บท
ตั้งค่า

บทที่ 3

ฉันออกจะข้องใจอยู่เหมือนกันว่าเพราะเหตุใดคาร์ลจึงได้เป็นห่วงเป็นใยในตัวสาวใช้คนนั้นนัก เป็นไปได้ไหมที่เขาเพียงแต่ให้ความยุติธรรมต่อเด็กคนนั้นเท่านั้น แต่มาเรียก็หน้าตาสวยเหลือเกินและท่าทางก็ชื่นชมเขาอยู่ไม่น้อย 

“คุณคิดว่าคุณนายดันแลพที่แสนดีจะถึงกับไล่สาวใช้ออกโดยไม่สอบสวนข้อเท็จจริงเสียก่อนอย่างนั้นหรือ?” 

“คุณไม่มีวันเข้าใจคนพวกนี้หรอก” คาร์ลและฉันต่างลุกขึ้นยืนแล้ว และขณะนี้ใบหน้าของเขากำลังแดงด้วยแรงอารมณ์ “คุณนายดันแลพอาจจะไม่ได้รับรู้เรื่องนี้เลยก็ได้ เพราะเรื่องเล็กน้อยอย่างนี้ส่วนใหญ่แม่บ้านจะเป็นคนดูแลทั้งหมด และเด็กสาวๆ ขนาดมาเรียที่ต้องการหางานทำแม้จะได้รับค่าจ้างถูกๆ ก็มีอยู่ถมไป เพราะฉะนั้นไล่ออกแล้วจ้างเข้ามาใหม่ยังง่ายกว่าจะมาสอบสวนให้เสียเวลา” เมื่อเขาเห็นว่าฉันจะมีท่าว่าใจอ่อนลงก็ยิ่งเน้นหนักขึ้น 

“ผมไม่เชื่อหรอกนะว่าเด็กอย่างมาเรียจะกล้าถึงกับงัดกุญแจกระเป๋า มันก็ยังอาจจะเป็นไปได้เพราะกุญแจมันไม่แข็งแรงตอนที่เลื่อนกระเป๋ามันก็อาจจะหลุดออก และเด็กมันก็อดไม่ได้อยากรู้ว่ามีอะไรอยู่ในกระเป๋านั้นบ้างเลยเปิดออกดู แต่ผมคิดว่าไม่กล้าเอาอะไรไปหรอก เด็กไม่กล้าเสี่ยงกับการตกงานแน่” 

“ที่จริงฉันก็ไม่ได้มีอะไรให้ขโมยอยู่แล้ว” 

“ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่ให้โอกาสเด็กมันบ้างเล่า?” 

ฉันรู้ว่าคนที่เข้ามาสำรวจเอกสารทั้งหมดนี้จะต้องไม่ใช่มาเรีย และฉันก็เข้าใจว่าเพราะอะไรคาร์ลจึงพยายามช่วยเด็กคนนั้นไว้ มาเรียบริสุทธิ์สำหรับเรื่องนี้นั่นเอง 

“โอเคค่ะ” ฉันตอบง่ายๆ 

“ขอบใจมากนะฮัสเคลล์” 

“เรื่องอะไร ที่จริงฉันต้องขอบใจคุณถึงจะถูกที่พยายามป้องกันไม่ให้ฉันทำอะไรที่มันโง่เขลาแล้วก็ไม่ยุติธรรมลงไป นั่งลงเถอะ ฉันจะชงกาแฟให้กิน” 

เขาทำตามที่ฉันบอก ตอนที่เดินเข้าไปในครัวแล้วนั้นฉันจึงได้นึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองกอดอัลบั้มนั้นไว้แนบอก ฉันวางมันลงบนเคาน์เตอร์ หยิบกาน้ำขึ้นตั้งไฟ 

คนที่เข้ามาสำรวจสิ่งของของฉันนั้นจะต้องไม่ใช่มาเรียอย่างเด็ดขาด ฉันรู้สึกดีใจอยู่เหมือนกันที่มันมีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น มันเป็นหลักฐานประการแรกที่แสดงให้เห็นว่าจะต้องมีใครบางคนในคฤหาสน์หลังนี้ที่สนใจใคร่รู้ในประวัติของฉันและระแวงในความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา 

ขณะที่รอให้น้ำเดือดอยู่เสียงกริ่งโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เสียงที่พูดมาจากทางปลายสายนั้นเป็นเสียงที่ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน 

“นี่ดิฉันเอลลิสพูดนะคะ โทรมาจากบ้านใหญ่ค่ะ เพียงแต่อยากจะเรียนให้คุณทราบว่าตอนที่คุณออกไปข้างนอกนั้นมีโทรศัพท์มาถึง คุณสุภาพบุรุษที่โทรมาเขาทิ้งหมายเลขโทรศัพท์ไว้ และขอให้คุณโทรกลับไปหาเขาด้วยค่ะจะเป็นคืนนี้หรือพรุ่งนี้เช้าก็ได้ คุณมีดินสออยู่ตรงนั้นด้วยหรือเปล่าคะ?” 

หลังจากจดหมายเลขโทรศัพท์นั้นลงแล้วและกล่าวขอบใจเธอฉันก็วางสาย ในเมื่อหมายเลขที่ให้มานั้นไม่มีแอเรีย โค้ดก็น่าจะเป็นภายในเมืองนี้เอง 

หรือว่าจะเป็นจอน...เพราะเขาดูจะเป็นสุภาพบุรุษเพียงคนเดียวที่ฉันเคยคุ้นซึ่งอาจจะเดินทางมาชิคาโกได้ ฉันเพียงแต่สงสัยว่าทำไมจึงต้องเป็น...จอน...หรือว่าจะไม่ใช่เขา 

“ถ้าเป็นเรื่องด่วนก็โทรเลยสิ ไม่ต้องห่วงผมหรอก” 

“ไม่ใช่เรื่องด่วนหรือสลักสำคัญอะไรหรอก ฉันคิดว่ามันเป็นโทรศัพท์จากเพื่อนคนหนึ่งเท่านั้น” 

“อยากให้ผมกลับไปก่อนไหมล่ะ?” 

“ไม่จำเป็น แค่นี้ก็เห็นแล้วว่าเขาต้องคอยติดตามความเคลื่อนไหวของเราอยู่ตลอดเวลา เราแค่กลับมาได้ไม่ถึงห้านาทีเขาก็โทรตามมาติดๆ แล้ว” 

“นี่คือความลำบากใจประการหนึ่งของการเข้ามาอยู่ที่นี่” คาร์ลพูดอย่างยอมรับ “โทรศัพท์ทุกสายที่เข้ามาจะต้องผ่านสวิทช์บอร์ดกลางเสียก่อน หลังจากเลยเที่ยงคืนไปแล้วเมื่อพวกคนใช้พักผ่อนนอนหลับกัน โทรศัพท์จะถูกโอนไปให้ยามตรงหน้าประตูเป็นผู้รับ ทางฝ่ายนั้นอาจจะสงสัยขึ้นมาก็ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น” 

“ท่าทางคุณดูจะละอายใจอยู่นะ” 

“เฮ้อ...” คาร์ลแกล้งทำเป็นเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผาก “ผมน่ะกลัวอยู่ว่าคุณนายดันแลพจะมาบอกผมว่าเราลืมเปิดประตูทิ้งไว้น่ะสิ ไหนล่ะกาแฟ อยากกินเต็มทีแล้ว” เขาหยิบรูปขึ้นมาดู โดยเฉพาะรูปของเดฟ “คุณเคยให้เขาดูบ้างหรือยังนี่?” 

“ยังเลย”

“เขาอาจจะชอบหรือไม่ชอบก็ได้นะ” คาร์ลว่าพร้อมกับแยกยิ้ม “โดยเฉพาะรูปนี้ สงสัยว่ากำลังสนุกกันเต็มที่เลย” 

รูปที่เขาหมายถึงนั้นเป็นรูปที่ถ่ายในงานปาร์ตี้อีกงานหนึ่ง และทุกคนที่อยู่ในรูปก็แต่งตัวกันแบบโบราณ เดฟเป็นจุดเด่นของงานเช่นเคย นอกจากจะเอาผ้าปูโต๊ะมาทำเป็นเครื่องแต่งตัวแล้วก็ยังมีมงกุฎที่ทำจากกระดาษสวมอยู่บนศีรษะอีกด้วย รูปที่ทำให้คาร์ลขบขันถึงกับหัวเราะออกมาก็คือรูปที่เดฟโอบกอดมาร์กาเร็ต แม็กซ์เวลล์ไว้อย่างเกรงใจเต็มที่ ผ้าปูที่นอนที่เธอพันไว้รอบร่างถลกขึ้นไปสูงอย่างน่ากลัว ทำให้มองเห็นช่วงขาที่ผอมลีบและมือไม้ของเดฟก็ไม่ได้อยู่ในที่ซึ่งสุภาพบุรุษควรจะอยู่ 

“คุณว่าเขาใช้ยาเสพติดกันด้วยหรือเปล่า?” 

“ผมว่าแค่เบียร์ก็เยอะไปแล้วละ สมัยนั้นหาพวกยาเสพติดไม่ได้ง่ายๆ หรอกจริงไหม? ...แล้วนี่รูปแม่คุณใช่ไหม?” คาร์ลชี้ไปที่ผู้หญิงสาวสวยที่กำลังยิ้มร่าเริงอยู่กับกล้องถ่ายรูป 

“ใช่ค่ะ” 

“สวยมากนี่” 

“ค่ะ แม่เป็นคนสวย” ฉันพิจารณารูปนั้นอีกครั้ง “แต่ถ้าจะว่าไปแล้วก็ไม่ถึงกับจะสวยวิเศษอะไรหรอก เพียงแต่ว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ในตัว...ความมีชีวิตชีวากระมัง...หรือไม่ก็เป็นเพราะว่าแม่กำลังมีความสุขมาก” 

“แต่แม่คุณก็เป็นจุดเด่นของงานเลยละ” เขาดูรูปต่อไป เป็นรูปที่แม่กำลังนั่งอยู่ระหว่างเพื่อนชายสองคน ทั้งสองต่างโอบร่างแม่ไว้และกำลังจ้องดูแม่พร้อมกัน แม่กำลังหัวเราะอย่างมีความสุขจริงๆ เสียด้วย ทุกรูปที่ถ่ายไว้นั้นจะเห็นแต่ภาพของแม่ที่หัวเราะเสมอ หนึ่งในจำนวนนั้นคือเดฟ ส่วนอีกคนหนึ่ง 

“นั่นแหละเขาละ...สตีเฟ่น นาซาเรี่ยนไงล่ะ” 

“หน้าตาดีมากนี่ ไม่ค่อยเหมือนพ่อหรือพี่สาวเท่าไหร่หรอก” 

“นั่นสิ” 

“ที่จริงผมก็ไม่ใช่ว่าจะมีความรู้เกี่ยวกับท่านผู้เฒ่าสักเท่าไหร่หรอกนะ เพราะกว่าผมจะมาพบเขาก็อายุตั้งแปดสิบกว่าเข้าไปแล้ว แต่เคยรู้มาว่าสมัยที่เขาหนุ่มๆ น่ะ เป็นอันตรายสำหรับผู้หญิงโดยแท้ทีเดียว ถ้าเราจะมองจากรอยยิ้มบนใบหน้าของสตีเฟ่น...” 

“ฉันว่ามันเป็นรอยยิ้มธรรมดาๆ ไม่ได้เจ้าชูอะไรสักหน่อย” 

“แต่ผมว่ามันคล้ายกับเขาอยากจะกัดคอหอยแม่คุณอย่างที่สุด เดฟก็มีท่าทางกระหายเลือดอยู่เหมือนกัน สงสัยว่า...” คาร์ลพูดทิ้งไว้เพียงแค่นั้น 

“ฉันก็สงสัย เขายังไม่แต่งงาน...” 

“เคยแต่งมาแล้ว” 

“จริงหรือนี่ ฉันไม่ยักรู้เรื่องนี้เลย คงไม่ใช่แต่งเพราะอกหักหรอกนะ” 

“ใครจะรู้ นี่เขาก็หย่าร้างกันมาตั้งหลายปีแล้วละ และชีวิตแต่งงานของเขามันก็สั้นมาก ช่าย...เขาแต่งตอนปี1897 ผมจำได้ แต่งได้สักสองปีละมังถึงได้หย่ากัน” 

“สองปีมันก็นานพอแล้วละสำหรับการตั้งหลักใหม่” ฉันรู้สึกขบขันกับท่าทางเครียดขรึมของคาร์ล 

“ตอนนั้นเขาเพิ่งอายุสิบแปด ชีวิตแต่งงานเห็นจะไปได้ไม่ไกลหรอก โดยเฉพาะนักศึกษาจนๆ คนหนึ่ง” คาร์ลเสริมพร้อมกับมองหน้าฉันอย่างมีความหมาย “ผมว่าการที่เขาต้องหย่าร้างมันเกิดจากคติที่ว่าร่วมกันเราอดแยกกันเรารอดนั่นมากกว่า และประการสำคัญก็คือฝ่ายหญิงเขาคงไม่อยากจะมาร่วมอดด้วย เขาอยากจะให้เดฟเลิกเรียนแล้วก็หางานการทำ...” 

“มีอะไรที่มันไม่ดีเกี่ยวกับคนพวกนี้ที่คุณไม่รู้บ้างไหมคะ?” ฉันย้อนให้ 

“ก็ไม่มากนักหรอก” คาร์ลตอบอย่างใจเย็น “เมื่อใครสักคนมีอำนาจเหนือคุณเหมือนที่ครูมีอำนาจเหนือนักเรียน คุณย่อมจะต้องพยายามลดอำนาจเขาเพื่อให้ลงมาเป็นคนธรรมดาเท่าเทียมกัน และถ้ามีโอกาสเปิดให้ถ้าจะต้องแบล็คเมล์ยังยอมเลย” 

“ถ้าคุณคิดจะใช้รูปพวกนี้ไปขู่เดฟละก็ ฉันคงเสียใจมากทีเดียวที่เอามาให้คุณดู” 

“โอย...รูปแค่นี้ผมเอาไปขู่เดฟไม่ได้หรอก อย่างดีเขาก็แค่หัวเราะเท่านั้น แต่ผมรู้จักนักศึกษาที่เป็นลูกศิษย์ของเม็กบางคนที่พร้อมจะยื่นมือเข้ามาช่วยผมอยู่แล้ว”

“คุณหมายถึงอาจารย์แม็กซ์เวลล์นั่นน่ะหรือ?” 

“ใช่ ผมว่าเขาออกจะประสาทๆ อยู่นะ คุณก็รู้นี่?” 

“ฉันไม่รู้หรอก” 

“โอ มันไม่มีอะไรที่จะพิสูจน์ได้ก็จริงแต่ว่าก็น่าสงสารอยู่หรอก แกไม่เคยมีอารมณ์ขันกับใครเขาเลย แล้วก็ออกจะเป็นคนดูถูกตัวเองอยู่หน่อยๆ ด้วย ลองถ้าใครไปพูดจาเป็นเชิงดูถูกแกเข้าละก็แกเป็นไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต ไม่ว่าเขาจะพูดล้อเล่นหรือเป็นเรื่องจริงก็ตาม แล้วก็แถมคิดอะไรต่อมิอะไรให้มันวุ่นวายไปอีกด้วย มีนักศึกษาคนหนึ่งที่ผมเคยรู้จักเขาไปทำเอกที่บราวน์ อยู่ๆ แกก็เกิดไม่ชอบหน้าเขาขึ้นมาเสียเฉยๆ อย่างนั้นแหละไม่มีเหตุผลอะไรเลยด้วย บางคนเขาบอกว่าที่แกไม่ชอบเพราะเขาไม่...” 

“พอแล้ว ไม่ต้องพูดต่อก็ได้” ฉันรู้ว่าคาร์ลกำลังจะพูดอะไรต่อไป เพราะเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับอาจารย์สาวแก่กับลูกศิษย์หนุ่มมาจนเต็มสองหู ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเพศสัมพันธ์ทั้งนั้น “ก็ถ้าเขาเป็นคนที่เจ้าปัญหาขนาดนั้นแล้วทำไมถึงได้เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาล่ะ?” 

“พุทโธ่เอ๊ย คุณนี่เด็กชะมัดเลย การที่เขาเลือกที่ปรึกษาน่ะเขาไม่ได้เลือกเพราะหน้าตาสวยหรือมีเสน่ห์ผูกใจเพศตรงข้ามหรอกนะคุณหนู คุณจะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาที่คุณสอนอยู่ไม่ว่าจะเป็นโบราณคดี นิรุกติศาสตร์ ประวัติศาสตร์หรืออะไรก็ตามแต่ คุณจะต้องมีความสามารถขนาดนั้นเขาถึงจะเลือกให้เป็นได้” 

ฉันหวังว่าจะได้รับความรู้จากคาร์ลเกี่ยวกับผู้ชายอีกสองคนที่อยู่ในกลุ่ม แต่เขาก็เกิดจำชื่อไม่ได้ขึ้นมาเสียอีก เพียงแต่บอกฉันว่า 

“ป่านนี้คงไปทำอาชีพอื่นแล้วละมัง” 

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel