บทที่ 6
“ฉันติดใจห้องนี้ทุกครั้งที่มาที่นี่” มาร์กาเร็ต แม็กซ์เวลล์เอ่ยขึ้นบ้าง วางแก้วที่ถืออยู่ในมือลงบนโต๊ะ เอื้อมมือทั้งสองไปหยิบคานาเป้จากถาดมาถือไว้ มิสซิสดันแลพจึงเลื่อนแก้วไปเสียทางหนึ่ง พยักหน้าให้สาวใช้วางถาดคานาเป้ลงบนโต๊ะตัวนั้น
“เธอก็รู้นี่มาร์กาเร็ตว่าห้องนี้เป็นห้องโปรดของฉัน ถ้าเมื่อไหร่ฉันต้องย้ายออกไปจากบ้านหลังนี้มันจะเป็นห้องเดียวที่ฉันคิดถึงแน่นอน”
“แหม...แต่กว่าจะถึงเวลานั้นก็อีกตั้งนาน” แม็กซ์เวลล์ว่า คราบน้ำสลัดติดอยู่ข้างริมฝีปากและเธอก็แลบลิ้นเลียมันออก ตลอดเวลานั้นดูเหมือนเธอจะไม่ได้ละสายตาจากใบหน้าฉันเลย แต่ก็ไม่เคยพูดกับฉันโดยตรง
“ก็หวังไว้อย่างนั้นเหมือนกัน...แต่ไม่ว่ามันจะช้าหรือเร็วก็ตามที...”
“ตอนนี้คุณนาซาเรี่ยนอาการเป็นยังไงบ้างคะ?”
“อาการพ่อดีขึ้นอย่างน่าแปลกใจเชียวล่ะ” มิสซิสดันแลพตอบ “ที่ฉันจัดงานครั้งนี้ขึ้นก็เป็นเพราะพ่อยืนยันให้จัดนะ คิดดูสิมาร์กาเร็ตพ่อยังบอกว่าจะลงมาร่วมงานกับเราด้วยเลย แต่หมอไม่ยอมอย่างแน่นอน”
“ฉันไม่แปลกใจหรอก” มาร์กาเร็ต แม็กซ์เวลล์พูดโดยยังมองหน้าฉันอยู่อย่างเดิม “พ่อเธอไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆ มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
“รู้สึกว่าเธอรู้จักพ่อดีจังนะ” มิสซิสดันแลพว่า
“ยี่สิบปีเห็นจะได้มั้ง... ถ้าจะให้ถูกเผงก็ยี่สิบสามปีนั่นแหละ”
สายตาคู่นั้นสร้างความอึดอัดใจให้ฉันอย่างประหลาด เมื่อเชอรี่ในแก้วหมดลงมิสซิสดันแลพก็ช่วยเติมให้ทั้งของฉันและของตัวเธอเอง
“ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าจะผ่านไปนานขนาดนั้น” เธอพูดอย่างรำลึกถึงความหลัง “ฉันไม่เคยลืมวันที่พวกเธอทุกคนมาที่นี่เลย ทั้งน้องชายฉันสตีเฟ่น...แล้วก็ยังเดวิด...ที่รักของเราทุกคน และก็มีเธอด้วยมาร์กาเร็ต...รวมทั้งแม่เธอด้วยนะฮัสเคลล์ นอกจากนั้นก็ยังมีหนุ่มๆ อีกสองสามคนซึ่งฉันก็จำชื่อไม่ได้แล้ว ตอนนั้นฉันเพิ่งแต่งงานใหม่ๆ กำลังมีความสุขอย่างมาก...”
น้ำเสียงที่พูดขาดหายไปเมื่อก้อนสะอื้นขึ้นมาติดอยู่ในลำคอ มิสซิสดันแลพพยายามสูดลมหายใจลึกเข้าไว้
“อย่าไปพูดถึงมันอีกเลย” มาร์กาเร็ตพูดด้วยน้ำเสียงขื่นๆ
“แต่ฉันกลับชอบคิดถึงมันนะมาร์กาเร็ต สมัยนั้นพวกเรายังหนุ่มสาวกันอยู่ มีอนาคตสดใสรออยู่ข้างหน้า แต่มันก็ออกจะไม่ใคร่ยุติธรรมเท่าไหร่นักที่ฉันมีชีวิตที่เป็นสุขอย่างที่สุด ขณะที่สตีเฟ่น...”
“เขาเป็นคนดีมากจริงๆ แคทเธอรีน” มาร์กาเร็ตตบหลังมือเธอเบาๆ อย่างปลอบโยน “เราทุกคนต่างก็รักเขาทั้งนั้น แต่อาจจะเป็นเพราะเขาหลงผิดไป...ถึงกระนั้นเขาก็เป็นคนน่ารักสำหรับเราอยู่ดี”
“ใช่” มิสซิสดันแลพยกผ้าเช็ดหน้าผืนบางขึ้นซับน้ำตา “เขามันนักอุดมคติ ยังหนุ่มๆ ก็เลยถูกชักจูงง่าย...สตีเฟ่น...เขาเป็นคนน่าสงสารจริงๆ”
ฉันมีความรู้สึกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้มันเป็นเสมือนกิจวัตรมากกว่า คำพูดทุกคำที่มีมิสซิสดันแลพกล่าวออกมานั้นเหมือนบทท่องจำ และฉันออกจะอายที่จะต้องยอมรับว่าปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในใจนั้นมันไม่ได้มีความเห็นใจเลย พูดออกมาได้ว่าสตีเฟ่นผู้น่าสงสารเป็นนักอุดมคติ การที่เขาฆ่าผู้บริสุทธิ์ไปตั้งมากมายนั่นหรือคือการแสดงออกของคนที่มีอุดมการณ์อันสูงส่ง ก็แล้วลีชผู้น่าสงสารล่ะ? มิสซิสดันแลพก็เหมือนกับยายของฉันนั่นเอง ไม่เพียงแต่ฝังชีวิตให้จมอยู่กับอดีตเท่านั้นแต่ยังเขียนมันขึ้นมาใหม่เพื่อให้เข้ากับความฝันของตัวเองอีกด้วย
แต่ขณะนี้ดวงตาของเธอยังฉ่ำชื้นด้วยหยาดน้ำตา สายตาเหม่อลอยและมาร์กาเร็ต แม็กซ์เวลล์ก็นั่งตบหลังมือปลอบใจไปเรื่อยๆ พูดจาปลอบโยนไปพลาง เหลือบตามองฉันเหมือนเคยเข่นฆ่ากันมาตั้งแต่ชาติปางก่อนไปพลาง ฉันรู้สึกโล่งใจอย่างประหลาดเมื่อเดฟเดินตรงเข้ามาหา
“เอ้า...ยืนขึ้นได้แล้วฮัสเคลล์ นั่งมานานแล้วนี่...”
“ใช่ เขาควรจะได้รู้จักกับคนอื่นๆ บ้าง” มิสซิสดันแลพพูดยิ้มๆ “ฉันไม่ควรเอาเขามาครองไว้เสียคนเดียวหรอก”
เดฟพาฉันเดินไปหยุดอยู่ใกล้กับหน้าต่างบานหนึ่ง ซึ่งม่านถูกรูดปิดบังแสงสุดท้ายแห่งดวงอาทิตย์ไว้ แต่ฉันก็ยังแว่วเสียงฝนที่สาดกระทบทางหน้าต่างอยู่
“เอ้า...” เดฟเอาแก้วที่ถืออยู่ใส่เข้ามาในมือฉัน เมื่อก้มลงดูก็เห็นว่าเป็นน้ำสีเหลืองเข้มมีน้ำแข็งลอยอยู่ไม่กี่ก้อน ฉันจึงปฏิเสธ
“ดิฉันดื่มเชอรี่ค่ะอาจารย์”
“ฉันว่าเธอไปนั่งฟังบทสนทนาแบบนั้นมาแล้วละก็ควรจะดื่มอะไรที่มันแรงกว่านี้สักหน่อยนะ เมื่อกี้นี้เขากำลังพูดถึงสตีฟกันอยู่ใช่ไหมล่ะ?”
“เอ๊ะ...อาจารย์รู้ได้ยังไงคะ?” เหล้าแก้วนั้นผ่านลำคอเข้าไปอย่างง่ายดายและใจคอฉันก็ค่อยดีขึ้นมาก
“ก็เห็นคุณนายดันแลพทำสีหน้าเศร้าๆ” เดฟพูดอย่างไม่คำนึงถึงมารยาท “แล้วเม็กก็ตบหลังมือเป็นการปลอบโยนอยู่เหมือนหุ่นยนต์ไม่มีผิด เฮ้อ...ที่จริงฉันก็ไม่ควรพูดจาถึงเขาแบบนี้หรอกนะ เพราะว่ามันเป็นความอ่อนแอของเขาเอง แต่ฉันไม่ชอบเห็นใครคร่ำครวญถึงคนที่ตายไปแล้วอยู่อย่างไม่รู้จบสิ้นอย่างนี้”
“หรือแม้แต่จะเป็นผู้หญิงก็ตามหรือคะอาจารย์?”
“ใช่ แม้แต่ผู้หญิงก็เถอะ ฟังไว้นะ ถ้าเมื่อไหร่ฉันเห็นเธอทำสีหน้าอย่างนั้นละก็จะจับเฆี่ยนด้วยเข็มขัดจริงๆ และถ้าลีรู้เขาก็จะเฆี่ยนเธอด้วย ลีไม่ใช่นักบุญหรือพยายามแอบอ้างว่าตัวเองเป็นนักบุญหรอกนะ เขาเป็นคนธรรมดาๆ”
“ใช่ค่ะ”
“ฉันไม่เคยเห็นใครมีความสุขอย่างเขาเลยในปีสุดท้ายที่เขามีชีวิตอยู่นะ” เดฟพูดด้วยสีหน้าครุ่นคิด “เขาเป็นคนมีชีวิตจิตใจอย่างประหลาดซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอะไรนักหรอก ทั้งๆ ที่ชีวิตในวัยเด็กเขาไม่ค่อยจะมีความสุขเท่าไรนัก”
“อาจารย์รู้เรื่องนั้นด้วยหรือคะ?”
“อ๋อ ก็ต้องรู้สิ ฉันกับลีคุยกันบ่อยไป ฉันเป็นเพื่อนสนิทเขาเสียด้วยซ้ำ”
“แล้วอาจารย์เคยหลงรักแม่ไหมคะ?” ฉันถามออกไปโดยไม่สนใจว่าเขาจะแคร์หรือไม่ ปรากฏว่าเดฟไม่แคร์เลยแม้แต่น้อย
“ไม่หรอก...ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่น่าแปลกอยู่เหมือนกันนะ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมฉันถึงไม่คิดรักเขา บางทีอาจจะหลงตัวเองมากเกินไปหน่อยมั้ง แม่เธอน่ะเขาเป็นคนดีมาก เราเป็นนักศึกษาที่หัวดีที่สุดในคณะก็ว่าได้ ไม่ใช่แต่เราสองคนเท่านั้นที่รู้ ใครๆ เขาก็รู้กันทั้งนั้น ฉันแข่งกับเพื่อนได้แต่แข่งกับคู่รักไม่ได้ คงจะเป็นเหตุผลนี้ละมังฉันถึงไม่รักเขา”
“แต่อย่างน้อยอาจารย์ก็เป็นคนจริงใจที่สุดละค่ะ”
เดฟทำหน้านิ่ว ดูเหมือนเขากำลังรำคาญที่มือตัวเองว่างเปล่าและอยากจะกินเหล้าต่ออีกสักแก้ว
“ฉันต้องใช้เวลาอยู่หลายปีถึงได้รู้ใจตัวเอง ตอนนั้นมันยอมรับไม่ได้หรอก ฉันยังหนุ่มอนาคตก็ไม่มั่นคงอะไร เเต่ถ้าฉันมีสามัญสำนึกในตอนนั้นเหมือนที่มีอยู่ในตอนนี้...แต่ช่างเถอะ ถึงยังไงมันก็ไม่ได้ผลหรอก เขาเองก็ไม่ได้ชอบฉันแบบนั้นอยู่แล้ว”
“แล้วแม่ชอบสตีฟหรือเปล่าคะ?”
“สตีฟกับลีชน่ะหรือ?” เดฟพิจารณาคำถามของฉันอยู่ “ไม่รู้สินะ เพราะเขาไม่เคยพูดเรื่องนี้ให้ฉันฟังเลยนี่ บางอย่างลีก็มักจะเก็บไว้เป็นความลับส่วนตัวเหมือนกัน แต่ฉันเดาเอาว่าสตีฟรักเขามากนะ แต่ก็รักตามแบบของสตีฟนั่นแหละ คนอย่างเขาไม่มีความสามารถจะรักผู้หญิงอย่างโรแมนติกหรอก อารมณ์กับความรู้สึกของเขามันออกจากรุนแรงแล้วก็มุ่งไปในเรื่องความเกลียดชังมากกว่า”
“อาจารย์หมายถึงพ่อเขาใช่ไหมคะ?”
“ใช่ ตาเฒ่านั่นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรคือแรงผลักดันที่ทำให้ลูกชายต้องเป็นไปได้ถึงขนาดนั้น แทนที่มันจะเป็นไปเพราะความรัก มันกลับเป็นไปเพราะความเกลียดชังในตัวคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อ และในที่สุดเพราะแรงผลักดันนั่นแหละที่ทำให้เขาต้องไปพบกับจุดจบของชีวิต” เดฟส่ายศีรษะช้าๆ เหมือนไม่เข้าใจอะไรเลย “เอาละ เราพักเรื่องนี้ไว้ก่อนดีกว่า เห็นเขาเล่าให้ฉันฟังว่าเธอหน้างออยู่ทั้งอาทิตย์ เพราะเราทุกคนต่างทอดทิ้งเธอไปหมด เธอนี่ช่างไม่มีเหตุผลเสียเลยนะ”
“คาร์ลปากมากต่างหากล่ะคะ ที่เก็บเอาเรื่องเล็กน้อยอย่างนี้ไปเล่าให้อาจารย์ฟัง”
“ทำไมไม่ว่าใส่หน้าผมเองล่ะ? เดฟเป็นฝ่ายเห็นคาร์ลที่เดินเข้ามาใกล้ แต่ฉันไม่เห็นเพราะยืนหันหลังให้เขาอยู่ ทันทีที่ได้ยินเสียงพูดดังขึ้นฉันก็หันขวับไปมอง
“ฉันว่า...คุณน่ะยุ่งไม่เข้า...”
“ผมได้ยินที่คุณพูดหมดแล้วละน่า และผมก็เล่าให้ฟังด้วยว่าคุณทำงานได้ดีมาก”
“งั้นเหรอ...เอาเถอะ ถ้าคุณพูดอย่างนั้นจริงฉันจะยอมยกโทษให้”
“ไปหาอะไรมาให้เราดื่มอีกสักหน่อยไป” เดฟหันไปสั่งคาร์ล
“ฉันไม่เอาแล้วนะคะ”
