บทที่ 9
“เป็นครั้งแรกที่ป้าได้เห็นว่าในโลกภายนอกผู้คนเขาใช้ชีวิตกันยังไง และเพราะว่าที่เมืองนั้นไม่มีสาขาของโบสถ์ที่พ่อไปอยู่ เพราะฉะนั้นทุกวันอาทิตย์พ่อก็จะทำตัวเป็นบาทหลวงเสียเอง เราก็ต้องนั่งจับเจ่าฟังคำสอนกันทั้งวันทั้งคืนไม่เว้น แต่ที่มันเลวร้ายกว่าอะไรทั้งหมดก็คือ แม้จะย้ายมาอยู่ในเมืองอย่างนี้แล้วเราก็ยังต้องแต่งตัวกันแบบเดิม แถมยังต้องสวมถุงเท้าหนาๆ กับรองเท้าเก่าๆ พ่อตัดผมให้เราเองด้วยซ้ำ” หางเสียงนั้นบอกความขมขื่นเหลือล้น
“โถ...ป้าเจสสี” ฉันร้องออกมาจากหัวใจ “ตอนนั้นป้าเรียนอยู่ชั้นอะไรคะ?”
“ก็...ม.5 แล้วละ ลีน่ะเพิ่งจะม.1 ตอนนั้นมันก็ไม่ใช่ยุคของการแต่งตัวที่ทันสมัยขนาดมินิสเกิร์ตหรืออะไรหรอก แต่การที่เราแต่งตัวเปิ่นๆ ซอมซ่อขนาดนั้นคิดดูก็แล้วกันว่าพวกเพื่อนร่วมโรงเรียนเขาจะพูดหรือปฏิบัติต่อเรายังไง ไม่เคยมีครั้งไหนในชีวิตที่ป้าต้องพบกับความทุกข์ทรมานใจขนาดนั้นเลย”
“หนูเข้าใจค่ะป้า...หนูเข้าใจ”
“นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาป้าก็ยอมให้ปีศาจร้ายมันเข้าสิงสู่จิตใจเสียบ้าง พูดง่ายๆ ก็คือป้าเริ่มทำทุกอย่างที่มันตรงข้ามกับความประสงค์ของพ่อ ป้ารู้ว่าการที่พ่อส่งเสียเราให้ได้เล่าเรียนไม่ได้เป็นเพราะห่วงใยกับอนาคตในวันข้างหน้าของเราหรอก แต่เป็นเพราะกฎหมายบังคับไว้เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่ป้าอายุครบสิบหก พ่อต้องเอาป้าออกจากโรงเรียนทันที” ป้าเจสสีถอนหายใจยืดยาว ก่อนจะเล่าต่อด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า
“พอวันเกิดปีที่สิบหกป้าก็เดินออกจากบ้านแล้วไม่เคยกลับไปเหยียบอีกเลย ด้วยความช่วยเหลือของครูบางคนทำให้ป้าได้เป็นพนักงานฝึกหัดขายที่ร้านของมาร์แชลล์ ฟิลด์ พออายุยี่สิบเอ็ดป้าก็ได้เป็นหัวหน้าแผนก แต่ตลอดเวลาที่ผ่านไปป้าติดต่อกับแม่ของเธออยู่เสมอ แต่ก็ต้องคอยปิดบังเพราะตอนนั้นพ่อตัดชื่อป้าออกจากทะเบียนบ้านแล้ว พูดง่ายๆ ก็คือเลิกเป็นพ่อลูกกันไปเลย”
“พอลีอายุสิบหกก็เดินตามรอยเท้าป้า มันต่างกันตรงที่ว่าตอนที่ป้าออกจากบ้านป้าไม่มีใครเลย แต่พอถึงลีเขามีทั้งป้าทั้งอพาร์ทเม้นท์เล็กๆ แถมป้ายังมีเงินเดือนก้อนใหญ่พอจะเลี้ยงดูเราสองคนให้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้อีกด้วยป้าตั้งใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าลีจะต้องเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย ที่จริงป้าน่ะเป็นคนหัวดีนะ แต่ทั้งเวลาและโอกาสมันไม่อำนวยให้ เพราะฉะนั้นป้าก็อยากส่งเสริมน้องให้ได้ดีมากกว่า ป้าก็ตัดสินใจถูกจริงๆ ลีไม่ได้มีปัญหาอะไรเลยสำหรับการสอบขั้นปริญญาตรี แม่เธอน่ะเขาเป็นคนเรียนเก่งจริงๆ”
“ตอนที่ลีอายุได้ยี่สิบเอ็ดก็มีคนเขาเสนองานชิ้นหนึ่งในฟิลาเดลเฟียให้ป้า อันที่จริงมันก็เป็นเรื่องน่าแปลกอยู่เหมือนกันนะ ป้าน่ะพยายามจะให้แม่เธอเรียนวิชาครูหรือไม่ก็ธุรกิจการบริหารอย่างที่ผู้หญิงส่วนใหญ่เขาเรียนกันแต่ลีไม่สนใจเลย เขากลับสนใจโบราณคดีมากกว่า แต่วันที่เขาเดินเข้าไปในสถาบันโอเรียนทัล อินสทิทิวท์ มันเหมือนกับเขาถูกชักนำด้วยวิถีแห่งโชคชะตาจริงๆ เพราะเขาเกิดพบรักแรกเห็นเข้าที่นั่น”
“ที่จริงป้าอยากจะให้ลีไปกับป้าด้วย เพราะเขาย้ายไปเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งเพนซิลวาเนียได้อยู่แล้ว แต่ตอนนั้นลีกำลังสบายใจมีเพื่อนฝูงเยอะแยะ ป้าก็ไม่มีอะไรจะต้องกังวลเลยถ้าจะทิ้งเขาไว้ที่นั่นตามลำพัง อีกประการหนึ่งเขาก็อายุตั้งยี่สิบเอ็ดแล้ว มีพ่อแม่ผู้ปกครองตั้งมากมายที่ส่งลูกไปอยู่ไกลหูไกลตาทั้งที่เล็กกว่านี้”
“นั่นสิคะ หนูคิดว่าป้าไม่มีอะไรจะต้องตำหนิตัวเองเลยที่ทำอย่างนั้น” ฉันพูดคล้อยไปตามเรื่อง ขณะนี้ข้างนอกมืดสนิทแล้ว แสงจากโคมไฟทางด้านหลังส่องต้องเรือนผมป้าเจสสีเป็นประกายและเร้นใบหน้าไว้ใต้เงามืด
“ใครว่าป้าตำหนิตัวเองเล่า?” ป้าเจสสีขยับตัวแรง เป็นผลให้เจ้าแมวที่ซุกหลับอยู่กับตักหล่นโครมลงไปกองกับพื้นห้อง ป้ารีบเอื้อมมือไปลูบหลังมันอย่างจะขอโทษ แต่เจ้าพุชมันหยิ่งกว่า มันเดินตัวตรงออกไปจากห้องนั้นทันทีไม่ยอมหันกลับมามองป้าอีกเลย
“ป้าก็ไม่ตำหนิลีด้วยเพราะว่ามันเป็นชีวิตของเขา เป็นการตัดสินใจของเขา เพียงแต่ผลที่ตามมาในตอนหลังนั้นมันสร้างความแปลกใจให้เกิดขึ้นกับป้ามากกว่า ทั้งที่เขาเรียนจบปริญญาโทและการที่เขาเลือกเควินในขณะที่มีเพื่อนผู้ชายคนอื่นๆ อีกตั้งโขยง...”
“ป้ารู้จักพ่อด้วยหรือคะ?”
“จริงๆ แล้วก็ไม่รู้จักเขาอย่างจริงจังอะไรนักหรอก แต่ว่ารู้จักเพื่อนคนอื่นๆ ของลีมากกว่า ส่วนใหญ่ก็เป็นเพื่อนที่เรียนร่วมคณะกันอยู่ ครั้งแรกที่ป้าได้ยินเขาเอ่ยชื่อเควินก็ตอนที่มาฉลองวันคริสต์มาสปีสุดท้ายคือปี 1964 นั่นแหละ” ป้าเจสสีถอนหายใจออกมาอีก
“ป้ารู้แต่เพียงว่าเควินเขาเลือกเรียนเอกทางด้านบริหารธุรกิจ แต่ก็ลงบางวิชาไว้ที่สถาบันโอเรียนทัลนี่ เพื่อจะได้อยู่ใกล้ชิดลีมากขึ้น ซึ่งลีก็ดีอกดีใจอยู่บ้างเหมือนกันแต่มันคล้ายกับมีอะไรแฝงๆ อยู่ จะว่าไม่ชอบก็ไม่เชิง เพียงแต่ไม่อยากจริงจังอะไรด้วยเท่านั้น ที่จริงถ้าเขาเลือกแต่งงานกับคนอื่นบ้างก็คงไม่แปลกใจหรอก ตอนที่เขาโทรศัพท์มาบอกว่าเขากับเควินจะแต่งงานกันน่ะป้ายังคิดว่าเขาล้อเล่นเสียอีก แต่พอรู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงก็รู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่าเชียวล่ะ”
แล้วก็คงจะเจ็บช้ำด้วย...ฉันคิดอยู่ในใจ เพราะป้ากับแม่เป็นพี่น้องที่ใกล้ชิดสนิทสนมกันอย่างที่สุดและแม่ก็เป็นหนี้บุญคุณป้าอยู่มาก มันคงจะไม่ใช่การกล่าวเกินความจริงอย่างแน่นอนถ้าจะพูดว่าแม่เป็นหนี้ป้าทั้งชีวิตด้วยซ้ำ ป้ายอมเสียสละความปรารถนาอันสูงสุดและความมานะพยายามทุกอย่างเพื่อจะแผ้วถางเส้นทางเดินในชีวิตของแม่ให้ราบรื่นเพื่อจะก้าวไปสู่ความสำเร็จในวันข้างหน้า แต่ทั้งหมดนั้นคือความสูญเปล่าที่น่าเสียดายและเสียใจยิ่งนัก
และขณะนี้ฉันเองก็กำลังทำเช่นเดียวกับที่แม่เคยทำกับป้ามาแล้ว...
เจสสีวางแก้วที่ถืออยู่ในมือลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง ก่อนจะลุกขึ้น
“สงสัยว่าป้าจะเมาแล้วล่ะ” ป้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักๆ “เห็นจะต้องเข้านอนเสียที คิดว่าเธอคงพอใจนะที่เราได้คุยกันวันนี้ส่วนป้าน่ะไม่รู้สึกอะไรหรอก ไม่มีทั้งความดีใจหรือเสียใจทั้งสิ้น”
เจสสีเดินออกไปยังประตู ซวนเซเล็กน้อยแต่ก็ไม่ถึงกับจะประคองตัวไว้ไม่อยู่ ฉันเพียงแต่มองตามร่างที่หายลับออกไปทางประตู และรู้เพียงว่าขณะนี้เรื่องที่เราคุยกันมันเข้ามาใกล้ประเด็นสำคัญของเรื่องเต็มทีแล้ว
ฉันยังคงนั่งอยู่ในที่เดิมอีกเป็นเวลานาน ช้อนร่างเจ้าพุชขึ้นมาวางไว้บนตักแล้วก็ลูบหลังให้จนกระทั่งมันหลับ
เป็นครั้งแรกที่ฉันคิดขึ้นมาว่า ฉันกำลังจะกระทำสิ่งผิดพลาดให้เกิดขึ้นกับชีวิตของตนเองหรือไม่หนอ? ทำไมฉันถึงไม่ปล่อยให้ความลับคงเป็นความลับอยู่เช่นนั้นตลอดไปเล่า? แต่แม้คำถามดังกล่าวจะเกิดขึ้นในใจยามนี้ฉันก็รู้คำตอบได้ในทันทีว่า ฉันจะปล่อยให้มันเป็นอยู่อย่างนั้นเห็นจะไม่ได้ เพราะคล้ายกับว่ามันมีช่องว่างเกิดอยู่ตรงจุดหนึ่งของชีวิต เป็นช่องว่างที่ดำมืดราวเงาแห่งอสูรร้ายที่แฝงตัวอยู่ในจิตวิญญาณส่วนลึก ฉันมองเห็นตัวอย่างของความไม่ยอมใส่ใจในความลับนี้ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่กับเจสสีมาแล้ว
เวลานี้เจ้ามังกรตัวร้ายได้ตื่นขึ้นและกำลังพ่นไฟออกมาทุกวันวานที่ผ่านไป ฉันเฝ้ามองดูเจสสีต่อต้านกับพิษไฟนั้น สิ่งที่ฉันได้ทำลงไปกับป้ามันเหมือนกับการจับป้าทุ่มลงไปในบ่อลึกแทนที่จะฉุดรั้งขึ้นมา แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเจสสีจะยินดีกับความเอื้อเฟื้ออีกเหมือนกัน เพราะเท่าที่ฉันทราบแอนน์เองก็เคยใช้ความพยายามมาแล้ว เพียงแต่ได้รับคำปฏิเสธ เจสสีไม่ต้องการยอมรับในความอ่อนแอของตนเอง
ฉันปลอบใจตัวเองได้แต่เพียงว่าถึงอย่างไรบัดนี้ความเสียหายมันก็ได้เกิดขึ้นแล้ว เมื่อสิ่งที่ขวางกั้นไว้ถูกลดลงมันก็ช่วยให้เจสสีพูดจาเป็นอิสระขึ้น เมื่อมาถึงตอนนี้ฉันก็ฉลาดพอที่จะไม่ซักไซ้ไล่เลียงอะไรต่อปล่อยให้ทุกสิ่งดำเนินไปตามวิถีของมัน เมื่อถึงเวลาอันสมควรเจสสีจะต้องเปิดเผยเรื่องทั้งหมดให้ฉันฟังเอง
สิ่งที่เป็นอนุสรณ์เตือนความจำของเราทั้งสองก็เห็นจะมีแต่อัลบั้มที่ใส่รูปถ่ายเก่าๆ ไว้ซึ่งฉันเอาออกมาเปิดดูอยู่เสมอ หลังจากที่แม่มาอยู่ด้วยเจสสีถ่ายรูปไว้ดูเล่นมากมาย ฉันรู้ว่านั่นคือช่วงชีวิตที่มีความสุขที่สุดของป้า การได้เห็นน้องสาวแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสวยงาม อารมณ์แจ่มใสร่าเริงเปี่ยมอยู่ด้วยความสุขในท่ามกลางแวดล้อมของเพื่อนๆ ฉันสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าป้ากับแม่เป็นพี่น้องที่รักกันที่สุดในโลก
หลังจากที่ต้องแยกกันอยู่ แม่ก็ยังคงส่งรูปถ่ายร่วมกับเพื่อนๆ กับจดหมายที่แสดงความรักความห่วงใยมาถึงป้า ขณะเดียวกันก็เล่าถึงกิจกรรมที่ตนได้กระทำลงไปในระหว่างวันหรือระหว่างสัปดาห์มาให้ฟังอยู่ไม่ขาด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแม้ตัวจะอยู่ห่างไกลกันแต่หัวใจนั้นยังคงชิดใกล้กันอยู่เสมอ มีรูปหลายรูปที่ฉันให้ความสนใจเป็นพิเศษโดยเฉพาะรูปที่แม่ถ่ายร่วมกับเพื่อนๆ ในปีสุดท้ายแห่งการมีชีวิตอยู่ เจสสีดูจะรู้จักทุกคนที่อยู่ในรูปเหล่านั้นเพราะแม่อธิบายมาในจดหมายที่เขียนถึงอย่างละเอียดถี่ถ้วนซึ่งพลอยทำให้ฉันได้รู้จักไปด้วย
จริงๆ แล้วเจสสีมิได้กล่าวเท็จหรือหลอกลวงฉันเลย เพียงแต่หลอกตัวเองอยู่ตลอดเวลาต่างหาก ไม่เต็มใจจะยอมรับในชะตากรรมที่บุคคลผู้เป็นที่รักของตนจะต้องได้รับ และเหตุผลอีกประการหนึ่งที่ทำให้ความลับยังคงเป็นความลับสืบมาจนกระทั่งทุกวันนี้ก็เนื่องจากว่า เมื่อครั้งที่ยังเป็นเด็กนั้นป้าและแม่ได้รับการอบรมสั่งสอนอย่างเคร่งครัดว่าการร่วมประเวณีโดยที่ยังไม่ได้แต่งงานอย่างถูกต้องถือเป็นความผิดบาปอย่างมหันต์ เพราะฉะนั้นถ้ามีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นมันต้องเป็นธรรมดาที่ผู้หญิงจะต้องรีบคว้าใครสักคนหนึ่งมาแต่งงานด้วย เพราะย่อมดีกว่าจะถูกผลาญเผาด้วยเพลิงบาปในนรกอย่างแน่นอน
เมื่อมาถึงตอนนี้ ฉันก็ตั้งใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าจะต้องทำให้เจสสีพูดออกมาให้ได้ว่ามีเพื่อนคนไหนของแม่กันแน่ที่ควรจะเป็นพ่อของลูกในท้อง ลูกที่เกิดมาอย่างผิดกฎหมาย แต่มีผู้ชายอีกคนหนึ่งที่หลงรักในตัวแม่อาสาที่จะทำให้มันถูกกฎหมายขึ้นได้
