บท
ตั้งค่า

บทที่ 1

คาร์ลหันหน้ามามองหน้าฉัน สายตาเขาเหมือนจะอ่านความคิดในใจฉันอยู่ รีบกลืนอาหารในปากลงก่อนจะพูดว่า

“หมายความว่าคุณพอจะรู้ความจริงบางอย่างอยู่เหมือนกันใช่ไหมนี่ ทั้งๆ ที่ผมไม่ได้เล่าถึงรายละเอียดเรื่องความตายของสตีเฟ่น นาซาเรี่ยนให้คุณฟัง แต่ไม่เห็นคุณถามถึงเรื่องนั้นเลย แสดงว่าคุณจะต้องรู้อะไรมาบ้างอย่างแน่นอน” 

“ใช่ ฉันรู้” ฉันเตรียมตัวพร้อมอยู่แล้วสำหรับคำถามแบบนี้ของเขา “และการที่ฉันมีความสนใจในตัวเขาก็เพราะว่าเขาเป็นเพื่อนคนหนึ่งของแม่...สมัยนานมาแล้วน่ะ ตอนที่แม่ยังเรียนอยู่ที่โอเรียนทัล อินสทิทิวท์ ฉันมีรูปถ่ายเล่นๆ ของเขาตั้งหลายใบ ถ่ายร่วมกับนักศึกษาคนอื่นๆ ด้วย” 

“อย่างนั้นหรอกหรือ?” คำอธิบายของฉันดูจะเป็นที่พอใจของคาร์ลอยู่ “และคนอื่นที่ว่านั่นเป็นใครบ้างล่ะ?” 

“ก็...เดฟคนหนึ่งล่ะ เพราะเหตุนี้ไงล่ะฉันถึงเลือกที่จะตรงมาหาเขา นี่นะคาร์ลถ้าคุณเห็นเขาตอนนั้นรับรองว่าคุณต้องจำเขาไม่ได้แน่เลย เมื่อยี่สิบปีก่อนเขาสูงโย่งเลยละ ไว้หนวดเครารุงรังเหมือนแมงมุมไม่มีผิด แล้วก็ท่าทางตลกมากด้วยถ้าดูจากรูปที่ถ่ายไว้ตอนนั้นนะ” 

“ทุกวันนี้เขาก็ยังคิดว่าตัวเองเป็นตัวตลกอยู่” คาร์ลพูดยิ้มๆ “ผมคงหัวเราะตายเลยถ้าได้เห็นรูปพวกนั้น คุณคงไม่ได้เอามันติดตัวมาด้วยใช่ไหม?” 

“เอามาสิ ฉันชอบเก็บรวบรวมรูปถ่ายเก่าๆ ไว้ ตอนนั้นแม่ก็อายุเท่าๆ กับฉันตอนนี้... และทุกคนก็ยังเป็นหนุ่มเป็นสาวกันอยู่”

คาร์ลยกแขนขึ้นโอบไหล่ฉันไว้ คล้ายจะบอกว่าเขาเห็นใจในความสูญเสียที่ฉันต้องได้รับและพร้อมที่จะให้ความอบอุ่นฉันท์เพื่อนอย่างเต็มที่ 

“ผมเข้าใจในความรู้สึกของคุณอย่างดีเลยนะ เพราะผมเองเวลาดูรูปเก่ าๆ มันก็อดคิดอะไรไม่ได้เหมือนกัน ถ้าเพียงแต่เขาจะได้รู้ในสิ่งที่เราต้องมารับรู้... ผมหมายถึงว่าถ้าเขารู้ล่วงหน้าว่าอะไรมันจะเกิดขึ้น...” 

“ใช่...” ฉันยืนตัวแข็งไปโดยไม่รู้ตัวและคาร์ลก็ลดมือลงจากไหล่ “ขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะแสดงความรู้สึกอย่างนี้ออกมาเลย” 

“ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่คุณจะให้ผมดูรูปพวกนั้นบ้างได้ไหมล่ะ? บางทีเราจะได้ปรับทุกข์กันบ้างไงล่ะ ผมเอง...ก็เป็นคนที่ออกจะอ่อนไหวในเรื่องอย่างนี้อยู่เหมือนกันนะ บางทีคุณอาจจะไม่สังเกตก็ได้” 

“แต่ฉันเคยสังเกตเห็นค่ะ” ฉันเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เขา “เดี๋ยวพอกลับไปถึงบ้านฉันจะให้คุณดู” 

“ดี...ตอนนี้เราไปดูงูกันดีกว่า บางทีอาจจะทำให้คุณอารมณ์ดีขึ้นบ้างก็ได้นะ” 

แต่มันไม่ช่วยให้อารมณ์ฉันดีขึ้นอย่างที่เขาคิด เพียงแต่ช่วยให้ฉันลืมเรื่องที่เราพูดกันอยู่ไปบ้างเท่านั้น คาร์ลพยายามชี้ชวนให้ฉันเห็นความงามของงูเห่าและเสน่ห์ของจระเข้ แต่เมื่อเห็นฉันไม่ใคร่สนใจเท่าไรเขาก็พาฉันไปที่กรงลูกสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งล้วนมีกรงเป็นสัดส่วนของมันเอง สำหรับลูกลิงชิมแปนซีกับกอริลล่านั้นอยู่ในกรงอย่างดีมีทั้งเปลและเก้าอี้สูงให้นั่งนอนเล่น มีคนเลี้ยงที่คอยเปลี่ยนผ้าอ้อมและป้อนนมในขวดให้พวกมันกิน นอกจากนั้นก็ยังมีกระต่ายและสัตว์เลี้ยงชนิดอื่นอีกหลายอย่าง ฉันย่อมยกโทษให้คาร์ลที่เขาพาฉันไปดูงูในตอนแรก และยังเล่าเรื่องเจ้าพุชให้เขาฟังด้วย พอเล่าจบคาร์ลก็อุทธรณ์ว่าเขาหิวแล้ว 

“อะไรกันคุณกินฮอทด้อกเข้าไปตั้งสามอันนะ” ฉันร้องอย่างแปลกใจใจ 

“นั่นมันเมื่อสองชั่วโมงก่อนนะคุณ” 

“โอ...ถ้าอย่างนั้น...เอาเป็นว่าฉันเลี้ยงอาหารค่ำคุณก็แล้วกัน จะกินที่แมคโดนัลด์หรือรอย โรเจอร์สล่ะ?” 

“ใหญ่ไป ผมว่าเรากินอาหารดัทช์กันดีกว่า ผมรู้จักที่แห่งหนึ่งมีแฮมเบอร์เกอร์อร่อยมาก แล้วเราก็ยังหาเบียร์กินกันได้อีกด้วย โอเค?” 

ฉันส่งกุญแจรถให้เขา เพราะเขาเป็นคนรู้ว่าจะไปที่ไหน คาร์ลขับรถน่ากลัวมาก ทั้งเร็วทั้งกระชาก เมื่อฉันอุทธรณ์ขึ้นเขาก็อ้างว่าเป็นผลมาจากการที่เขาคุ้นกับการขับรถในอียิปต์ 

“คิดดูก็แล้วกันพอเราออกไปกลางทะเลทรายแล้วมันก็ไม่มีอะไรมาขวางหน้าเราอีก นอกจากนานๆ ครั้งจะมีลาผ่านมาสักตัว ยิ่งในไคโรยิ่งแล้วใหญ่ พอทุกคนออกจากบ้านได้ก็พุ่งหัวรถมากลางถนน บีบแตรไล่กันเหมือนคนบ้า ไม่มีใครรู้จักหรอกว่ารถเขามีเบรกไว้เพื่ออะไร” 

ในที่สุดเขาก็พาฉันมาถึงด้านทิศใต้ใกล้กับมหาวิทยาลัยอันเป็นถิ่นเดิมของคาร์ล ร้านอาหารที่เขาเลือกนั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นร้านที่พวกนักศึกษาชอบเข้ามานั่งชุมนุมกันอยู่ ในร้านมีนักศึกษาสองคนกำลังก้มหน้าอยู่กับกระดานหมากรุก และฉันสังเกตเห็นว่ามีเอ็นไซโคลปีเดียวางเรียงรายอยู่บนชั้นหลังบาร์ด้วย มันเตือนใจให้ฉันนึกถึงร้านที่เคยชอบไปก่อนจะพบกับจอน 

เนื่องจากเรามาถึงก่อนเวลาเพราะฉะนั้นจึงมีสิทธิ์เลือกโต๊ะอาหารได้ เรานั่งอยู่ในร้านนั้นถึงสามชั่วโมง ดื่มเบียร์แล้วก็คุยกันถึงเรื่องที่เราต่างมีความรู้ โดยเฉพาะเมื่อเราเลือกเรียนวิชาพิเศษอย่างเช่นไอยคุปต์วิทยานั้นเราไม่ใคร่มีโอกาสได้ทำอย่างนี้มากนัก แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าจอนจะไม่ยอมรับฟังในเรื่องเล่าของฉัน เขาเป็นคนที่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องโบราณคดีพอสมควรและเป็นนักฟังที่ดีด้วย แต่มันไม่เหมือนกัน ประการสำคัญก็คือการพูดคุยของคาร์ลนั้นไม่ได้เป็นไปในลักษณะของอาจารย์ที่หาโอกาสเลคเชอร์ให้ลูกศิษย์ฟังแม้ว่าเขาจะมีความรู้สูงกว่าฉันมากมายก็ตาม เมื่อมีปัญหาหรือความคิดเห็นที่ขัดแย้ง เขาจะยอมโต้เถียงกับฉันเหมือนกับเรามีความเท่าเทียมกันอยู่ 

เขาเล่าถึงชีวิตตอนที่อยู่ในอียิปต์ให้ฉันฟังอย่างสนุกสนาน เขาได้อ่างศิลาจารึกมากมายและลอกข้อความเหล่านั้นมาจากกำแพงวิหารหลายแห่ง และตอนที่เขาเล่าว่าครั้งหนึ่งเขาต้องใช้ความพยายามป่ายปีนขึ้นไปบนกำแพงที่สูงกว่าห้าสิบฟุตขณะที่แสงแรงกล้าของดวงอาทิตย์แผดเผาอยู่เหนือหัวนั้น ฉันรู้ว่าเขาไม่ได้พูดเกินความจริงเลย 

ฉันเคยอ่านสำเนาข้อความที่ถอดมาจากศิลาจารึกเหล่านั้นมาบางจากโอเรียนทัล อินสทิทิวท์ ได้เห็นภาพประกอบที่ขยายใหญ่เกือบเต็มฝาผนัง แสงแรงร้อนของดวงอาทิตย์ในประเทศอียิปต์ทำให้ภาพที่ถ่ายออกมาคมชัด แต่ภาพถ่ายนั้นไม่สามารถจะเก็บรายละเอียดปลีกย่อยที่ถูกทำลายลงด้วยลมฟ้าอากาศที่กัดกร่อนอยู่นานนับเป็นศตวรรษ ดังนั้นมันจึงถูกใช้เป็นข้อมูลขั้นพื้นฐานของภาพลายเส้นมากกว่า และต่อมาก็ได้รับการต่อเติมให้เป็นรูปร่างด้วยฝีมือของช่างศิลป์ชนิดเส้นต่อเส้นทีเดียว 

การต่อเติมลายเส้นแบบนั้นจะต้องคอยเปรียบเทียบกับภาพแท้จริงอยู่ตลอดเวลา เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงจะลงหมึกและถ่ายออกมาเป็นแบบอีกชั้น เนื่องจากผู้อ่านศิลาจารึกนั้นคุ้นเคยกับภาษาโบราณเป็นอย่างดีเพราะฉะนั้นเขาอาจมองเห็นจุดผิดพลาดหรือสัญลักษณ์สำคัญบางอย่างที่ช่างศิลป์มองข้ามไปก็ได้ จึงต้องมีการตรวจสอบกันหลายครั้งหลายหนกว่าที่จะสำเร็จออกมาเป็นแผ่นพิมพ์ให้ศึกษาหาความรู้กัน 

“แล้วมันคุ้มไหมล่ะคะ?” ฉันอดถามไม่ได้ 

“จุ๊ย์...” คาร์ลดื่มเบียร์เข้าไปอีกหลายแก้ว เขายกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากไว้ กวาดสายตามองไปทางข้างหลังอย่างระแวดระวัง “เป็นการผิดบาปอย่างมหันต์ทีเดียวนะที่คุณจะมาตั้งคำถามอย่างนี้ขึ้น ถ้าจะถามความเห็นส่วนตัวของผมแล้ว ผมอยากจะบอกว่าจริงๆ แล้วผมอยากทำอะไรที่มันดีกว่าการปีนบันไดขึ้นไปตามหน้าผาหรือผนังสูงๆ นั่น เพราะมันเสี่ยงกับการตกลงมาคอหักตายอยู่ไม่น้อย แต่ความถูกต้องตรงต่อความเป็นจริงก็เป็นเรื่องสำคัญอยู่ คุณจะแปลข้อความเหล่านั้นไม่ได้หรอกถ้าไม่มีสำเนาของเดิมที่เชื่อถือได้”

“แล้วคุณชอบทำอะไรมากกว่าล่ะคะ การขุดค้นหาของโบราณหรือไง?”

“ไม่หรอก ไอ้นั่นมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน ทั้งร้อนทั้งฝุ่น ผมอยากจะเป็นคนแปลข้อความในศิลาจารึกมากกว่า เพราะได้นั่งทำงานอยู่ในห้องแอร์ที่เย็นสบาย แถมยังอยู่ใกล้บ้านกับเตียงนอนนุ่มๆ อีกด้วย ได้พบเห็นแต่สิ่งเจริญหูเจริญตาทั้งนั้น”

“แต่ฉันชอบเรื่องการขุดจริงๆ” 

“หนุ่มสาวก็ใฝ่ฝันเรื่องนี้กันทั้งนั้น” คาร์ลว่า “ถึงแม้ว่าคุณจะบังเอิญไปพบหลุมฝังศพที่ยังไม่มีใครเคยพบมาก่อนเลยเข้าสักแห่ง เขาก็ไม่ยอมให้คุณขุดหรอก ชีวิตการทำงานของคุณจะต้องไปจบลงตรงหน้าเครื่องพิมพ์ดีดกับแฟ้มเอกสารเท่านั้น เรื่องอย่างนี้คุณต้องคุยกับซู กราเวลลี่ เมื่อฤดูหนาวปีกลายเขาไปทำงานอยู่ที่... เอ้อ...ผมไม่พูดดีกว่า เอาเป็นว่ามันเป็นแถวอียิปต์ตอนล่างก็แล้วกัน ห่างจากเมืองที่มีประชากรอยู่ประมาณสี่ร้อยคนสักสิบไมล์เห็นจะได้ ทุกวันนี้ยังมีอาการของโรคบิดอยู่เลย แต่หมอบอกว่าโรคผิวหนังที่เป็นอยู่ ไม่ใช่โรคเรื้อนอย่างแน่นอน และตอนนี้ผมก็เริ่มขึ้นแล้ว ตอนกลับมาใหม่ๆ ล้านหมดทั้งหัวเลย” 

“คุณคิดจะขู่ให้ฉันกลัวหรือเปล่าคะนี่?” 

“แน่นอน ทุกวันนี้งานมันหายากออกจะตายไป เรื่องอะไรผมจะอยากมีคู่แข่ง?”

“พูดจริงหรือคะนี่?” 

“ก็จริงน่ะสิ...” รอยยิ้มบนใบหน้าจางลง เมื่อเขาพูดต่อนั้นน้ำเสียงดูอ่อนโยนลงอย่างที่ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน “เวลานี้เราไม่สมควรจะต้องขุดค้นหาอะไรอีกแล้วนะ สิ่งที่เราควรทำก็คือ รักษาโบราณวัตถุทุกชิ้นที่เรารวบรวมมาได้ไว้ให้ดีที่สุดมันก็มากพออยู่แล้ว ทุกวันนี้เราช่วยกันปิดหน้าประวัติศาสตร์กันอยู่ทุกวันแล้ว และก็ทำกันทั่วโลกด้วย สถาปัตยกรรมแผนใหม่เข้ามาแทนที่สิ่งที่เคยก่อสร้างขึ้นไว้ในอดีตจนแทบจะไม่เหลือร่องรอย ขณะเดียวกันเราก็สร้างสิ่งใหม่ๆ ขึ้นมาแทนโบราณวัตถุเก่าแก่กันจนนับไม่ถ้วน” ทั้งสีหน้าและแววตาของเขาบอกความจริงจัง 

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel