บทที่ 5
เราเหมือนคนสองคนที่พยายามสื่อความเข้าใจกันโดยไม่ต้องใช้ภาษาธรรมดา สิ่งที่ฉันพูดมันเหมือนไม่มีความหมายสำหรับเขาและข้อโต้แย้งที่เขาตอบกลับมามันก็ไม่ได้กระทบกระเทือนอะไรฉันเลย
เขาเป็นคนที่มีเหตุผลอย่างที่สุดและก็พูดแต่สิ่งที่ถูกต้องจริงๆ เขาชี้ให้ฉันเห็นถึงเหตุผลตามแบบทนายความของเขา
จอนมีความเห็นว่าการตรวจร่างกายเช่นที่เราผ่านกันมานั้นมันเป็นเพียงการชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้เท่านั้น แต่มันไม่ใช่บทสรุปสำหรับชีวิตใครทั้งสิ้น อาจจะมีบรรพบุรุษเชื้อสายยุโรปตะวันตกของฉันบางคนที่ไปรับเอายีนส์ตะวันออกมาจากที่ไหนสักแห่งตามสายพันธุ์และถึงแม้ว่าความสงสัยที่ออกจากใช้อารมณ์เข้ามาเป็นส่วนประกอบของฉันมันจะเกิดถูกต้องขึ้นมา มันจะสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้นตรงไหนเล่า? เราก็ยังเป็นคนสองคนเช่นเดิมที่ยังรักกันอยู่มากหรือมิใช่?
“แต่ฉันไม่เคยรู้เลยนะว่าตัวเองเป็นใคร” ฉันอดค้านไม่ได้แม้ว่าทุกอย่างที่เขาพูดมามันจะถูกก็ตามที
“แต่คุณก็เพิ่งจะเห็นด้วยกับ...”
“อย่ามาขู่ให้ฉันต้องเป็นพยานเท็จนะ”
“เปล่าเลย ผมเพียงแต่อยากจะให้คุณยืนยันใน...”
“ฉันก็ยืนยันไปแล้วไงล่ะ อย่างน้อยก็ในระดับหนึ่งว่าฉันยังคงเป็นฉันคนเดิม แต่ในอีกระดับหนึ่งซึ่งคุณอาจจะเรียกว่าสภาพทางจิตหรือสภาพทางอารมณ์ก็ตามใจเถอะ...มันกำลังเคว้งคว้างเต็มที มันเหมือนกำลังว่ายวนอยู่กลางทะเลไม่มีผิดเลยนะคะจอน”
“ผมเข้าใจ” ขณะนั้นเรากำลังนั่งเคียงกันอยู่บนโซฟาและหันหน้ามาเผชิญกันอยู่ เขาเอื้อมมือมากุมมือฉัน เหมือนใครสักคนที่พยายามไขว่คว้าเชือกที่ลอยอยู่ไกลเกินเอื้อม
“คุณไม่เข้าใจหรอกค่ะ” ฉันดึงมือออก “เพราะถ้าคุณเข้าใจจริงๆ แล้วคุณจะต้องไม่พยายามพูดให้ฉันเปลี่ยนใจอย่างนี้”
ริมฝีปากของเขาคลายความอ่อนโยนลงทันทีและเมื่อเขาเอ่ยปากพูด น้ำเสียงที่หลุดรอดออกมาก็เต็มไปด้วยความกระด้าง
“ฮัสเคลล์ ถ้าคุณต้องการจะค้นหารากเหง้าของตัวเองจริงๆ แล้วล่ะก็ผมเห็นด้วย แล้วก็พร้อมที่จะช่วยคุณด้วย เราจะทำงานนั้นด้วยกัน”
“เรื่องนี้ฉันต้องทำคนเดียวค่ะจอน”
“ทำไมล่ะ?”
ทำไมเช่นนั้นหรือ...มันช่างเป็นคำถามที่ดีเหลือเกินฉันและฉันก็อยากจะให้ตัวเองมีคำตอบที่ดีด้วยเช่นกัน
ที่จริงฉันน่าจะอ้างบุญคุณได้ด้วยซ้ำที่ฉันให้ความกรุณากับเขาถึงขนาดนี้ ยอมให้เขาเป็นอิสระต่อการผูกพันเสีย ในขณะที่ฉันใช้ความพยายามค้นคว้าถึงชาติตระกูลของตัวเอง เพื่อให้แน่ใจว่ามันไม่มีแอปเปิ้ลเน่าแอบแฝงอยู่ที่ไหนสักแห่ง แต่นั่นมันเป็นนิยายน้ำเน่าที่พ้นยุคสมัยของเราไปแล้ว ปัญหาทุกปัญหาย่อมมีคำตอบ แม้แต่ปัญหาเรื่องโรคร้ายที่ติดต่อมาทางพันธุกรรมเช่นเทย์-แซคส์ก็ตามที ฉันอาจจะพูดซ้ำคำเดิมที่ได้พูดกับเขาไปแล้วอีกครั้งก็ยังได้ว่า
“ฉันไม่รู้เลยนะว่าตัวเองเป็นใคร ครั้งหนึ่งฉันเคยเป็นผู้หญิงที่รักคุณ และผู้หญิงคนที่กำลังนั่งอยู่ต่อหน้าคุณในเวลานี้เป็นใครอีกคนหนึ่งต่างหาก” แต่มันก็ยังดูเกินความจริงอีกนั่นแหละ แม้ว่ามันจะมีส่วนจริงอยู่บ้างก็ตาม
ฉันอาจจะไม่รู้ในคำตอบทั้งหมด แต่ก็รู้ในบางส่วนของมัน นี่คือสิ่งที่ฉันจะต้องทำด้วยตัวเอง ไม่ต้องขอความช่วยเหลือจากใคร ไม่ต้องการให้ใครมาให้กำลังใจและไม่ต้องพึ่งพาอาศัยใครทั้งสิ้นแม้จะเคยทำเช่นนั้นมาก่อนก็ตาม
คนแรกที่เคยเป็นที่พึ่งของฉันคือเจสสี ผู้หญิงใจแข็ง แก้ปัญหาของตัวเองมาโดยตลอดและบางครั้งก็ยังช่วยแก้ให้คนอื่นอีกด้วย ต่อมาฉันก็มีจอน ฉันเฝ้าถามตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าเพราะเหตุใดฉันจึงดีใจนักเมื่อเขาขอแต่งงานกับฉันแทนที่จะอยู่อย่างอิสระไม่จำเป็นต้องผูกพันกับใคร ยอมทิ้งบ้านหลังนี้เพื่อจะไปรับภาระความรับผิดชอบในฐานะภรรยาของเขา
ตอนนั้นอาจจะเป็นเพราะสมองฉันไม่ปลอดโปร่งแจ่มใสพอก็ได้ แต่ขณะนี้แม้ว่าฉันจะไม่ใช้สมองแต่ก็รู้จักใจของตัวเองดี รู้ว่าฉันจะต้องค้นหาความจริงในเรื่องนี้ด้วยตัวเองและเนื่องจากฉันกลัวกับการที่จะต้องอยู่ตามลำพัง เพราะฉันอยากจะเกาะกุมมือที่ยื่นมาให้ เพราะว่าฉันจะต้องต่อสู้กับตัวเองเช่นเดียวกับจอน ฉันก็เลยสู้อย่างโหดร้ายและอยุติธรรม
“ทำไม?” เขาถามย้ำและฉันก็ตอบว่า
“เพราะถ้าคุณรักฉันจริงคุณก็ไม่ต้องถามหาเหตุผลสิคะ”
เมื่อตอบออกไปแล้วฉันก็รู้สึกอยากหัวเราะออกมาดังๆ คำตอบแบบนี้มันจะยั่วโมโหผู้ชายได้ดีนัก
“นี่ถามจริงๆ เถอะ ผมอยากรู้นักว่าผู้หญิงน่ะต้องการอะไรกันแน่?” จอนไม่เคยตะโกนใส่หน้าหรือเสียอารมณ์ง่ายๆ เลย ทั้งที่บางครั้งฉันอยากให้เขาเป็นอย่างนั้นที่สุด โดยเฉพาะในตอนนี้ เพราะการตะโกนใส่หน้ากันมันช่วยระบายอารมณ์ได้ดี ถ้าเขาเป็นคนไร้เหตุผลเท่าๆ กับฉันมันคงไม่ทำให้ฉันมีความรู้สึกเหมือนเด็กเล็กๆ ที่ถูกผู้ใหญ่คอยกระหนาบอยู่อย่างนี้ เขาทั้งใจดีมีเมตตาแล้วก็อ่อนโยนกับฉันอย่างที่สุด ฉันไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดเขาจึงยอมรับไม่ได้ว่าความรู้สึกของฉันมันมีความสำคัญเพราะว่ามันคือความรู้สึกของฉันบ้าง? ทำไมเขาไม่ยอมเปิดโอกาสให้ฉันใช้ความคิดบ้าง แทนที่จะมาคาดคั้นเอาคำตอบอย่างรวดเร็วเช่นนี้
ฉันไม่อยากโต้เถียงกับเขาอีกต่อไป อาจจะเป็นเพราะไม่ได้ภาคภูมิใจกับเหตุผลของตัวเองมากนักก็ได้ จอนไม่เคยหวั่นไหวไ ม่เคยใช้เสียงดัง เขาเพียงแต่ใช้น้ำเสียงเรียบๆ บอกกับฉันว่า
“เอาไว้เมื่อคุณอารมณ์ดีแล้วเราค่อยพูดกันใหม่ก็แล้วกัน”
ตอนที่เขาออกจากบ้านไปเขาก็ไม่ได้กระแทกประตูปึงปังอย่างลุแก่โทสะ เสียงเอะอะเฮฮาของพวกเด็กๆ ที่เล่นฟุตบอลทำให้ฉันต้องยิ้มออกมา
“คืนนี้โชคไม่ดีหน่อยนะพรรคพวก สหายของพวกเธอเขาไม่อยู่ในอารมณ์เล่นกับใครหรอก”
“พูดคนเดียวอีกแล้วหรือนั่น?” เจสสีแง้มประตูห้องอาหารออกมา เศษขนมเค้กยังติดอยู่ตรงมุมปาก ฉันไม่ตอบเพียงแต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ เจสสีจึงเปิดประตูให้กว้างขึ้นแล้วก็เดินออกมา
“ท่าทางเหมือนโดนไฟลวกนะ” ป้าเปรยขึ้น “แต่เธอก็คงไม่เสียใจหรอก”
“หนูกำลังหวังให้มันเป็นอย่างนั้นอยู่เหมือนกัน”
“แล้วทีนี้จะทำยังไงต่อไปล่ะ?”
ฉันยังไม่ทันใช้ความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เท่าไร แต่ทันใดแผนการก็ก่อเกิดเป็นรูปร่างขึ้นในสมอง
“ก็คงจะต้องวางแผนเรื่องการเดินทางแล้วละค่ะ”
“จะไปไหน?”
“เรื่องไปไหนน่ะอย่าถามดีกว่า ที่ป้าควรจะถามหนูก็คือจะไปเมื่อไหร่ถึงจะถูก”
ตลอดเวลา 2 สัปดาห์ที่ผ่านไปฉันใช้เวลาอยู่แต่ตามห้องสมุดหลายแห่ง อย่างน้อยฉันก็ยังไม่อยากเสียโอกาสในการรับปริญญา ถ้าไม่มีปริญญาแผนการที่วางไว้ก็คงไม่เป็นผลสำเร็จแน่ เพราะทุกวันนี้แม้จะมีปริญญาติดตัวการหางานทำมันก็ยากยิ่งอยู่แล้ว
จากการค้นหาความรู้ที่ว่าทำให้ฉันได้เรียนรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 1965 มากมาย อย่างไรก็ตามในช่วงระยะเวลานั้นมันก็ดูจะห่างไกลเช่นเดียวกับประวัติศาสตร์ตะวันออกใกล้อันเป็นวิชาเอกที่ฉันศึกษาอยู่ แต่ขณะเดียวกันมันก็สร้างความเจ็บปวดรวดร้าวให้เกิดขึ้นไม่น้อย ฉันกำลังคิดไปถึงว่า ปีนั้นมันมีความหมายอันสำคัญสำหรับชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งอย่างที่สุด ปีสุดท้ายแห่งชีวิตของเธอ
ฉันไม่ได้ไปร่วมงานวันรับปริญญาเพราะไม่มีเวลา อีกประการหนึ่งมันคงเป็นสถานการณ์ที่น่าอึดอัด ถ้าเจสสีจะต้องไปนั่งแสดงบทบาทเป็นผู้ปกครองที่เปี่ยมอยู่ด้วยความภาคภูมิใจ ในเมื่อทุกวันนี้เราก็แทบจะไม่ได้พูดกันอยู่แล้ว
ความสัมพันธ์ของเราในระยะหลังเป็นไปด้วยเป็นไปโดยอัตโนมัติ เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นป้าเฝ้าแต่หมกมุ่นครุ่นคิด ไม่สามารถจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ถ้าฉันไม่เพียงจะกังวลกับเรื่องของตัวเองมากเกินไปฉันก็คงจะรู้ว่ามันไม่ใช่แต่เพียงปัญหาของฉันเท่านั้นที่ทำให้เจสสีตัดสินใจไม่ตก แต่ยังมีปัญหาหนักหน่วงในใจของตนเองที่ป้าต้องรับภาระแบกไว้ด้วย เมื่อป้าไม่คิดจะเล่าให้ฟังฉันก็ไม่ถาม เพราะเวลานี้สิ่งที่มีความสำคัญที่สุดสำหรับชีวิตของฉันคือการค้นหาประวัติชีวิตของตัวเอง เป็นงานสำคัญที่จะต้องทำเป็นอันดับแรกและฉันก็รู้แล้วว่าจะต้องเริ่มต้นอย่างไร
ฉันเคยหวังไว้เหมือนกันว่าจะได้รับการติดต่อจากจอนบ้าง แต่เขาก็ไม่เคยโทรศัพท์ติดต่อมาอีกและถ้าเขาจะเคยโทรศัพท์มาบ้างเจสสีก็คงไม่บอก เพราะตอนที่แม่เขาโทรศัพท์มาป้าก็ไม่ยอมบอกให้ฉันรู้ทีนึงแล้ว บังเอิญฉันแอบได้ยินจากการพูดจาตอนท้ายๆ นั่นเข้าและรู้สึกอยู่ว่ามันเป็นการจบที่ไม่ดีนัก เมื่อไม่สามารถบอกให้ฉันรู้ได้ด้วยตนเองว่ามีความรู้สึกอย่างไรต่อฉันมิสซิสเฟลด์แมนจึงใช้วิธีเขียนจดหมายมาแทน
โดยปกติแม่ของจอนก็ไม่ค่อยชอบฉันเท่าไร เพราะจอนเป็นลูกชายคนเดียวซึ่งเปรียบเสมือนสมบัติอันล้ำค่าและแม่ของเขาก็มีความคิดว่าจอนเหมาะสมกับผู้หญิงอื่นที่ดีกว่าฉันซึ่งไม่เคยมีใครรู้หัวนอนปลายเท้า แถมยังไม่มีฐานะทางสังคมอีกด้วย
พ่อของจอนเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของสำนักงานทนายความที่มีชื่อเสียงแห่งฟิลาเดลเฟีย ส่วนมิสซิสเฟลด์แมนก็เป็นประธานคณะกรรมการอะไรต่อมิอะไรมากมายหลายแห่ง แต่บรรดาสุภาพสตรีในวงสังคมชั้นสูงที่เป็นเพื่อนของเธอคงต้องแปลกใจอย่างที่สุดถ้าได้เห็นภาษาที่เธอนำมาใช้ในการเขียนจดหมายฉบับนี้ เพียงอ่านไปได้ไม่กี่ประโยคฉันก็โยนจดหมายทิ้งลงในตะกร้าทิ้งผง ที่จริงฉันก็ไม่ได้โกรธเคืองอะไรกับการที่เธอจะมีความรู้สึกร้อนอกร้อนใจขนาดนี้ เพราะฉันเองก็ทำไม่ดีอยู่มาก แต่คนที่ฉันโกรธคือจอน ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเป็นต้องวิ่งไปซบอกแม่ทุกครั้ง
