บทที่ 3
ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาห้องนอนของฉันได้รับการตกแต่งใหม่ไม่รู้ว่ากี่ครั้งกี่หน โปสเตอร์ของร็อค-สตาร์หลายคนเข้ามาแทนที่รูปถ่ายของแมวคู่หนึ่งที่เราเคยเลี้ยงไว้ ต่อมาก็มีรูปดอกไม้มาติดแทนมัน ฉันเจริญวัยขึ้นมาในห้องนี้ เคยซบหน้าร่ำไห้อยู่กับหมอนตอนที่ความรักวัยรุ่นถูกหักอก เคยหัวเราะต่อกระซิกกับเพื่อนสนิทบางคน เคยได้รับการป้อนข้าวป้อนยาตอนที่เกิดเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้น มันเป็นทั้งที่ท่องหนังสือ ที่สร้างความฝันและที่เล่นมาตลอด ในห้องนี้จึงแฝงอยู่ด้วยความทรงจำหลากหลายซึ่งก็มีทั้งดีและเลว แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะดี
ตอนที่ฉันยังเล็กป้าเจสสีห้ามอย่างเด็ดขาดว่าไม่ให้มีการนำสัตว์เลี้ยงเข้ามาไว้ในบ้าน แต่พอฉันอายุได้แปดขวบมันก็มีแมวตัวหนึ่งเข้ามาซ่อนอยู่ใต้เตียง ฉันยังไม่โตพอที่จะเข้าใจในคำอธิบายของป้าเจสสีที่ว่า
“เราทั้งสองคนต้องออกจากบ้านทุกวัน ป้าต้องไปทำงาน หนูก็ต้องไปโรงเรียนแล้วก็ยังต้องให้พี่เลี้ยงคอยดูแล เพราะฉะนั้นการเอาสัตว์มาเลี้ยงก็เท่ากับเราไม่ยุติธรรมกับมัน”
แต่เมื่อเจ้าแมวที่กำลังหิวโซตามฉันมาบ้านในวันนั้นฉันก็เอามันซ่อนไว้ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงว่าที่เจสสีจะมาพบเข้า ที่จริงฉันน่าจะรู้ว่าป้าจะต้องสงสัยว่าทำไมฉันถึงเอาแต่ขลุกอยู่แต่ในห้องทั้งวันทั้งที่มันเป็นวันอาทิตย์ที่อากาศสดใส ป้าเกิดเป็นห่วงขึ้นมาว่าฉันอาจจะไม่สบายหรือมีเรื่องทุกข์ร้อนขึ้น ตอนที่ป้าก้าวเข้ามาในห้องเจ้าลูกแมวกำลังนั่งอยู่บนตักฉันพอดี
ฉันยังจำได้ว่าป้าร้องออกมาด้วยความแปลกใจ เจ้าลูกแมวเกิดตกใจเลยฉี่รดฉันทั้งตัว ฉันพลอยตกใจไปด้วยที่มันทำสกปรกใส่ก็เลยร้องลั่นออกมา เจ้าแมวเกิดตกใจกับเสียงร้องก็เลยฉี่ราดออกมาอีก เจสสีทิ้งตัวลงในเก้าอี้หัวเราะจนน้ำตาไหล และนับแต่นั้นเป็นต้นมาแมวก็กลายเป็นสมาชิกตัวหนึ่งของบ้านเรา จนในที่สุดเจสสีก็รู้สึกว่าคงจะต้องเหงามากถ้าขาดมันไป เจสสีไม่เคยลืมเรื่องขำๆ ที่เกิดขึ้นในวันนั้นเลย พูดถึงเมื่อไหร่เป็นหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็งทุกที
ขณะที่นั่งอยู่ตรงขอบเตียงภายในห้องส่วนตัวฉันได้ยินเสียงเจสสีเดินกระแทกเท้าปึงปังกลับลงไปข้างล่าง ฉันรู้ว่าป้ากำลังโกรธตัวเอง ทั้งโกรธและเสียใจที่ทำรุนแรงกับฉันถึงเพียงนั้น แต่ฉันกลับไม่โกรธเลย เพราะแรงตบนั่นก็ไม่รุนแรงเท่าไหร่ เมื่อตอนที่ฉันเด็กๆ ป้าเจสสีก็เป็นคนมือไวใจร้อน แต่ไม่เคยถึงกับตบหน้าฉันสักครั้ง ฉันคิดว่าตัวเองรู้สึกตกใจงงงันมากกว่าจะโกรธเคือง
ฉันไม่เคยจำหน้าพ่อแม่ของตัวเองได้ เพราะทั้งสองคนเสียชีวิตตั้งแต่ฉันยังแบเบาะ แม่ตายด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ส่วนพ่อตายในสนามรบ แต่ที่มันเลวร้ายที่สุดอยู่ตรงที่ว่าเวลานี้ฉันรู้สึกเหมือนได้สูญเสียตัวเองไปแล้ว ตรงที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร
ตรงสองข้างของโต๊ะเครื่องแป้งภายในห้องนอนมีรูปถ่ายของบุคคลทั้งสองแขวนติดอยู่กับฝาผนัง มันเป็นสิ่งแรกที่ฉันจะเห็นเมื่อตื่นขึ้นในตอนเช้าและก่อนจะดับไฟเข้านอน สำหรับรูปของแม่เป็นรูปที่ถ่ายจากร้านอาหารตอนครบรอบวันเกิดที่ยี่สิบเอ็ด เมื่อฉันเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นฉันเคยพิจารณาใบหน้าสดใสในรูปพยายามหาความละม้ายคล้ายคลึงกับตนเอง นอกจากรอยโค้งตรงมุมปากเวลายิ้มแล้วก็ไม่เห็นจะมีตรงไหนเหมือนฉันเลย
แสงไฟที่ใช้ส่องอยู่ทางด้านหลังทำให้เรือนผมราวมีรัศมีและเนื่องจากมันเป็นรูปขาว-ดำรัศมีนั้นจึงดูเป็นสีเงิน ฉันไม่เคยคิดว่าแม่เป็นคนสวยแต่ก็ชอบใบหน้านั้น มันทั้งมีพลัง มีอารมณ์ขัน แต่ก็ดูเศร้าอย่างประหลาด
สำหรับรูปถ่ายของเควิน มาโลเน่ย์นั้นขยายมาจากรูปที่ถ่ายเล่น เพราะฉะนั้นมันจึงเบลอไปบ้าง เขากำลังเงยหน้าขึ้นหัวเราะอย่างมีความสุขเผยให้เห็นแม้แต่ไรฟันขาวสะอาด มันเป็นใบหน้าของชายหนุ่มที่หล่อมากและเปี่ยมด้วยความสุข แม้ตรงอกเสื้อจะมีเหรียญกล้าหาญประดับอยู่ แต่ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมคนหนุ่มอย่างเขาจึงสละชีวิตตัวเองเพื่อผู้อื่นด้วย?
หยาดน้ำตาลามไหลอยู่บนใบหน้า แต่พอได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นฉันก็รีบเอื้อมไปหยิบกระดาษมาซับ
หลังจากที่ลังเลอยู่เป็นครู่เจสสีก็ทรุดตัวลงนั่งบนเตียง แต่ยังรักษาระยะความห่างไว้
“ป้าขอโทษนะ” เจสสีเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
“อยากดื่มอะไรหน่อยไหมล่ะ?” พูดจบก็เอาแก้วไวน์สีขาวที่ซ่อนไว้ข้างหลังออกมาส่งให้ “หรือว่าจะกินชา...หรือ...”
“ไม่ล่ะค่ะป้า ขอบคุณ”
เจสสีก้มลงมองแก้วที่ถืออยู่ในมือเหมือนแปลกใจ ราวกับอยู่ดีๆ มันก็เข้ามาอยู่ในมือได้ แต่ในที่สุดก็ยกขึ้นและดื่มรวดเดียวหมด
ฉันได้ยินเสียงตัวเองหัวเราะออกมา เพียงแต่ว่ามันเป็นเสียงที่แหบห้าวอย่างประหลาดพร้อมกับหยาดน้ำตาหยดลงบนกระโปรง
“โถ...ลูก...อย่าร้องไห้นะ...” เจสสีเอื้อมมือมากอดฉันไว้
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ให้น้ำตามันออกมาเสียให้หมดๆ หนูจะได้ไม่ต้องร้องอีก” ฉันสั่งน้ำมูกเช็ดน้ำตาจนแห้งเหือดและมันก็ไม่ได้ไหลออกมาอีกเลย
“ป้าไม่เข้าใจเธอเลยจริงๆ นะฮัสเคลล์” เจสสีวางมือจากที่กอดร่างฉันไว้และกลับเป็นคนเดิมที่เคร่งขรึมเย็นชาไม่คิดจะปลอบโยนฉันอีกต่อไป “เธอไม่ใช้อารมณ์มากไปหน่อยหรือ ปกติก็เห็นเป็นคนควบคุมตัวเองได้ดีมาตลอดนี่นา”
“คงเป็นเพราะว่าหนูโตขึ้นอีกสามปีละมังคะ มันถึงได้คิดขึ้นมา”
ฉันเจตนาจะใช้คำพูดอย่างนี้เพราะรู้ว่าเจสสีไม่ชอบและมันก็ทำให้สีหน้าของเจสสีแข็งขึ้นกว่าเดิมทันที
“คนส่วนมากน่ะถ้าเขามีปัญหาเกิดขึ้นเขาก็มักจะปรึกษาหารือกับใครสักคนหนึ่ง เด็กทุกคนที่ต้องสูญเสียทั้งพ่อและแม่ไปแล้วก็มีป้าที่เป็นสาวแก่เลี้ยงดูมาเพียงลำพังมันก็ย่อมมีปัญหาแต่ป้าว่ามันน่าจะเป็นแค่ปัญหาธรรมดาเท่านั้นนะ”
“ป้ายังไม่แก่หรอกค่ะ”
“ก็...ขอบใจที่คิดอย่างนั้น” เจสสีว่า “ป้าอยากรู้ว่า เดี๋ยวนี้อารมณ์ขันของเธอหายไปไหนหมด แต่ก่อนนี้เวลาคิดอะไรขึ้นมาในใจก็เล่าให้ป้าฟังทุกทีนี่นา”
“หนูทำลายมันหมดแล้วล่ะค่ะ” ฉันตอบหน้าตาเฉย “ก็คงเหมือนกับที่มาร์ค ทเวนทำลายสามัญสำนึกของเขาลงละมังคะ หนูรู้ว่าเขารู้สึกยังไงเมื่อเขียนเรื่องอย่างนั้นขึ้น การมีชีวิตอยู่โดยไม่ยอมสนใจกับเสียงจากจิตใต้สำนึกที่ไม่ยอมให้เราสร้างความฝันได้ตามใจชอบมันสบายกว่ากันเยอะค่ะป้า มีคนตั้งมากมายในโลกนี้ที่มีความสุขกับการทำอย่างนั้น”
“แม่เธอก็เคยเป็นอย่างนี้” เจสสีหันมามองหน้าฉันอยู่ “เขาเป็นแม่เธอจริงๆ นะฮัสเคลล์และเขาก็อยู่กับป้ามาตลอดเวลาหลายเดือนนั่น ป้ามองดูท้องที่มันขยายตัวใหญ่โตขึ้นทุกวัน ป้ามีความรู้สึกว่าเธอเคลื่อนไหวเนื้อตัวอยู่ในร่างกายเขา ป้าเป็นคนขับรถพาเขาไปส่งโรงพยาบาลตอนเจ็บท้อง แล้วป้าก็นั่งรออยู่จนเมื่อนางพยาบาลอุ้มเธอออกมาจากห้องคลอด”
“ป้าคงเป็นคนเดียวที่อยู่รอหนูสินะคะ” ฉันพูดอย่างไร้ความรู้สึก
“ก็เพราะว่า...” เจสสีอึ้งไป “ตอนนั้นพ่อเธอตายแล้ว เราได้รับโทรเลขแจ้งข่าวนี้ก่อนเธอเกิดเพียงไม่กี่วัน ก็คงเพราะเหตุนั้นละมังที่ทำให้เธอคลอดเร็วกว่ากำหนด”
“แล้วป้าก็ได้เห็นหนูตัวอ้วนดำอย่าคิดว่าไม่คิดว่าจะได้เห็น”
“ฮัสเคลล์อย่าพูดอย่างนี้เลย”
“ขอโทษค่ะ”
“เธอน่ะเป็นเด็กน่ารักมาก” เจสสีจับตาอยู่กับมือที่ประสานกันไว้ “หน้าตาน่ารัก ไม่ได้ยับย่นเหมือนเด็กแรกเกิดคนอื่นๆ เลย ผมหยิกดำทั้งหัว ขนตางอนยาว แล้วก็ยังยิ้มให้ป้าด้วย ถึงแม้นางพยาบาลจะบอกว่ามันเป็นเพราะแก๊ส แต่ป้าไม่เชื่อหรอกมันเป็นยิ้มจริงๆ”
ฉันไม่เคยได้ยินป้าพูดอะไรยืดยาวอย่างนี้มาก่อนเลย ความจริงในเรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งใหม่สำหรับฉันแต่อารมณ์ที่อยู่เบื้องหลังการพูดนั่นสิสำคัญกว่า ฉันอยากจะโถมเข้ากอดป้า แต่มันก็คล้ายกับมีอะไรบางอย่างมายับยั้งไว้ ความรู้สึกใหม่ที่เข้ามาครอบงำอยู่ในเวลานี้มันปิดกั้นความอ่อนโยนในจิตใจลงเหลือไว้แต่เพียงความอยากรู้ความจริงเท่านั้น
“แล้วตากับยายไม่อยู่ด้วยหรอกหรือคะ?”
“เธอก็รู้แล้วนี่”
“ลองเล่าให้หนูฟังอีกครั้งสิคะ”
เจสสียกมือขึ้นอย่างยอมแพ้ “เอ้อ...แม่ของเควินน่ะตายแล้ว และพ่อเขาก็แต่งงานใหม่มีลูกใหม่ก็เลยไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้เท่าไหร่ สำหรับตากับยายก็ไม่มีเวลามาไม่ได้เป็นเพราะว่าไม่อยากมาหรอกนะ ตาน่ะไม่เคยเชื่อมือหมอสมัยใหม่หรอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการคลอดลูกของผู้หญิง ตายิ่งไม่ยอมมาใหญ่”
