัพท์สำเนียงเยาะหยันซึ่งฉันไม่คิดอยากจะจดจำ ทุกครั้งที่อาเจียนออกมามันเหมือนสมองแยกออกเป็นเสี่ยงๆ และแล้วก็กระแทกกลับเข้ามารวมตัวกันใหม่ ในที่สุดก็ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า
“ได้อาเจียนอย่างนี้เดี๋ยวก็จะค่อยยังชั่วขึ้น” แล้วฉันก็เป็นลมหมดสติไปอีก
เมื่อลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้ง อาการปวดหัวหายไปแล้วเหลือแต่เพียงมึนๆ ฉันแทบจะไม่กล้าลืมตาด้วยเกรงว่าถ้ามีความเคลื่อนไหวแม้แต่เพียงเล็กน้อยเกิดขึ้นจะทำให้อาการดังกล่าวกลับมาอีก แต่เมื่อค่อยๆ ลืมตาขึ้นทีละข้างก็พบว่า ตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องๆ หนึ่งซึ่งแปลกตามาก แต่ก็สังเกตอะไรไม่ได้ถี่ถ้วนนักเพราะภายในห้องนั้นเปิดไฟไว้เพียงดวงเดียวและก็อยู่ห่างจากเตียงที่กำลังนอนอยู่มาก รู้แต่ว่าเตียงนอนนั้นค่อนข้างใหญ่และอ่อนนุ่มน่าซุกหลับยิ่งนัก
ทันทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้ากับเสียงกระซิบกระซาบเบาๆ มีใบหน้าของใครคนหนึ่งก้มลงมามอง ฉันก็ขยับตัวอย่างระแวง และแล้วก็รู้ว่าเป็นมิสซิสดันแลพนั่นเอง เธอยังอยู่ในชุดค่ำสีชมพู สีหน้าอ่อนโยนนักเมื่อถามขึ้นว่า
“รู้สึกเป็นยังไงบ้างล่ะ?”
จากนั้นเธอก็ทรุดตัวลงนั่งในเก้าอี้ เอื้อมมากุมมือฉันไว้
“หมอบอกว่าอาการที่เกิดขึ้นกับเธอเป็นอาการแพ้ต่ออะไรบางอย่าง เธอดื่มอะไรเข้าไปล่ะ?”
“ดิฉันไม่ได้เมานะคะ” ฉันรีบกล่าวแก้ทันที “จริงๆ ค่ะ ไม่ได้เมาเลย ดิฉันดื่มเชอรี่เข้าไปแก้วเดียว แล้วก็มีสก๊อตนิดหน่อย ตอนที่คาร์ลเอาเครื่องดื่มมาให้นั่นน่ะดิฉันก็เพียงแต่จิบเท่านั้น หลังจากนั้นก็ดื่มชาร้อน...”
“เอาละไม่ต้องพูดหรอกนะ ฉันเชื่อเธอ”
“แต่ดูเหมือนด็อกเตอร์...แม็กซ์เวลล์...จะคิดว่า...”
“อย่าเข้าใจผิดเลยนะไม่มีใครเขาตำหนิเธอหรอก ฉันเองก็เพียงแต่รู้สึกเสียใจที่มีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นที่นี่ ยังโชคดีนะที่หมอพอฟเฟนเบอร์เกอร์ก็อยู่ในบ้านด้วยเพราะเขามาเยี่ยมพ่อพอดี เขายังให้คำรับรองกับฉันเลยว่าเธอจะไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก”
“แล้วตอนนี้ดิฉันอยู่ที่ไหนคะนี่?”
“นึกแล้วเชียว” มิสซิสดันแลพหัวเราะอย่างขบขัน “พอลืมตาขึ้นได้ก็ตั้งคำถามเชียวหรือนี่? เมื่อถามก็ต้องตอบสิจริงไหม ตอนนี้เธอกำลังนอนอยู่ในห้องพักสำหรับแขก คาร์ลเป็นคนอุ้มเธอขึ้นมาบนนี้”
“งั้นดิฉันเห็นจะต้องขอตัวกลับล่ะค่ะ” ฉันพึมพำออกมา “ไม่อยากรบกวนคุณ และคุณก็ยังมีแขกเหรื่อที่จะต้องรับรอง...”
“ไม่ได้รบกวนอะไรหรอกและฉันก็ไม่เห็นด้วยเลยที่คืนนี้เธอจะกลับไปนอนที่บ้านเล็กนั่น นอนเสียที่นี่ก็แล้วกัน ฉันจะให้สาวใช้คนหนึ่งขึ้นมานั่งเป็นเพื่อนเผื่อว่าเธอจะอยากได้อะไร ฉันเห็นจะต้องไปบอกให้พอลรู้ว่าเธอค่อยยังชั่วขึ้นแล้วเพราะเขาเป็นห่วงอยู่...อ้อ...มาพอดี”
ฉันใกล้จะหลับอยู่แล้วแต่กระนั้นก็ยังอดพึมพำด้วยความกังวลในตัวเองไม่ได้
“อย่าให้เขาเห็นดิฉันเลยค่ะ...มัน...ไม่น่าดู...”
เสียงหัวเราะราวระฆังเงินดังขึ้นประสมประสานอยู่กับเสียงทุ้มๆ ของผู้ชายคนหนึ่ง มันเป็นน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความกังวล ความห่วงใย ฟังแล้วรู้สึกอบอุ่นในหัวใจยิ่งนัก หลังจากนั้นฉันก็ผล็อยหลับไป
