บท
ตั้งค่า

บทที่ 4

รอยยิ้มอ่อนโยนยามที่พูดถึงวัยทารกของฉันเปลี่ยนเป็นเครียดเคร่งขึ้น แต่กระนั้นมันมีสิ่งหนึ่งที่ป้าบอกให้ฉันรู้โดยที่ไม่รู้ตัวคือ ป้ามีความรู้สึกเกี่ยวกับพ่อของตัวเองอย่างไร ปกติแล้วป้าเจสสีไม่ใคร่เอ่ยถึงพ่อให้ฉันฟังเลยและฉันก็ไม่เคยคิดหาเหตุผลด้วย

“แล้วยายล่ะคะ?”

“ตาไม่ยอมให้มาหรอก”

“ต้องยอมด้วยหรือคะ?”

“ตาเขาเป็นคนอย่างนั้นแหละฮัสเคลล์” น้ำเสียงของเจสสีบอกความขมขื่น “และยายก็ยอมตามใจทุกอย่าง”

“แต่ป้าก็ยังยอมให้หนูไปอยู่กับตายายหลังจากที่แม่ตายแล้วนี่คะ”

“ป้าห้ามเขาไม่ได้ ตอนนั้นถ้าไม่ยอมตาก็จะเอาเรื่องขึ้นฟ้องศาลแล้วป้าจะไปสู้กับเขาได้ยังไงล่ะ ป้าเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวต้องทำงานเลี้ยงตัวเอง ไม่เคยมีผู้ชายมาสนใจ แล้วป้าจะไปสู้คนที่แม้แต่พระเจ้ายังกลัวได้ยังไงกัน?” เจสสีถอนใจเฮือกใหญ่

“พอเธอได้สามขวบตาก็ตาย ป้าถึงได้เธอคืนมา แต่เป็นเพราะว่ายายไม่อยากต่อสู้กับป้าเท่านั้นแหละ” เจสสีลุกขึ้นและเริ่มออกเดินกลับไปกลับมา “ป้าไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีกหรอกและป้าไม่ได้โกหกเลยนะที่บอกว่าเขาเป็นแม่เธอจริงๆ ป้าเคยโกหกเธอหรือ?”

“ไม่...ไม่หรอกค่ะ” นอกจากเรื่องซานตาคลอสกับเรื่องสวรรค์ที่พ่อกับแม่ไปรอฉันอยู่ที่นั่นแล้วเจสสีไม่เคยพูดอะไรที่ทำให้ฉันเชื่อไม่ลงเลย แต่แม้เรื่องนั้นก็ใช่ว่าเจสสีจะตั้งใจโกหก เพียงแต่อยากจะให้ฉันสบายใจเท่านั้น แต่กระนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องจำเป็นที่ต้องปิดบังเรื่องพ่อแม่ที่แท้จริงของฉันด้วยนี่นา “เอาละค่ะป้าเจสสี หนูขอถามสั้นๆ เพียงคำเดียวเท่านั้นว่าใครคือพ่อที่แท้จริงของหนูคะ?”

แม้สีหน้าจะซีดเผือดลงแต่เจสสีก็ไม่ได้ลังเลใจเมื่อตอบว่า “ป้าไม่เคยรู้อะไรที่ทำให้ป้าสงสัยว่าเขาไม่ใช่เควิน มาโลเน่ย์เลยนะ”

คำพูดประโยคนั้นเหมือนจะเป็นการยอมรับอยู่กลายๆ ฉันจึงพยายามบีบบังคับต่อไป

“ถึงแม้ว่าป้าจะไม่รู้แต่ป้าก็น่าจะคาดเดาได้นี่คะ ป้ากำลังจะบอกกับหนูว่าป้าไม่เคยคิดจะถามแม่บ้างเลยอย่างนั้นหรือคะ? แล้วแม่ก็ไม่เคยเปิดเผยเรื่องส่วนตัวให้ป้าฟังเลยอย่างนั้นใช่ไหม?”

“มันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของป้านี่”

“แต่มันเป็นธุระของหนูนะคะป้าเจสสี เวลานี้เรื่องต่างๆ มันกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างน้อยก็เรื่องเทย์-แซคส์นั่น เรื่องที่หนูไม่ได้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนพ่อหรือแม่เลย เรื่องที่หนูคลอดตอนเจ็ดเดือน...”

“เธอไปได้ยินเรื่องอย่างนั้นมาจากไหนกัน?” เจสสีถามเสียงเครียด

“โธ่ ป้าคะ หนูน่ะนับหนึ่งถึงสิบเป็นนะคะ...”

“เอาละ” เจสสีเม้มปากแน่น แต่ก็ยังไม่ยอมให้ความสว่างกับฉันอยู่ดี

“สมมุติว่าเธอพูดถูก แล้วไง มันแปลกตรงไหนล่ะ?”

“มันแปลกแล้วก็แตกต่างมากทีเดียวละค่ะ หนูต้องการรู้ว่าตัวเองเป็นใครกันแน่”

“ถึงแม้ว่าเธอจะรู้ความจริงในเรื่องนั้นในที่สุด แต่มันก็ไม่ได้มีความสำคัญตรงไหนเลยว่าพ่อแม่ที่แท้จริงของเธอจะเป็นใคร”

“โอ ป้าจะกลับมาร่ายคาถาบทเดิมให้หนูฟังอีกแล้วสินะว่าถึงยังไงหนูก็ยังต้องเป็นตัวหนูอยู่ดี เป็นนายแห่งโชคชะตา เป็นกัปตันแห่งจิตวิญญาณ แต่ไอ้กรรมพันธุ์นั่นน่ะมันสำคัญนะคะป้าเจสสี เทย์-แซค์พิสูจน์แล้วว่ามันมีความสำคัญอย่างยิ่ง หนูจะรู้ได้ยังไงว่ามันยังมีโรคอะไรว่ายเวียนอยู่ในเลือดในเนื้อตัวของหนูอีก?”

“นั่นมันเป็นเพียงแค่ข้ออ้างเท่านั้น”

“ก็อาจเป็นได้ค่ะ จริงๆ แล้วหนูก็ไม่แคร์หรอกถ้ามันจะมี หนูเพียงแต่อยากรู้เท่านั้น”

“ก็แล้วสมมุติว่าชั่วชีวิตนี้เธอไม่มีโอกาสรู้เลยล่ะ?”

“ถ้าอย่างนั้นหนูก็จะยอมอยู่กับความไม่รู้ได้ แต่ถ้ามันยังพอมีทาง...”

เสียงกริ่งโทรศัพท์บนโต๊ะดังลั่นขึ้น เราสะดุ้งขึ้นพร้อมกันเจสสีถึงกับสบถออกมา

“บ้าจริง ดูสิว่าตอนนี้เธอทำอะไรกับฉัน แล้วนี่เธอจะไม่รับหรือไง?”

“ไม่ค่ะ”

“บางทีมันอาจจะเป็นของเธอก็ได้นะ”

“หนูไม่ต้องการพูดกับใครทั้งนั้น”

“บ้าจริงๆ...” เจสสีวิ่งออกไปจากห้อง เสียงโทรศัพท์ยังกริ่งเรียกอยู่แต่ก็หยุดลงกลางคัน ฉันได้ยินเสียงป้าพูดแว่วๆ มาจากห้องของตัวเอง แต่จับความไม่ได้ว่าพูดเรื่องอะไร

ตอนที่เจสสีกลับมาฉันนอนทอดกายอยู่บนเตียงตาจับอยู่กับเพดานห้อง

“จอนโทรมา”

“หนูรู้แล้วละค่ะว่าจะต้องเป็นเขา”

“เขาอยากจะพูดกับเธอ แต่ป้าบอกว่านอนหลับอยู่”

“ขอบคุณค่ะ”

“ป้าเลยบอกเขาไปว่าเขาจะมาตอนหลังอาหารค่ำก็ได้”

“ก็...ขอบคุณอีกครั้งค่ะ” ฉันพยุงกายขึ้นนั่ง “เพราะไม่ช้าก็เร็วหนูคงต้องบอกให้เขารู้อยู่แล้ว”

“บอกเรื่องอะไรกัน?”

“ก็เรื่องที่ว่า...จะไม่มีการแต่งงานเกิดขึ้นน่ะสิคะ”

แต่นั่นไม่ได้หมายถึงการสิ้นสุดของการโต้แย้ง เจสสีพยายามใช้ทุกวิถีทางที่นึกออกเพื่อทำให้ฉันเปลี่ยนใจขณะที่ฉันเตรียมอาหารค่ำอยู่ป้าก็ติดตามฉันทุกฝีก้าว จนในที่สุดฉันต้องหันไปบอกว่า

“โธ่ ป้าเจสสีคะ ป้าเองนะคะที่คัดค้านการแต่งงานของหนูตั้งแต่แรก เพราะฉะนั้นป้าน่าจะดีใจนะคะที่หนูเลื่อนเวลาออกไป”

“ตอนนั้นป้าเพียงแต่คิดว่าเธอยังเด็ก แต่เมื่อกี้นี้เธอพูดว่าเลื่อนเวลาใช่ไหม?”

“เรื่องนั้นก็ต้องแล้วแต่จอนอีกละค่ะ” ฉันไหวไหล่ “อีกสักสองสามเดือนหนูอาจจะรู้สึกอีกอย่างหนึ่งก็ได้ แต่หนูก็ไม่หวังที่จะเห็นเขาต้องมานั่งรอเวลาการตัดสินใจของหนูหรอกนะคะ”

เจสสีพยักหน้าหงึกๆ อย่างยอมรับในคำพูดของฉัน อาหารค่ำวันนี้ดูไร้รสชาติฉันกินอะไรแทบไม่ลงเลย เมื่อเสร็จจากอาหารคาวแล้วเจสสีก็เอื้อมมือไปตัดแครอทเค้กใส่จานถึงสองชิ้น เมื่อเห็นฉันจับตาดูอยู่ก็ตีหน้าเคร่งขรึมพร้อมกับบอกว่า “ป้ารู้หรอกน่า รู้ว่าป้าเคยพูดว่าจะลดของหวานเสียบ้าง แต่นี่น่ะมันเป็นความผิดของเธอนะฮัสเคลล์ ก็รู้แล้วไม่ใช่หรือว่าเวลาป้าอารมณ์ไม่ดีมันมักจะหิวมากกว่าปกติทุกที ถ้าเธอไม่...”

เสียงกริ่งตรงหน้าประตูบ้านดังขึ้น เจสสีวางส้อมที่ถืออยู่ลงทันที

“ดูสิ ป้าน่ะประสาทหลอนไปหมดแล้วนะ เขามาเร็วจริงๆ” 

“ป้าบอกเขาว่าหลังอาหารค่ำนี่คะ” ฉันพูดเป็นเชิงเตือน

“ใช่...แต่...แล้วนี่จะไม่ลุกขึ้นไปเปิดประตูหรือไง?”

“เปิดสิคะ” ฉันลุกขึ้นจากที่นั่ง “ป้าจะมาด้วยไหมล่ะ?”

“ไม่เอาละ ไม่ต้องเอาป้าไปเป็นกำลังใจหรอกนี่มันเป็นเรื่องระหว่างเธอสองคน”

“ดีจังค่ะที่ป้ายอมรับได้เสียที”

เจสสีพูดไม่ออกเพราะเค้กเต็มอยู่ในปาก ได้แต่กรอกตามองสวรรค์

ฉันเดินตรงดิ่งไปที่ประตูไม่ได้แวะสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองตรงหน้ากระจกเงาข้างผนังเช่นทุกครั้งที่เคยทำมา เมื่อฉันเปิดประตูออก จอนซึ่งกำลังยืนหันหลังให้ก็หันขวับมา มือที่ยกค้างและกับเสียงตะโกนที่เพิ่งขาดหายบอกให้รู้ว่าเขาเพิ่งจะส่งลูกบอลให้กับพวกเด็กๆ ที่กำลังเล่นกันอยู่ในสนามฝั่งตรงข้ามไปให้ เวลานี้จอนกลายเป็นเพื่อนเล่นของเด็กพวกนั้นไปแล้ว บางครั้งถ้าฉันกลับถึงบ้านช้ากว่าเวลาที่นัดหมายกันไว้เขาก็จะลงไปเตะบอลกับเด็กพวกนั้นด้วย

ถ้าจะว่าไปแล้วจอนไม่ใช่คนหล่อเท่าไร เรือนผมเหยียดตรง จมูกใหญ่เกินขนาด ดวงตาจมลึกลงในเบ้า คล้ายกับเงาของคิ้วเข้มๆ คู่นั้นบังไว้ แต่ฉันก็ชอบผู้ชายหน้าตาอย่างนี้ก่อนจะหลงรักเขาเสียด้วยซ้ำ เขาเป็นผู้ชายที่อ่อนโยนต่อฉันเสมอ

หลังจากที่ฉันวิ่งออกมาจากสำนักงานแพทย์ไม่สนใจกับคำถามอย่างร้อนใจและปฏิเสธเมื่อเขาอาสาจะขับรถกลับมาส่งบ้าน จอนจะต้องรู้ว่ามันมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นแล้ว แต่ในตอนแรกแสร้งทำเป็นว่ามันไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรนัก ฉันยอมให้เขาจูบฉัน แต่ก็ยอมให้เพียงแค่นั้นก่อนจะเดินนำเขาเข้ามาในห้องนั่งเล่นและชี้เก้าอี้ให้นั่ง

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel