บท
ตั้งค่า

บทที่ 7

“พอที” แอนน์พูดพร้อมกับเหลือบตามองป้าเจสสี มันคล้ายกับมีสัญญาณบางอย่างสื่ออยู่ระหว่างกัน ฉันเห็นเจสสีผุดลุกขึ้นจากที่นั่งและเดินออกไปจากห้อง แต่ไม่ก่อนที่ฉันจะทันเห็นใบหน้าที่แดงก่ำ ริมฝีปากเม้มสนิท

“คุณทำอย่างนี้ทำไมคะแอนน์” ฉันถามเสียงเครียด “ทำไมถึงไม่ให้ป้าตอบคำถามนั่นเสียก่อนล่ะคะ หรือถ้าป้าอยากจะตะโกนใส่หน้าหนูก็ทำได้นี่ คุณไม่จำเป็นจะต้องระวังความรู้สึกของหนูเลยนี่คะ”

“หนูรู้แต่ความรู้สึกของตัวเองเท่านั้นน่ะหรือ?” ฉันไม่เคยเห็นแอนน์ทำเสียงเช่นนี้มาก่อน แต่ขณะนี้เธอกำลังเล่นงานฉันอยู่อย่างแน่นอน มือที่ประสานกันอยู่บิดไปมาคล้ายกับบังคับไว้ไม่ให้ทำอะไรที่อาจจะเสียใจภายหลังได้

แอนน์สงบระงับตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม เอนหลังลงพิงกับพนักเก้าอี้ ระบายลมหายใจออกมาเบาๆ

“เกือบไปแล้วนะฮัสเคลล์ ฉันพยายามนะที่จะไม่โกรธ หนูทำให้ฉันตกใจมากมารยาทไม่ดีเลย หนูกล้าทำอย่างนั้นกับเจสสีเพราะรู้ไว้ว่าไม่ว่าหนูจะทำกับเขายังไงเขาก็ไม่มีวันหมดรักในตัวหนู มันเป็นความรักระหว่างแม่กับลูกในระดับคลาสสิคจริงๆ”

ถ้าแอนน์จะตบหน้าฉันยังจะดีเสียกว่า คำพูดประโยคนั้นมันสร้างความรานร้าวยิ่งเสียกว่า เพราะฉันรู้ว่าแอนน์พูดถูกทุกคำ

“ฉันรู้ฮัสเคลล์ว่าหนูรู้สึกยังไง แต่จะให้ฉันต้องใจเย็นแล้วก็ใช้เหตุผลเพียงเพราะฉันเห็นใจหนูทั้งที่เรื่องนี้มีเจสสีเกี่ยวข้องด้วยน่ะฉันทำไม่ได้หรอก หนูไม่เห็นหรือว่าคำพูดเมื่อกี้มันยิ่งเสียกว่าเอาน้ำเกลือไปราดใส่แผล สมมุติว่าเจสสีไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย ฉันรับรองได้ว่าเขาไม่รู้ หนูคิดบ้างไหมว่าเมื่อความจริงมันเปิดเผยขึ้นเขาเองตกใจพอๆ กับหนูเหมือนกัน เพราะมันเหมือนกับว่าน้องสาวที่เขารักยิ่งกว่าใครในโลกหักหลังเขา คนที่เขาไว้วางใจอย่างที่สุดกลับไม่เคยคิดไว้ใจเขาเลย ไม่ว่าเธอหรือใครก็ตามย่อมจะต้องรู้ว่าความรู้สึกอย่างนั้นมันเจ็บปวดแค่ไหน”

ฉันไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาแอนน์เลย หยาดน้ำใสกำลังเอ่อท้นอยู่ในขอบตา แต่กระนั้นฉันก็ยังต้องใช้โอกาสสุดท้ายนี้แก้ตัวไปก่อน

“ไม่ว่าหนูจะทำอะไรป้าจะต้องคอยคัดค้านหนูเสมอ”

“อย่างเช่นเรื่องที่เธอไปแคมป์ที่อดิรอนแด๊คสกับเพื่อนหนุ่มร่วมโรงเรียนที่เขาเอาเพื่อนติดยาเสพติดไปด้วยสองคนนั่นใช่ไหม?”

“มันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิดนะคะ” ฉันร้อง

“ฉันรู้ หนูเชื่อว่าความบริสุทธิ์ใจของตัวเองจะช่วยรั้งพวกเขาขึ้นมาจากการเป็นทาสสิ่งเสพติดนั่นได้”

“ตอนนั้นหนูเพิ่งอายุสิบหก มันยังโง่อยู่มากนะคะแอนน์”

“ใช่ เด็กๆ วัยนั้นล้วนแต่ทำอะไรที่มันโง่เขลากันทั้งนั้นแหละ” แอนน์พูดยิ้มๆ

“แม้แต่คุณหรือคะ?”

“โดยเฉพาะก็ตัวฉันนี่แหละ”

คำตอบของแอนน์ทำให้ฉันเกิดความรู้สึกเท่าเทียมกับเธอขึ้น มันช่วยให้ฉันรู้สึกคลายใจลงได้อย่างมากที่เผชิญหน้ากับความจริง ไม่ว่ามันจะสร้างความอึดอัดให้เกิดขึ้นมากสักเพียงไรก็ตาม

“เอาละค่ะ” ฉันเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นบ้าง “เวลานี้หนูก็เป็นคนไม่ดีเป็นคนอกตัญญูไม่รู้คุณคน หนูควรจะต้องขอโทษเจสสีอย่างที่สุด ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะหนูจะต้องขอโทษแน่ด้วยหัวใจของหนูทีเดียว แต่นั่นแหละนะคะแอนน์หนูไม่อยากเห็นป้าคัดค้านหนูไปเสียหมดไม่ว่าหนูจะทำอะไร หนูอยากตัดสินใจด้วยตัวเอง อยากทำอะไรด้วยตัวเองบ้าง แม้ว่ามันจะผิดก็ตามที แต่การที่คนเราจะฉลาดได้มันก็ต้องเรียนจากประสบการณ์ที่ตนเองได้รับมาแล้วไม่ใช่หรือคโดยเฉพาะความผิดพลาด?”

ฉันเห็นแววแห่งความเห็นใจปรากฏอยู่ในดวงตาของนายแพทย์หญิงผู้นั่งอยู่ตรงหน้า แต่แอนน์ก็ยังสั่งศีรษะปฏิเสธอยู่ “ไม่มีพ่อแม่คนไหนหรอกที่จะทนยืนดูลูกของตนวิ่งเข้าไปพบกับความวิบัติโดยไม่พยายามเข้าไปขัดขวาง โดยเฉพาะผู้ปกครองที่ค่อนข้างจะเข้มงวดอย่างเจสสี”

“หนูเข้าใจค่ะ หนูก็เชื่อว่ามันจะต้องเป็นอย่างนั้น แต่การตัดสินใจของหนูมันไม่ถึงขั้นวิบัติอะไรนี่คะ เรื่องแรกป้าพยายามคัดค้านที่หนูจะเรียนวิชาไอยคุปต์วิทยา...”

“หนูก็รู้เหตุผลอยู่แล้วนี่ว่าเพราะอะไร”

“แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าหนูจะต้องเลียนแบบแม่นี่คะ เอ้อ...อย่างน้อยก็ไม่ทั้งหมด ต่อมาก็เรื่องที่หนูตัดสินใจแต่งงานโดยไม่ทำปริญญาโท ป้าก็คัดค้านอีก...”

“ก็เพราะเจสสีคิดว่าหนูยังเด็กเกินไปน่ะสิ”

“และตอนนี้หนูก็ได้พิสูจน์แล้วไงคะว่าป้าคิดถูก”

“ฉันว่าหนูอย่าไปคิดว่านั่นเป็นการแข่งขันกันทางด้านความคิดจะดีกว่านะ” แอนน์พูดเสียงเครียด “ถ้าขืนต่อสู้กันไปอย่างนี้เรื่อยๆ มันก็ไม่มีทางที่ฝ่ายไหนจะชนะได้หรอก ฉันอยากจะแนะนำว่า...”

“คุณทำได้อยู่แล้วนี่คะ”

“แน่นอน” แอนน์ยิ้มกว้าง หันไปมองทางประตูห้องพร้อมกับร้องบอกว่า “ออกมาเถอะเจสสี เรียบร้อยแล้ว”

เจสสีเดือนออกมาในมือถือถาดเครื่องดื่มมาด้วย แอนน์รับแก้วเชอร์รี่ซึ่งเป็นเครื่องดื่มชนิดเดียวที่เธออนุญาตให้ตัวเองและแล้วฉันก็เห็นเครื่องดื่มที่เจสสีเอามาสำหรับฉัน มันเป็นเบียร์ชนิดหนึ่งที่ฉันชอบมากที่สุดต้องสั่งเข้ามาและราคาแพงมาก ไม่น่าเชื่อเลยว่าเบียร์ขวดเล็กๆ นั่นทำให้ฉันอยากร้องไห้ออกมาอย่างที่สุดและยิ่งแววตาของเจสสีที่ลอบชำเลืองมองหน้าฉันมันยิ่งทำให้ฉันเกิดความละอายใจยิ่งนัก

“ป้าเจสสีคะหนูขอโทษ หนูเสียใจจริงๆค่ะ”

“ไม่เป็นไรหรอกลูก ป้าเองก็เสียใจเหมือนกัน”

แอนน์ยกแก้วเชอร์รี่ขึ้นจิบและยิ้มด้วยความพอใจ

ฉันอยากจะให้ตัวเองสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าการเผชิญหน้ามันช่วยให้บรรยากาศที่ตึงเครียด ระหว่างฉันกับเจสสีดีขึ้น แต่จริงๆ แล้วมันกลับไม่ได้เป็นเช่นที่คิด อาจเพราะชีวิตมันไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่เราหวังจะเห็นมันเป็น ฉันอดขอบใจคำวิจารณ์ของแอนน์ไม่ได้ เพราะทำให้ฉันมีความเข้าใจในตัวป้าและสิ่งที่ฉันได้กระทำลงไปดีขึ้น แต่อย่างน้อยฉันก็ได้เปิดฝากล่องแห่งความหวาดหวั่นที่เจสสีปิดไว้อย่างสนิทแน่นมาเป็นเวลานับสิบปีออก ซึ่งเมื่อฝากล่องนั้นถูกเปิดออกแล้วเจสสีก็จะไม่เก็บกักความหวาดหวั่นไว้อีกต่อไป แต่จะต้องต่อสู้กับมัน เป็นการต่อสู้ที่น่ากลัวแม้แต่จะจับตาดู เด็กๆ ทุกคนย่อมไม่พร้อมจะยอมรับในความอ่อนแอของคนที่เป็นพ่อแม่ ไม่อยากคิดว่าแท้ที่จริงแล้วพ่อแม่ก็คือมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่งที่มีความกลัวสิงสู่อยู่ในจิตใจเช่นเดียวกับมนุษย์คนอื่นๆ ความเลวร้ายนั้นอยู่ตรงที่ว่าฉันไม่มีทางจะช่วยเหลือเจสสีได้เลยเพราะเราต่างก็ต้องต่อสู้กับความหวาดหวั่นที่คุกคามชีวิตของเราอยู่ด้วยเช่นกัน

ฉันแทบจะไม่มีความรู้เกี่ยวกับภูมิหลังของเจสสีกับแม่เลย ถ้าจะว่าไปแล้วมันแทบจะไม่มีคำถามใดๆ เกี่ยวกับความจริงในเรื่องนี้นอกเสียจากยอมรับมันเสียโดยดีเช่นที่เรายอมรับว่าถ้าออกไปยืนตากฝนมันก็ต้องเปียกเท่านั้น ฉันรู้แต่เพียงว่าทั้งป้าและแม่เกิดที่เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในรัฐอิลลินอยส์ เมื่อป้าเจสสีอายุสิบเอ็ดและแม่อายุได้หกขวบ คุณตาซึ่งเป็นช่างไม้ได้ย้ายไปอยู่ทางตอนเหนือของเมืองชิคาโก หลังจากที่ป้าเจสสีจบไฮสคูลก็ออกหาทำงานเลย แต่แม่ไม่เพียงแต่จะเรียนสำเร็จในชั้นปริญญาตรีเท่านั้น ตอนที่ตัดสินใจแต่งงานแม่กำลังอยู่ในระหว่างการทำปริญญาโทด้วย

การตัดสินใจดังกล่าวมันออกจะเป็นเรื่องโรแมนติกสำหรับฉัน ฉันจำได้ว่าตอนที่ตัวเองอายุสิบสองหรือสิบสามก็เคยหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาถามป้าเหมือนกัน เพราะตอนนั้นกำลังเป็นวัยที่อยู่ในอารมณ์โรแมนติกมากและป้าเจสสีก็ให้คำตอบอย่างดีที่สุดเหมาะสมกับวัยและอารมณ์ของฉัน ป้าเล่าแต่เฉพาะสิ่งที่ฉันอยากฟัง เช่น แม่ทิ้งงานที่กำลังทำอยู่ไปใช้ชีวิตคู่ที่แสนสุขกับพ่อก่อนหน้าที่พ่อจะเดินทางไปรับใช้ประเทศชาติ ซึ่งในตอนนั้นฉันมองเห็นว่าแม่ทำในสิ่งที่ถูกต้องอย่างที่สุดแล้ว จะมีสิ่งใดยิ่งใหญ่ไปกว่าความรักเล่า?

เหตุการณ์มันเกิดขึ้นในตอนค่ำของวันหนึ่งขณะที่เรานั่งกันอยู่ในห้องนั่งเล่นหลังจากกินอาหารค่ำแล้ว มันเป็นค่ำของวันเสาร์ซึ่งเจสสีไม่ต้องไปทำงานในวันรุ่งขึ้น ดังนั้นจึงอนุญาตให้ตัวเองดื่มบรั่นดีได้สองแก้ว

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel