บทที่ 2
“เวลานี้รูปสลักในศาลเทพธิดาปาร์ธินัน ก็เกือบจะหายไปหมดแล้ว หรือโรงละครรูปอัฒจันทร์ของโรมัน
ที่สร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ. 75 ที่เราเรียกว่าคอละเซียมมันก็พังทลายลง แล้วก็ยังมีอะไรต่อมิอะไรที่บรรยายกันไม่หวาดไม่ไหวที่หมดสิ้นอายุขัยของมันลง สิ่งที่มันเกิดขึ้นในประเทศอียิปต์นั้นมันยังเล็กน้อยมาก ถ้าจะเปรียบเทียบกับที่มันเกิดอยู่ทั่วทั้งโลกในทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่สามารถรักษาอดีตไว้ได้ อย่างน้อยเราควรจะทำบันทึกข้อมูล ถ่ายรูปเอาไว้เป็นหลักฐานก่อนที่มันจะสูญหายไปชั่วนิรันดร์ยังจะดีกว่า”
“เพราะฉะนั้นคุณถึงชอบทำงานที่นี่เพราะมันเกี่ยวกับการดูแลรักษาศิลปวัตถุที่มีค่านั่นเอง”
“ผมต้องการทำงานนี้เพราะผมยังต้องกินอยู่วันละสามมื้อต่างหากเล่า”
“พูดจริงหรือคะนี่?”
เขาฉีกยิ้มกว้าง เป็นยิ้มที่บอกถึงความเป็นมิตรสนิทใจอย่างแท้จริง
“พูดจริงสิ และที่คุณมามันก็ถูกนะ ทุกครั้งที่ผมคิดว่ามันอาจจะมีงานบางชิ้นถูกขโมยไปจากห้องใต้ดินผมก็ตกใจกลัวจะแย่แล้ว อยากจะเอามือขุดลงไปแล้วก็ดึงมันขึ้นมาตรวจตราบูรณะเสียให้หมดก่อนที่ความเสียหายจะเพิ่มมากขึ้น ผมรู้ว่ามันเป็นแค่คำพูดโง่ๆ เพราะถึงเราจะทิ้งมันไว้อีกเป็นอาทิตย์หรือเป็นเดือนมันก็คงไม่มีความเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นหรอก ถึงแม้จะอีกสักศตวรรษหนึ่งก็ตามที แต่...” เขาหยุดไปคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างครุ่นคิด
“มันมีอยู่รายการหนึ่งในบัญชีที่ผมเอามาศึกษาก่อนหน้าที่จะส่งมอบให้คุณ มีข้อความเขียนไว้ว่า “เสื้อผ้าชั้นในที่หรูหราของสตรี” ซึ่งผมคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นเครื่องชุดชั้นในของผู้หญิงแน่ เพราะพวกอียิปต์ไม่ใช้กัน แต่มันอาจจะมีคนเจ้าเล่ห์บางคนหลอกล่อให้เขาซื้อเครื่องแต่งตัวของนักระบำปาริเซียงที่เก็บไว้นานจนกระทั่งมีรอยสีน้ำตาลคล้ายสนิมจับอยู่ก็ได้ แต่สมมติว่ามันเป็นเสื้อผ้าที่ถูกขโมยมาอย่างที่คาร์เตอร์เคยพบ คือเป็นชุดลินินสวยปักด้วยไหมและอัญมณีนั่นเล่า เราก็ไม่มีทางรู้ได้อีกเหมือนกัน ผ้าบางชนิดสามารถจะคงสภาพอยู่ได้ทนทานมากโดยเฉพาะกับสภาพภูมิอากาศในอียิปต์ และกว่าจะถึงเวลานี้มันก็คงจะเปื่อยยุ่ยเป็นผุยผงไปแล้ว เพราะถูกเก็บไว้ในหีบตั้งแต่สิบแปดหรือสิบเก้าปีมาแล้ว”
ขณะที่คุยกันอยู่เราต้องใช้เสียงดังพอสมควร เพราะเสียงของผู้คนที่อื้ออึงอยู่รอบข้างและยังมีอีกโต๊ะหนึ่งที่อยู่ห่างจากเราไม่ถึงหกฟุต คุยด้วยเสียงที่ดังกว่า เมื่อมือของใครคนหนึ่งปัดถากหัวเขาไปนิดเดียว คาร์ลก็เอ่ยขึ้นว่า
“ผมว่าเรากลับกันดีกว่า คนมันชักมากขึ้นทุกทีๆ แล้ว คุยกันไม่รู้เรื่องหรอก”
คาร์ลส่งกุญแจรถมาให้ฉันแต่โดยดี ฉันชี้ให้เขาเห็นว่าฉันกินเบียร์น้อยกว่าเขาตั้งครึ่ง
“ผมอยากกินกาแฟซักถ้วยนะนี่” เขาว่า
“ไม่ต้องมาพูดเป็นนัยหรอก เพราะไม่มีปัญหาอะไร พอไปถึงที่นั่นแล้วคุณจะลงก่อนก็ได้นี่”
“ผมน่ะไม่สนใจคำแนะนำของคุณพ่อทั้งหลายอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นก็คิดว่าควรจะลงดีกว่าไม่ลง”
อีกครั้งที่ฉันได้ยินคำพูดที่คล้ายจะไม่ตั้งใจจากปากของเขา หรือว่าเขาอยากจะบอกอะไรบางอย่าง เป็นไปได้ไหมที่เขาจะรู้อะไรที่ฉันยังไม่เคยรู้มาก่อน? เดฟเป็นที่ปรึกษาของคาร์ล และทั้งสองก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเสมอมา
“คุณเลี้ยวซ้ายตรงนี้ดีกว่าเพราะเป็นทางวันเวย์”
ฉันเปลี่ยนสัญญาณไฟเลี้ยวจากขวาเป็นซ้ายตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะต้องตั้งสมาธิให้มั่นกับการขับรถ เห็นจะต้องเลิกอ่านความหมายที่ซ่อนเร้นอยู่ในคำพูดแต่ละประโยคของคาร์ลเสียที ถึงแม้จะไม่มีคำพูดดังกล่าวสถานการณ์ที่เผชิญอยู่มันก็สร้างความสับสนให้ฉันพอแรงแล้ว
เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ออกมาเห็นย่านนี้ในยามราตรี และเพิ่งจะเข้าใจว่าเพราะเหตุใดใครๆ ถึงได้เตือนให้ฉันอยู่แต่ในบ้านหลังจากที่มืดค่ำลงแล้ว ทั้งบาร์และไนท์คลับในบริเวณนี้ดูเหมือนธุรกิจจะเจริญรุ่งเรืองดีเหลือเกินไม่ว่าสภาพอากาศจะเป็นอย่างไรก็ตาม
แต่พอเลยย่านนั้นออกมาได้ไม่ไกลก็จะถึงตำบล ฮิสทอริค ดิสทริค ทั่วทั้งตำบลมืดมิดราวกับอยู่ในหลุมฝังศพ จุดเด่นที่สุดในท่ามกลางความมืดก็คือคฤหาสน์นาซาเรี่ยนที่สว่างไสวด้วยแสงไฟ แสงไฟจากบริเวณคฤหาสน์สาดส่องมาต้องแมกไม้ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงอย่างเห็นได้ชัด
ก่อนที่จะเปิดประตูใหญ่หน้าคฤหาสน์ให้ ยามรักษาการณ์ได้ชะโงกหน้าเข้ามาในรถใช้ไฟฉายส่องไปยังที่นั่งตอนหลัง คืนนั้นยอร์ชเป็นยามรักษาการณ์อยู่ที่โรงรถ เขาต้อนรับฉันด้วยการแยกริมฝีปากออกพอเป็นที่สังเกตเห็นว่าน่าจะเป็นรอยยิ้มได้ และฉันก็ส่งกุญแจรถให้
“ที่จริงแถวนี้เขาน่าจะติดไฟไว้บ้างนะ” ฉันเอ่ยขึ้นเมื่อสะดุดก้อนหินก้อนหนึ่งก่อนถึงทางเลี้ยวเข้าบ้าน คาร์ลต้องรีบเอื้อมมือมาจับแขนไว้
“ไม่มีใครผ่านกำแพงนั่นเข้ามาได้หรอก แล้วก็อย่าตกใจล่ะถ้าเกิดได้ยินเสียงกริ่งสัญญาณดังขึ้น เพราะบางทีกระรอกหรือไม่ก็นกเกิดบินไปชนมันเข้า”
เนื่องจากตอนที่เราออกจากบ้านนั้นสาวใช้ยังคงอยู่ข้างใน ฉันจึงคาดว่าเมื่อกลับมาถึงประตูคงจะไม่ได้ใส่กุญแจ แต่ปรากฏว่ามันไม่เป็นเช่นที่คิด ฉันจึงต้องควานหากุญแจจากกระเป๋าถือ เมื่อไขประตูบ้านแล้ว ฉันก็เอื้อมไปกดสวิทช์ไฟตรงข้างประตู
คาร์ลออกเดินตรงไปยังเก้าอี้นวม กำลังจะทิ้งร่างลงนั่งอยู่แล้วตอนที่ฉันร้องขึ้นว่า
“เดี๋ยว...”
“อะไร...มีอะไรหรือ?” เขากระโดดกลับขึ้นยืนเต็มตัวกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องอย่างไม่เข้าใจ
“ตอนที่เราไม่อยู่มีคนเข้ามาในนี้นะ”
“พุทโธ่เอ๊ย...” คาร์ลทิ้งร่างลงนั่งในเก้าอี้เต็มแรง “ผมนึกว่าคุณเกิดเจองูเงี้ยวเขี้ยวขอเขาเสียอีก ก็ใช่น่ะสิที่ว่ามีคนเข้ามาในนี้ ก็มาเรียไงล่ะ”
“ยังมีคนอื่นนอกจากมาเรียอีก เพราะมาเรียจะต้องไม่ทิ้งร่องรอยไว้อย่างนี้”
รอยเท้าที่ปรากฏอยู่บนพื้นห้องที่สะอาดเอี่ยมนั้นเด่นชัดมาก อย่างน้อยก็สำหรับสายตาฉัน คาร์ลมองตามมือที่ฉันชี้ แต่อาจจะเป็นเพราะสายตาเขาพร่าเลือนเพราะฤทธิ์เบียร์ที่ดื่มเข้าไปมากก็ได้ ทำให้เขาหันกลับมามองหน้าฉันและบอกว่า
“ผมไม่เห็นอะไรเลย”
ฉันเดินตามรอยเท้านั้นไปจนกระทั่งถึงมุมห้องที่วางกระเป๋าเสื้อผ้าไว้ เนื่องจากในตู้เสื้อผ้ามีเนื้อที่จำกัด ฉันจำเป็นต้องเอามันพิงไว้กับผนังห้อง ใบบนไม่มีอะไรอยู่ในนั้น ฉันจึงหยิบมันลงมาวางไว้กับพื้นห้อง
“กุญแจกระเป๋านี่ถูกงัดด้วย” ฉันพิจารณากระเป๋าใบนั้นอยู่
คำพูดประโยคนั้นทำให้คาร์ลผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่ง เข้ามาทรุดตัวอยู่ข้างฉันมองดูกุญแจกระเป๋าอยู่
“นี่คุณถึงกับล็อคกระเป๋าเสื้อผ้าด้วยหรือนี่ แล้วในนั้นมีอะไรบ้างล่ะ เครื่องเพชรประจำตระกูลหรือไง?”
“ไม่มีหรอกนอกจากเอกสาร ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเอกสารสำหรับครอบครัวทั้งนั้น” ฉันเปิดฝากระเป๋าขึ้น เมื่อฉันเห็นสิ่งที่อยู่ภายในก็รู้ว่าความคิดของตัวเองถูกต้องแล้ว ซองมนิลาขนาดใหญ่นั้นไม่ได้ปิดอยู่ แต่ฉันเอาเอกสารทั้งหมดใส่เข้าไว้ในซอง เวลานี้มันออกมาอยู่นอกซอง มีร่องรอยว่ามีคนหยิบมันขึ้นมาอ่านด้วย
“แล้วมีอะไรหายบ้างหรือเปล่า?”
ฉันดึงเอกสารในซองออกมาสำรวจแต่ไม่มากพอที่คาร์ลจะรู้ได้ว่ามันเป็นเอกสารเกี่ยวกับอะไร ที่จริงมันก็ไม่สำคัญนักเพราะมีสูติบัติ จดหมายบางฉบับคงแม่ รายงานผลเลือดที่ฉันได้รับการตรวจมาเมื่อครั้งล่าสุด
“ไม่มีหรอก” ฉันปิดซองลง ของอีกสิ่งเดียวที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อผ้าใบนั้นคืออัลบั้มรูปถ่ายฝีมือแม่ ฉันจึงหยิบมันออกมา
“ไอ้กุญแจนี่มันเปิดง่ายจะตายไป แค่เตะแรงๆ ทีเดียวมันก็หลุดแล้ว บางทีตอนที่มาเรียดูดฝุ่นอาจจะมาชนมันเข้าก็ได้ละมัง”
“ก็อาจเป็นได้”
“แล้วคุณจะรายงานเรื่องนี้ไหมล่ะ?” เขาอ่านน้ำเสียงฉันออกว่าฉันไม่เชื่อในเหตุผลที่เขาพยายามให้เลยแม้แต่น้อย
“ไม่รู้สิ”
“อย่าดีกว่าน่า”
“อ้าว...ทำไมล่ะ”
“ขืนทำเด็กมันก็เดือดร้อนเท่านั้น เวลาเกิดเรื่องอะไรขึ้นใครๆ เขาก็ต้องคิดว่ามันเป็นฝีมือคนใช้ไว้ก่อนด้วยกันทั้งนั้น ถ้าคุณรายงานมาเรียก็ต้องตกงานแน่”
