บทที่ 4
เกือบจะเที่ยงคืนแล้วตอนที่เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูและบอกว่าเขาควรจะกลับเสียที
“เขาว่ากันว่าอารมณ์รักของคนเราจะเกิดระหว่างเที่ยงคืนถึงหกโมงเช้า ผมไม่อยากให้ตัวเองเสียชื่อเสียงกับเรื่องนั้น เพราะฉันนั้นเห็นจะไม่เสี่ยงอยู่ต่อแล้วนะ”
“คุณน่ะดีแต่ว่าคนอื่นเขาว่าตื่นกลัวไม่เข้าเรื่อง คุณเคยคิดบ้างหรือเปล่าว่าบางทีคุณนายดันแลพอาจจะสั่งให้คนลงบันทึกไว้ก็ได้ว่าคุณไปไหนมาไหนบ้างแล้วก็เข้าออกกี่โมง”
“คนเราไม่ควรจะต้องระมัดระวังตัวเองมากเกินไปนักหรอก” คาร์ลว่า “ว่าแต่พรุ่งนี้คุณจะไปงานเลี้ยงน้ำชาเขาหรือเปล่าล่ะ?”
“ไปสิ ว่าแต่มันเป็นงานเลี้ยงน้ำชาจริงๆ น่ะหรือ?”
“ก็คงมีคนที่เขาไม่อยากกินแต่น้ำชาด้วยละมัง คุณนายดันแลพชอบจัดงานปาร์ตี้เล็กๆ อย่างนี้อยู่บ่อยๆ ก็เป็นไปตามธรรมเนียมของบ้านนี้ ท่านผู้เฒ่าน่ะจัดเดือนละสองครั้ง”
ซึ่งแม่อาจจะเคยเป็นแขกของงานปาร์ตี้เล็กๆ เช่นนี้มาบ้างแล้วก็ได้ มีคนพูดอยู่แล้วไม่ใช่หรือว่าไม่มีใครจะขัดหรือปฏิเสธคำเชิญของวิคเตอร์ นาซาเรี่ยนได้?
“งั้นพบกันพรุ่งนี้นะ” คาร์ลหันมาบอกก่อนที่จะออกประตูไป
“โอเค ขอบคุณมากนะสำหรับวันนี้ ฉันสนุกมากทีเดียว”
“ผมเองก็เหมือนกัน เอาไว้คราวหน้าจะชวนคุณไปเที่ยวสวนสัตว์บรู๊คฟิลด์สักที เออ...ว่าแต่เราไปทัวร์แหล่งฆาตกรรมกันบ้างดีไหมล่ะ อย่างเช่นที่อู่รถที่เคยมีการสังหารหมู่เกิดขึ้นตอนวันเซนต์วาเลนไทน์ หรือไม่ก็ซอยแคบๆ ที่นอร์ธ ลินคอร์นที่ดิลลิงเยอร์เคยถูกยิงทิ้งมาแล้ว แล้วก็ที่อื่นๆ อีก”
“ฟังแล้วอยากไปเร็วๆ” ฉันตอบเป็นคำสุดท้าย
ฉันเปิดประตูทิ้งไว้เพื่อที่แสงไฟจากในบ้านจะได้ช่วยส่องให้เขามองเห็นทางเดินกลับบ้านได้ หลังจากที่ปิดประตูใส่กุญแจเรียบร้อยแล้วฉันก็หยิบซองมนิลาออกมาจากกระเป๋าเสื้อผ้า ตรวจตราเอกสารทุกชิ้นอย่างถี่ถ้วนอีกครั้งก็เห็นว่ายังอยู่ครบถ้วนครบครัน แต่ฉันไม่สงสัยเลยว่าจะต้องมีใครอีกคนหนึ่งที่ได้ทำอย่างเดียวกับที่ฉันทำอยู่ในขณะนี้เมื่อตอนหัวค่ำ
ฉันอาจจะมองไม่เห็นหน้าตาเขา แต่ก็มองเห็นภาพว่าเขาจะต้องนั่งอยู่บนเก้าอี้นวมและตรวจตราเอกสารของฉันตามสบาย สิ่งที่มันข้องอยู่ในใจก็คือ ทำไมพวกเขาจึงจะต้องรอจนกระทั่งถึงวันนี้จึงได้เริ่มทำการสอบสวนทั้งที่ฉันก็ออกจากบ้านหลังนี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตามการออกจากบ้านทุกวันของฉันมันก็เป็นเพียงแค่การเดินทางระยะใกล้ที่ใช้เวลาไม่ถึงนาที คนที่บุกรุกเข้ามาไม่อาจคำนวณเวลาได้ว่าฉันจะกลับมาเมื่อไหร่ มันเป็นไปได้ที่ฉันจะกลับมากินอาหารกลางวันที่บ้านหรือไม่ก็กลับมาเอาของที่ลืมไว้ ครั้งนี้และวันนี้เป็นครั้งแรกที่ฉันออกไปนอกบริเวณบ้าน เพราะฉะนั้นเขาย่อมมีเวลาเหลือเฟือ
มันเป็นเหตุบังเอิญจริงๆ น่ะหรือที่ทำให้คาร์ลชวนฉันออกไปข้างนอก และถ่วงเวลาการกลับไว้จนกระทั่งเมื่อมันมืดค่ำมากแล้ว?
ในท่ามกลางแสงแห่งราตรีที่เยียบเย็นฉันตัดสินว่าความระแวงสงสัยที่มีต่อคาร์ลเป็นเรื่องไร้สาระอย่างที่สุด เขาเป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยรู้จักแม่มาก่อน ตอนที่แม่ตายเขาเพิ่งอายุอย่างมากก็หกขวบเท่านั้น คนที่บุกรุกเข้ามาน่าจะเป็นคนที่รู้จักแม่อยู่บ้างและถ้าเป็นคนแปลกหน้าก็ย่อมไม่มีทางผ่านเข้ามาในอาณาบริเวณของคฤหาสน์หลังนี้ได้ คนแปลกหน้าก็ไม่มีกุญแจที่จะไขเข้ามาในบ้านหลังนี้
หรือว่าคนที่บุกรุกเข้ามาจะเป็นยามรักษาการณ์ที่ทำตามคำสั่งของเจ้านาย ถ้าเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่าบัดนี้นาซาเรี่ยนรู้แล้วว่าฉันเป็นใครตามที่อ้างไว้ อย่างไรก็ตามหลักการที่ฉันกำลังคาดคิดอยู่ในเวลานี้มันก็ดูไร้เหตุผลอีก เพราะถ้านาซาเรี่ยนต้องการจะรู้ความเป็นไปของฉันจริง เพียงแค่ตั้งคำถามเขาก็จะได้รู้คำตอบแล้ว
สภาพอากาศในยามนี้เหมือนเดือนมีนาคมมากกว่าจะเป็นกลางเดือนมิถุนายน ฉันพบว่าแม้จะเป็นวันอาทิตย์แต่โรงซักผ้าก็เปิดอยู่ ตอนที่ฉันใส่เสื้อผ้าลงไปในเครื่องซักก็อดคิดทบทวนภาพพจน์ของตัวเองด้วยความขบขันไม่ได้
ฉันได้เข้ามาอยู่ในบ้านของมหาเศรษฐีที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ท่ามกลางความชำรุดทรุดโทรม ความยากไร้และความสิ้นหวัง มีสาวใช้คอยให้บริการที่ดีอยู่ทุกวัน มียามรักษาการณ์ที่เข้มแข็งคอยปกป้องคุ้มครองให้ความปลอดภัยกับฉัน แต่กระนั้นฉันก็ยังต้องกินอาหารประเภทเครื่องกระป๋องแล้วก็ซักผ้าด้วยตัวเอง ซึ่งที่จริงสิ่งที่ฉันได้รับอยู่มันก็เกินแก่ฐานะและไม่สมควรจะต้องมาน้อยเนื้อต่ำใจแต่อย่างใดด้วย
แต่สภาพที่ขัดแย้งนั้นมันไม่ได้เกิดอยู่เพียงแค่ที่ตัวฉันเท่านั้น ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่มันเกิดขึ้นอยู่ในบริเวณคฤหาสน์นาซาเรี่ยนแห่งนี้ ยกตัวอย่างเช่นกระท่อมสามหลังนั่นเป็นต้น หรือสวนไม้ดอกที่ไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างดีเช่นที่ฉันเคยคาดหมายไว้ เห็นได้ชัดว่าทั้งมิสซิสดันแลพและสามีของเธอไม่ใช่คนจู้จี้อะไรนัก ไม่มีเหตุผลที่คนทั้งสองจะต้องแคร์อะไรถ้าทั้งบ้านและที่ดินแห่งนี้จะต้องถูกยกให้เป็นสมบัติของมูลนิธิต่อไปในวันข้างหน้า
ถ้าจะว่ากันตามความจริงแล้วทั้งสองสามีภรรยาอาจจะรอวันที่ตนเองจะได้โยกย้ายนิวาสสถานออกไปจากที่นี่เสียด้วยซ้ำ ซึ่งวันเวลาดังกล่าวคงจะมาถึงในอีกไม่นานเกินรอ
นอกจากเรื่องการซักผ้าแล้วเช้าวันนั้นฉันจำเป็นต้องออกจากบ้านก็เพื่อต่อโทรศัพท์ไปหาจอนจากโทรศัพท์สาธารณะ โทรศัพท์ที่มีอยู่ในโรงซักผ้าใช้การไม่ได้ เนื่องจากไม่มีผู้ใดจะช่วยดูแลเกี่ยวกับเรื่องเสื้อผ้าให้ดังนั้นฉันจึงต้องรออยู่จนกว่าจะซักผ้าเสร็จ เพราะไม่อยากให้หายโดยไม่จำเป็น เมื่อเครื่องอบผ้าหยุดทำงานลงฉันก็หอบมันออกมาแล้วก็ออกหาโทรศัพท์ เมื่อพบเข้าที่ร้านขายยาก็รีบต่อไปหาเขาทันที
จอนไม่ได้พักอยู่ที่โรงแรม เสียงจากปลายสายที่ตอบมาเป็นเสียงหญิงสาว เมื่อฉันถามหาจอนหล่อนก็อึ้งไปเป็นครู่ก่อนจะพูดห้วนๆ ว่า
“รอเดี๋ยว” และยังคงถือหูโทรศัพท์ไว้ตอนที่เรียกเขา “จอน...จอนขา...โทรศัพท์ของคุณค่ะ”
ฉันไม่ได้ถามว่าเขาพักอยู่ที่ไหนเพราะมันไม่ใช่ธุระกงการของฉันเลยแม้แต่น้อย แต่ก็อดกระแนะกระแหนด้วยคำพูดเป็นเชิงขอโทษที่โทรมารบกวนเขาไม่ได้ เพียงแต่จอนไม่สนใจจะตอบโต้กับฉันเท่านั้น
“ไม่เป็นไรหรอก เพราะผมรู้อยู่แล้วว่าคุณจะโทรกลับมา”
ฉันได้ยินเสียงพูดเสียงเพลงดังมาตามสาย เสียงคนหัวเราะกันดังลั่นโดยเฉพาะเสียงหัวเราะของผู้หญิงคนหนึ่งที่ออกจะแหลมกว่าใครเหมือนดัดจริตไม่มีผิด คงจะเป็นเสียงของผู้หญิงคนที่มารับสายเมื่อครู่นี้นั่นเอง
“เย็นนี้คุณออกมากินอาหารกับผมหน่อยได้มั้ยล่ะ?” จอนไม่รอช้าให้เสียเวลาเลย
“เห็นจะไม่ได้หรอกค่ะ เพราะคุณนายดันแลพชวนฉันไปงานปาร์ตี้ จะมีคณะกรรมการของมูลนิธิเขามาด้วย งานคงเริ่มตั้งแต่ห้าโมงเย็น และฉันก็ไม่รู้ว่าจะต้องอยู่ในงานนานสักแค่ไหน...”
“ไม่เป็นไร แล้วเย็นพรุ่งนี้ล่ะ?”
“คิดว่าได้ค่ะ ว่าแต่คุณ...”
“ขอโทษเดี๋ยวนะ” พอเขาพยายามปิดปากกระบอกโทรศัพท์แต่ดูจะไม่สำเร็จเพราะเสียงแหลมเล็กนั่นลอดเข้ามาในสายจนได้ “เร็วๆ เข้าเถอะจอน ป่านนี้คนอื่นเขาไปถึงคลับหมดแล้วนะ” ฉันไม่ได้ยินคำตอบของเขา แต่แล้วเขาก็กลับมาพูดกับฉันว่า “ผมจะไปรับคุณสักหกโมงนะ เร็วไปหรือเปล่า?”
“ไม่หรอกค่ะ...แต่...เอ้อ...ให้ฉันเป็นฝ่ายไปหาคุณไม่ดีกว่าหรือคะ?”
“ผมมีเหตุผลมากมายทีเดียวเพราะฉะนั้นผมเป็นฝ่ายไปรับดีกว่า” จอนบอกด้วยเสียงที่เด็ดขาดและเต็มไปด้วยเหตุผลอย่างที่ฟังแล้วชวนหงุดหงิดใจ
“คุณคงเข้าไปไม่ได้หรอก”
“ผมเคยเข้าไปในสถานที่ที่มันมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายรักษาความปลอดภัยมากกว่านี้ตั้งหลายเท่าด้วยซ้ำ”
“แต่สำหรับที่นี่ฉันยังสงสัยนะ”
“อะไรกัน มันแย่ขนาดนั้นเชียวหรือ? ทำไมคุณไม่บอกเขาล่ะว่านัดผมไว้ รับรองนะว่าผมจะเอาปืนกลเก็บไว้บ้าน”
ฉันรู้จักน้ำเสียงนี้ดี รู้ว่าถึงจะเถียงไปก็เปล่าประโยชน์
“งั้นฉันจะมารอพบคุณอยู่ตรงหน้าประตูก็แล้วกัน เอาเป็นว่าเราพบกันตอนหกโมงเย็นก็แล้วกันนะ ว่าแต่คุณคงไม่ทำให้ฉันต้องกระวนกระวายใจจนกว่าจะถึงพรุ่งนี้เย็นใช่ไหมคะจอน คุณมีโอกาสได้พูดกับตำรวจในอินเดียน่ามาบ้างหรือยัง?”
“พูดแล้ว แต่ผมอยากจะคุยเรื่องนี้กับคุณอย่างเป็นการส่วนตัวมากกว่า”
“โธ่...จอน...หยุดพูดเสียทีเถอะน่า...” ฉันได้ยินเสียงเจ้าหล่อนกรีดร้องใส่เข้ามาในสาย สงสัยว่าหล่อนคงยืนรออยู่ข้างเขานั่นเอง เมื่อมีผู้หญิงมาคอยกระหนาบอยู่ถึงสองคน ถึงแม้ว่าจอนจะเย็นสักแค่ไหนก็ยังแสดงความรำคาญใจออกมา
“เรื่องมันยังหาข้อยุติไม่ได้เลยฮัสเคลล์ ยังไม่มีคำตอบที่น่าพอใจ แต่ผมได้คุยกับตำรวจคนที่เขารับโทรศัพท์ผมบ้างแล้ว...เอา...เอา มิเรียม ผมจะไปเดี๋ยวนี้ละ”
“ตายจริง ฉันก็เลยกลายเป็นตัวน่ารำคาญสำหรับเพื่อนของคุณไปแล้วสิคะนี่”
“ผมก็เคยเล่าถึงเขาให้คุณฟังมาแล้วนี่” จอนพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “มอร์รี่ อับรามไง เขาเป็นเพื่อนสนิทผมตั้งแต่ตอนอยู่ฮาร์วาร์ดด้วยกัน ตอนนี้เขามาสอนอยู่ที่นอร์ธเวสเทิร์นแล้วก็พักอยู่กับพ่อแม่ที่วินเนทก้า เอาไว้พรุ่งนี้เราพบกันนะ”
ฉันซื้อเตารีดไฟฟ้าหนึ่งอันก่อนจะขึ้นรถกลับบ้าน สายฝนเริ่มพรำลงมาแล้ว และสายลมเย็นเยือกก็พัดต้องกิ่งไม้โอนเอนไปมาอยู่
อย่างน้อยฉันก็พอจะรู้แล้วว่าการเลิกร้างกันในครั้งนี้ไม่ทำให้จอนถึงกับต้องอกหัก เพราะเขาสามารถหาคนปลอบใจได้เร็วดีแท้ เพื่อนรักของจอนคนที่ชื่อมอร์รี่พยายามยัดเยียดน้องสาวมาให้ตั้งแต่ครั้งเป็นนักศึกษาวิชากฎหมายอยู่ด้วยซ้ำ แต่ถ้าจะใช้คำว่ายัดเยียดก็เห็นจะไม่ถูกต้องนัก เพราะท่าทางของหล่อนก็ออกจะเป็นคนมีอิสระดีอยู่ และจอนเองก็ไม่เคยพูดทำนองนั้นอาจจะเป็นเพราะเขามีความเป็นสุภาพบุรุษอยู่มากก็ได้ แต่แม่ของเขาน่าจะพอใจอยากได้มิ-เรียมมาเป็นลูกสะใภ้มากกว่าฉันแน่
