บท
ตั้งค่า

บทที่ 8

เมื่อไม่มีอะไรทำเราก็เอาอัลบั้มเก่าๆ ออกมาดูกัน ในนั้นเป็นภาพวันแต่งงานของแม่ซึ่งแต่งตัวในชุดเจ้าสาวสีขาวประกอบด้วยลูกไม้สวยงามมาก แต่ขณะเดียวกันฉันก็พบว่าตัวเองจ้องมองดูเรือนร่างงามระหงของแม่ด้วยความสนใจเป็นพิเศษ

“ป้าไม่เคยระแวงบ้างเลยหรือคะว่าตอนนั้นแม่อาจกำลังเริ่มตั้งท้องแล้วก็ได้?”

ฉันพยายามบังคับน้ำเสียงให้ฟังเป็นธรรมชาติอย่างที่สุด ดูเหมือนจะประสบความสำเร็จอยู่เพราะเจสสีราวจะมีคำตอบพร้อมอยู่แล้ว

“ตอนนั้นรู้สึกว่าจะยัง แต่ป้ามารู้หลังจากนั้นสักสองสามเดือนเห็นจะได้ คือตอนที่เริ่มมีอาการแสดงออกมาให้เห็น แต่ป้าก็ไม่แคร์อะไรหรอกนะเพราะมีผู้หญิงอยู่ถมไปที่ท้องก่อนแต่ง”

“อ้าว แล้วตอนนั้นไม่มียาคุมกำเนิดกินหรอกหรือคะ?” ฉันถามอย่างแปลกใจเต็มที่

ฉันสังเกตเห็นว่ามือของป้าที่ลูบขนเจ้าพุชอยู่เพิ่มความแรงขึ้นและมันก็ทำเสียงครางในลำคออย่างไม่พอใจนัก เห็นได้ชัดว่าคำถามเช่นนั้นรบกวนจิตใจป้าอยู่ไม่น้อย ซึ่งสร้างความประทับใจให้เกิดขึ้นกับฉันอีก เพราะถ้าจะว่าไปแล้วป้าเป็นคนที่รักความจริงคนหนึ่ง เมื่อจะพูดอะไรก็พูดอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีท่าว่าจะคิดซ่อนเร้นปิดบัง หลังจากอึ้งอยู่เป็นครู่ป้าจึงได้กล่าวว่า

“เธอต้องเข้าใจนะฮัสเคลล์ว่าทั้งแม่และป้าไม่เคยพูดเรื่องอย่างนี้กันมาก่อน เพราะเราถูกเลี้ยงดูมาในแบบที่...ที่จริงป้าก็ไม่ค่อยได้พูดเกี่ยวกับคุณตาให้ฟังเท่าไหร่นักไม่ใช่หรือ?”

“หนูไม่ได้อยากรู้เรื่องตานะคะป้า หนูอยากจะรู้แต่เรื่อง...”

“หยุดนะ” เจสสีตะคอกใส่ทันที “เอาละ ถ้าเธออยากจะรู้เรื่องเกี่ยวกับแม่ของเธอ มันก็จำเป็นที่จะต้องรู้ความจริงที่น่าเจ็บใจที่สุดเกี่ยวกับคนที่เธอเรียกว่าตาด้วย”

“ป้าเกลียดตามากหรือคะ?” ฉันถามเสียงอ่อย

“ป้าเกลียดความเห็นแก่ตัว แล้วจนทุกวันนี้ก็ยังเกลียด”

น้ำเสียงที่เยือกเย็นนั้นมันฟังน่ากลัวกว่าการกรีดเสียงใส่หน้าเป็นไหนๆ ฉันได้แต่มองหน้าป้าตาค้างอยู่

“ป้าไม่เคยบอกเลยนะว่า...”

“โอย ฉันน่ะพูดมาตั้งไม่รู้กี่ครั้งแล้ว เพียงแต่เธอไม่สนใจฟังเองต่างหากเล่า” เจ้าพุชขู่ฟ่อขึ้น เจสสีลูบหลังมันอย่างปลอบโยน ก่อนจะหัวเราะเขินๆ ออกมา “ถึงแม้เวลาจะผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่คิดถึงตาของเธอก็ยังอดเจ็บใจไม่ได้เพราะตานี่แหละที่ทำให้ป้าสาบานไว้กับตัวเองว่าจะไม่แต่งงานเลยจนชั่วชีวิต เพราะตาอีกนั่นแหละที่ทำให้แม่ของเธอต้องรีบร้อนแต่งงานเพื่อจะได้พ้นๆ ไปเสีย และถ้าตาไม่ตายตอนที่เธออายุได้สามขวบ ป้าก็คงจะต้อง...ก็ยังไม่รู้เหมือนกันนะว่าจะต้องทำอะไร อาจจะลักพาตัว หรืออาจจะทำอะไรสักอย่างก็ได้ เพื่อแยกเธอมาเสียจากเขา”

“หนูไม่ค่อยเข้าใจเรื่องตอนนี้เท่าไหร่นักหรอกค่ะ ตอนที่มันเกิดเรื่องขึ้นแม่กับหนูไม่ได้กลับมาอยู่กับป้าแล้วหรอกหรือคะ”

“อยู่แล้ว แม่ย้ายมาอยู่กับป้าตอนที่เควินออกสนามรบ ตาโกรธมากเพราะเชื่อว่าแม่เธอน่าจะต้องกลับไปอยู่กับตาที่บ้าน...บ้าน...” เจสสีฝืนหัวเราะออกมาเบาๆ “ตอนที่แม่ยังมีชีวิตอยู่น่ะ ตาทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว แต่หลังจากที่เผาศพเสร็จวันรุ่งขึ้นเพราะป้าออกไปทำงาน ตอนนั้นป้าจ้างพี่เลี้ยงมาคอยดูแลหนูอยู่ ทั้งตาและยายก็มาที่นี่ เมื่อพี่เลี้ยงคนนั้นไม่สามารถจะห้ามปรามเขาไม่ให้เอาตัวหนูไปได้ก็รีบโทรศัพท์ไปบอกป้า กว่าป้าจะกลับมาถึงเขาก็ไปกันหมดแล้ว”

น้ำเสียงของป้าเจสสีขาดหายไปราวกับความเจ็บช้ำน้ำใจได้เข้ามาขวางกั้นอยู่ในอารมณ์และความรู้สึกอย่างรุนแรง ฉันรู้สึกเกลียดตัวเองขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ป้าไม่ได้เล่าเรื่องความหลังให้ฉันฟังแต่กำลังระบายความรู้สึกเจ็บช้ำที่มันอัดอั้นอยู่นานปีออกมาทั้งหมด

“ก่อนหน้าที่จะเผาศพเราก็ทะเลาะกันทีหนึ่งแล้ว ตาอยากจะให้เอาศพแม่ไปฝังที่อิลลินอยส์ในสุสานที่ตาหมายมั่นปั้นมือไว้ว่าทุกคนในตระกูลของเราจะต้องไปฝังร่างรวมกันไว้ที่นั่น แต่ปรากฏว่าป้าเป็นฝ่ายชนะจะด้วยเหตุผลหรืออะไรก็ตาม ป้ารู้ว่าแม่ของเธอน่ะยินดีจะตกนรกมากกว่าจะไปอยู่สวรรค์ร่วมกับเขา”

“ทำไมป้าไม่เคยเล่าเรื่องอย่างนี้ให้หนูฟังบ้างเลยล่ะคะ?”

 เจสสีเอื้อมไปหยิบแก้วบรั่นดีขึ้นมาดื่มเข้าไปอึกใหญ่

“ที่ป้าไม่เล่าก็เพราะไม่อยากให้เธอต้องมีกังวลมากจนเกินไปนัก ตอนนั้นเธอเองก็เป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง เล่าไปแล้วมันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ? อีกประการหนึ่งป้าก็คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจอะไรนักด้วย มันออกจะเป็นเรื่องน่าแปลกอยู่เหมือนกันนะที่คนเราชอบฟังคนอื่นพูดน้อยกว่าตัวเอง อีกประการหนึ่งพวกเด็กๆ ก็ไม่ค่อยสนใจฟังเรื่องที่พ่อแม่หรือผู้ใหญ่พูดอยู่แล้ว”

“นอกเสียจากเรื่องที่มันเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของตัวเอง” ฉันตอบเสียงเบา “หนูจำตาได้ไม่ชัดนักหรอกค่ะ รู้แต่ว่าตาเหมือนซานตาคลอสตัวใหญ่ๆ แล้วก็มีหนวดเครารุงรัง ที่หนูเปรียบเทียบนี่ไม่ทราบจะผิดไปหรือเปล่า”

“ไม่หรอก ที่จริงตาเป็นคนรักเด็กนะ แต่รักในแบบของเขา ที่จะเกลียดคือผู้หญิงต่างหากเล่า”

“หมายความว่าตาเกลียดทั้งแม่ทั้งป้าเลยหรือคะ?”

“แล้วก็ยายด้วย” เจสสีถอนหายใจเบาๆ “ขอพระเจ้าทรงคุ้มครอง...เธอรู้หรือเปล่าล่ะว่าชื่อป้าน่ะหมายความว่ายังไง?”

“เจสสี...” ฉันทวนคำเบาๆ ด้วยความรู้สึกตระหนก “เจสสิก้ามังคะ?”

“ไม่ใช่หรอก เจสสีเบลล์ต่างหากล่ะ เจสสีเบลล์กับลีช...ผู้หญิงที่มีชื่อเสียงในทางชั่วร้ายที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ไง เราทุกคนมีชีวิตหล่อเลี้ยงไว้ด้วยข้อความในพระคัมภีร์ตลอดเวลา หรือถ้าจะให้ถูกก็คือการที่ตานั่งแปลความหมายจากข้อความในพระคัมภีร์มาให้เราฟัง ตาของเธอน่ะจะคอยตรวจตราหนังสือทุกเล่มที่เราอ่าน คอยเลือกเพื่อนเล่นให้เรา มีอะไรตั้งร้อยสี่พันอย่างที่กลายเป็นของต้องห้ามสำหรับเราไปเสียหมด และตาก็คอยจับตามองว่าเราจะทำอะไรนอกเหนือคำสั่งบ้างหรือเปล่า” เจสสีถอนหายใจยาวก่อนจะกล่าวต่อว่า

“เธอเชื่อไหมล่ะว่าพอถึงวันอาทิตย์เราจะต้องไปโบสถ์กันถึงสามครั้ง แม้แต่เวลาว่างเราก็ต้องนั่งฟังพ่ออ่านพระคัมภีร์อีกด้วย เขาอวดอ้างอยู่ตลอดเวลาว่ามันเป็นหนังสือเล่มเดียวที่มีค่าควรแก่การอ่านเป็นที่สุด ป้าน่ะต้องเข้าโรงเรียนสอนศาสนาตั้งแต่อยู่ชั้นป.สี่ สมัยนั้นนักเรียนหญิงแต่งเครื่องแบบเหมือนกันหมด สวมกระโปรงตัดจากผ้าพิมพ์สีเข้มยาวถึงตาตุ่ม ตัวเสื้อจะต้องแขนยาวคอปิดไม่ว่าจะเป็นฤดูหนาวหรือร้อนจะต้องแต่งตัวแบบนี้แบบเดียวเท่านั้น ผมก็ต้องตัดสั้น เพราะเซนต์ปอลกล่าวว่าศีรษะของสตรีนั้นควรจะเปิดเผยทั้งหมดถ้าไม่มีสิ่งใดปิดบังไว้ เพราะฉะนั้นพวกนักเรียนที่โตกว่าเราหรือพวกผู้ใหญ่จะต้องมีหมวกบอนเนทสวมกันไว้ทุกคน ป้าไม่เคยเห็นคุณยายอยู่โดยไม่มีหมวกสวมหัวเลย ซึ่งนั่นก็เป็นส่วนที่ดี ว่าแต่จะให้ป้าเล่าต่อไหมล่ะ?”

“หนูพอจะมองเห็นภาพแล้วค่ะ” ฉันเหลือบตาขึ้นมองดูป้าที่ขณะนี้กำลังเอนกายพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์ มือข้างหนึ่งคีบบุหรี่ไว้ส่วนอีกข้างหนึ่งถือแก้วบรั่นดี “แล้วป้าหนีจากตามาได้ยังไงล่ะคะ?”

“ป้าคงไม่กล้าหรอกถ้าเราจะไม่ย้ายไปอยู่ที่ชิคาโก ที่โอ๊คปาร์คน่ะ มีญาติข้างแม่คนหนึ่งได้ตายลงแล้วก็ทิ้งมรดกไว้ให้เป็นบ้านหลังใหญ่ ตอนนั้นพ่อก็แทบจะหางานทำไม่ได้เลยเพราะความเป็นคนหัวรั้นเอาแต่ใจตัวเองนั่นแหละที่ทำให้ผู้คนในเมืองไม่อยากจะจ้าง อีกประการหนึ่งพ่อก็ถือว่าการจะไปเป็นลูกจ้างใครก็ตามในเมืองเล็กๆ ที่พ่อเคยถือว่าตัวเองเป็นหัวหน้าเขามาโดยตลอดมันเสียศักดิ์ศรี แต่พอไปถึงชิคาโกซึ่งเป็นเมืองใหม่พ่อก็หางานทำได้ง่ายขึ้น ที่จริงพ่อเป็นคนที่มีฝีมือมากทีเดียวนะและในระยะหลังๆ ป้าก็คิดว่าเขาคงได้เรียนรู้วิธีปิดปากตัวเองลงเสียบ้าง ไม่ใช่ดีแต่นั่งสอนใครต่อใครเขาอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นมันก็ไม่มีปัญหาเรื่องงานเท่าไรนัก”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel