บทที่ 2
ขณะนี้ป้ากำลังยืนหน้านิ่วคิ้วขมวด ถึงแม้ว่าสายตาจะค่อนข้างสั้นแต่ก็ไม่อยากยอมรับในความเปลี่ยนแปลงนั้น ไม่ยอมใส่แว่นตาเวลาขับรถ สีหน้าของป้าบอกให้รู้ว่าเจสสีเข้าใจอารมณ์ของฉันดี
“เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ?”
“วันนี้หนูไปหาหมอมาค่ะ”
“เรื่องนั้นน่ะรู้แล้วล่ะ เพราะเมื่อเช้าก็บอกทีหนึ่งแล้วว่าวันนี้นัดหมอไว้ว่าจะไปตรวจก่อนถึงวันแต่งงาน” เจสสีตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชาตามนิสัย แต่จากท่าทางที่ยืนถือแก้วค้างอยู่ในมืออย่างนั้นบอกให้รู้ว่ากำลังมีความหวาดหวั่นเกิดขึ้นในใจ และมันอาจจะเป็นความหวาดหวั่นที่ฝังอยู่ลึกมานานเพิ่งจะผุดโผล่ขึ้นมาให้เห็นในตอนนี้ก็เป็นได้
“หนูไปตรวจมาแล้ว...เรื่องเทย์-แซคส์”
“ก็แล้วมันเป็น...อ๋อ เธอหมายถึงไอ้โรคแปลกๆ ที่แม่ผัวในอนาคตเขายืนยันที่จะให้ไปตรวจมาก่อนนั่นสินะ” สีหน้าของเจสสีดีขึ้น อาจจะเป็นเพราะความโล่งใจและตอนนี้ความโมโหก็ดูจะเข้ามาแทนที่อยู่ “แล้วนี่เธอจะมาเอาอะไรจากฉันฮัสเคลล์ มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่ในตัวเธอจะมีเชื้อเทย์-แซคส์อะไรนั่นอยู่ ถ้ามีก็คงตายไปหลายปีแล้วละ เด็กทารกที่มีเชื้อโรคนั่นอยู่ในตัวอยู่ได้ไม่เกินสามขวบ เรื่องนี้เราก็รู้กันอยู่แล้วนี่”
“รู้สึกว่าป้าก็รู้เรื่องนี้ดีนะคะ”
“ฉันไม่เคยได้ยินชื่ออะไรบ้าๆ อย่างนี้หรอกจนกระทั่งยายคุณนายเฟลด์แมนแกเอ่ยขึ้น” เจสสีไหวไหล่เบาๆ “มันก็จำเป็นจะต้องหาความรู้เป็นธรรมดา ขอโทษด้วยนะที่ป้าต้องทำอย่างนั้น แต่มันก็ดีอยู่หรอกที่ทำให้ได้ความรู้ต่อว่ามันเกี่ยวกับกรรมพันธุ์และถ้าใครเป็นแล้วไม่มีทางรักษาให้หายได้”
ฉันน่าจะรู้ว่าเจสสีต้องพยายามหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะนั่นเป็นคุณสมบัติอีกอย่างหนึ่งที่มีอยู่ในตัวของป้า คือไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นป้าจะต้องสืบเสาะจนรู้ความจริงให้ได้ไม่ว่าการหาข้อเท็จจริงนั้นมันจะยากลำบากสักเพียงไหนก็ตาม เมื่อรู้แล้วป้าจะสู้กับมันชนิดหัวชนฝาทีเดียว ฉันอยากจะให้ตัวเองมีคุณสมบัติประการนี้ของเจสสีอยู่ในตัวเหลือเกิน คือพยายามค้นคว้าหาความจริงให้ถึงที่สุด
“เท่าที่หนูรู้นะคะ” ฉันไม่นึกว่าตัวเองจะมีน้ำเสียงห้วนห้าวถึงเพียงนั้น “แปดสิบห้าเปอร์เซ็นต์ของเหยื่อเทย์-แซคส์เป็นลูกครึ่งยิว-ยุโรปตะวันออก พวกยิวเองได้เริ่มค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อปีเจ็ดศูนย์ แล้วก็ลดจำนวนผู้เจ็บป่วยลงได้จำนวนมาก หนูคิดว่าคุณนายเฟลด์แมนคิดถูกแล้วละค่ะที่ยืนยันให้เราทั้งสองคนได้รับการตรวจเชื้อนี้เสียก่อนหน้าที่จะแต่งงานกัน เพราะมันเป็นโรคทางพันธุกรรมและมันก็สามารถเกิดขึ้นได้แม้ในคนกลุ่มอื่น อีกประการหนึ่งเป็นเชื้อโรคที่ร้ายกาจมากไม่มีทางรักษาให้หายได้และทุกวันนี้ก็ยังไม่พบหนทางที่จะเอามาใช้รักษา” ฉันถอนใจอย่างเหนื่อยอ่อนเมื่อจะกล่าวต่อว่า
“ป้าคงรู้นะคะว่าถ้าเด็กคนไหนเป็นโรคนี้จะต้องตาบอดไม่ก็เป็นอัมพาต เจ็บป่วยทางจิตและตายภายในเวลาสองถึงสี่ปีหลังจากเกิด”
“ป้ารู้” เจสสีตอบเรียบๆ แต่แล้วก็เงยหน้าขึ้นมองฉัน “เธอคงไม่ได้หมายความว่าเธอมีเชื้อนี้อยู่ในตัวหรอกนะ?”
“มีค่ะ”
“แล้วจอนล่ะ?”
“เขาไม่มีหรอก”
เจสสีระบายลมหายใจออกมายาวยืดก่อนตอบว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร ถ้าเชื้อนี้มีอยู่ในตัวเธอจริงก็แปลว่ามันอ่อนมาก ลูกที่เกิดตามมาจะปลอดจากการเสี่ยงถ้าพ่อกับแม่ไม่มีเชื้อนี้ด้วยกันทั้งสองคน” สีหน้าของเจสสีแจ่มใสขึ้น แต่ยังดูรำคาญฉันอยู่เมื่อก้มลงมองแก้วที่ถืออยู่ในมือก็บ่นออกมาอย่างหงุดหงิดเต็มที่ว่า “น้ำแข็งละลายจนเหล้าหมดรสชาติไปเลย เห็นจะต้องเททิ้งแล้วก็ผสมใหม่แล้วละ ลงไปคุยกันข้างล่างดีกว่าฮัสเคลล์”
“หนูรับเชื้อมาจากไหนคะ?”
“หมายความว่ายังไงที่ถามอย่างนี้ เธอก็น่าจะมีความรู้ด้านชีววิทยาขั้นพื้นฐานอยู่แล้วนี่ว่าลูกจะต้องรับยีนส์มาจากพ่อแม่ ซึ่งพ่อแม่นั่นก็จะต้องรับมาจากพ่อแม่ของตัวเองอีกทอดหนึ่ง มันเป็นกรรมพันธุ์ที่สืบทอดกันมา”
“แต่คนที่มีเชื้อของโรคนี้อยู่ในตัวจะต้องเป็นลูกครึ่งยิวกับยุโรปตะวันออกอย่างที่ว่าซึ่งเราเรียกว่าแอชเคน-นาซิมนะคะ”
ป้าของฉันก็เช่นเดียวกับแม่ที่มีเชื้อสายเพนซิลวาเนี่ยนผสมดัทช์ ขณะนี้กำลังมองหน้าฉันอย่างไตร่ตรอง ฉันซึ่งมีพ่อชื่อมาโลเน่ย์ อย่างน้อยนั่นเป็นสิ่งที่ระบุไว้ในสูติบัตรที่แจ้งการเกิดของฉันอยู่
ป้ารู้ว่าฉันกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ แต่ก็แสร้งทำเป็นแปลกใจ
“แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องเป็นกันหมดทุกคนนี่ ไม่ว่าอะไรมันก็ต้องมีข้อยกเว้นกันทั้งนั้น หนังสือที่ป้าอ่านก็ระบุไว้อย่างนี้เหมือนกัน อย่างเช่นกลุ่มที่อยู่ในโนว่าสโคเทีย...”
“หนูว่ามันไม่ใช่เรื่องแค่นั้นนะคะป้า ดูหนูสิ แล้วก็ดูรูปเขาทั้งสองคนนั่นสิคะ” ฉันร้องออกมา หมายถึงรูปที่ตั้งอยู่บนหลังเปียโนในห้องนั่งเล่นมาเป็นเวลานานปีนับแต่วันที่ฉันจำความได้กระมัง รูปนั้นเป็นรูปของคู่บ่าวสาวในวันแต่งงาน ลีช อีมิก ผู้มีเรือนผมสีทองสุกใสดวงตาสีฟ้าสวยกับเควิน มาโลเน่ย์ ผู้มีเรือนกายสูงโปร่งอยู่ในชุดเครื่องแบบทหาร เรือนผมของเขาเป็นสีแดงเข้ม ดวงตาสีเขียวเป็นประกายด้วยรอยหัวเราะ
ส่วนกระจกเงาที่อยู่ข้างตัวในยามนี้กำลังสะท้อนภาพของฉันอยู่ราวรอเวลาที่ฉันจะหันไปมองดูตัวเองเสียที ฉันมีดวงตาสีเข้มจนเกือบดำ ผิวสีน้ำตาลอ่อน ใบหน้ารูปหัวใจล้อมกรอบอยู่ด้วยเรือนผมสีดำหยักศกเป็นลอน ฉันได้ยินเสียงเจสสีถอนหายใจเบาๆ
“นี่เธอเริ่มต้นอีกแล้วหรือไง?”
“แหม ป้าพูดอย่างกับว่าหนูหยิบยกเอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอาทิตย์ละครั้งอย่างนั้นแหละ หนูไม่ได้พูดถึงมันมาเป็นปีแล้วนะคะ”
“ก็ดีแล้วละ เลิกคิดถึงเรื่องนั้นได้เป็นดีที่สุด พวกเด็กๆ น่ะโดยเฉพาะพวกที่เป็นลูกกำพร้ามักชอบวาดภาพเห็นฝันเกี่ยวกับพ่อแม่ที่แท้จริงของตัวเอง ทำอย่างกับว่าตัวเองเป็นรัชทายาทของราชบัลลังก์ฝรั่งเศสที่หายสาปสูญไปนานอย่างนั้นแหละ ป้าว่าเธอเลิกคิดเรื่องไร้สาระนั่น...”
“ป้าคะหนูถูกล้างสมองให้ลืมเรื่องนี้มานานแล้ว ทั้งจากป้าแล้วก็ยังหมอวิทเทคเคอร์ด้วย มันอาจเป็นไปได้ที่หมอเชื่อว่าเรื่องนั้นเป็นความคิดเพ้อฝันของพวกเด็กๆ ในวัยหนุ่มสาว แต่สำหรับป้าไม่ใช่ค่ะ ป้าจะต้องรู้ดีกว่านั้นแน่ หนูรู้ว่าป้าต้องรู้...อย่า...อย่าเพิ่งขัดหนูสิคะให้หนูพูดให้จบเสียก่อน” ฉันรีบค้านไว้เมื่อเห็นเจสสีทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างออกมา
“หนูน่ะรู้ความจริงประการหนึ่งที่ว่าเรื่องสถิติน่ะมันไม่ได้มีความหมายอะไรเลยเมื่อเอามาใช้กับคนและหนูก็รู้ว่าเหตุที่มันจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นมีโอกาสน้อยมาก โดยเฉพาะการที่คนสองคนที่มีดวงตาสีอ่อนจะออกลูกมาเป็นคนตาดำอย่างหนู หนูเชื่อค่ะว่าเทย์-แซคส์อาจจะเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดอยู่ในหมู่ชาวยิวที่ผสมกับพวกยุโรปตะวันออกและหนูอาจจะเป็นหนึ่งในจำนวนของผู้ที่อยู่ในข้อยกเว้น หนูรู้ความจริงที่น่าพิศมัยนั่นตั้งร้อยแปดพันประการ แต่สิ่งที่หนูไม่รู้ก็คือชื่อพ่อที่แท้จริงของตัวเอง”
เจสสียืนอ้าปากค้างแต่ไม่มีเสียงหลุดออกมาจากลำคอ
“ป้าจะต้องรู้เรื่องนี้ดีที่สุด” ฉันพูดต่อ “เพราะว่าแม่เป็นน้องสาวแท้ๆของป้านะคะ หรือว่าเรื่องนั้นก็เป็นเรื่องโกหกอีกเช่นกัน? หรือว่าหนูจะบังเอิญเป็นของขวัญที่ติดมากับ...เอ้อ...”
เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นความเคลื่อนไหวอย่างว่องไวของเจสสี ตอนที่ก้าวเข้ามาและตบหน้าฉันเต็มเหนี่ยว
เราต่างฝ่ายต่างจ้องหน้ากันอยู่ ต่างฝ่ายต่างถมึงทึงเข้าใส่กัน ฉันแน่ใจว่าเจสสีเองก็ตกใจในการกระทำของตนไม่แพ้ฉัน
“จะมากไปแล้ว” เจสสีพูดเสียงกร้าว “กล้าดียังไงถึงพูดออกมาอย่างนี้?”
“หนูไม่ได้พูดเพราะอยากจะดูหมิ่นป้าเลยนะคะ หนูเพียงแต่ไม่เข้าใจ...” พูดจบฉันก็เดินออกมาจากห้องไม่สนใจจะเก็บแฟ้มให้เข้าที่เข้าทางตามเดิมเสียด้วยซ้ำ
