บท
ตั้งค่า

บทที่ 1

ปี 1965, มันก็ไม่ได้เป็นช่วงเวลาที่เลวจนเกินไปนักหรอกสำหรับจะเกิดมาเป็นคน แต่แน่นอนที่มันย่อมไม่ใช่ปีที่ดีที่สุด นอกจากเหตุการณ์อื่นๆ แล้วมันก็เป็นปีของเซลม่า กับวัตต์ ปีนั้นมาร์ติน ลูเธอร์ คิง เดินทางไปอลา-บาม่าได้รับการต้อนรับด้วยแก๊สน้ำตา พอไปถึงชิคาโกก็ถูกต้อนรับด้วยไม้พลอง แต่พระราชบัญญัติการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งก็ได้ถูกประกาศใช้เป็นกฎหมายในปี 1965 นั่นเอง จะเรียกว่าเป็นของแถมก็ยังได้

นอกจากนั้นมันก็ยังเป็นปีขจัดความยากจนของประชากรชาวอเมริกัน ต้องนับว่าเป็นของแถมอันดับหนึ่งทีเดียวถ้าทำได้สำเร็จ ในระดับรองลงมาปีนั้นโรลลิ่ง สโตน ดังระเบิดด้วยเพลง “I Can’t Get No Satisfaction” ส่วนไซมอนกับการ์ฟังเกลก็กวาดคะแนนนิยมจากเพลง “The Sound of Silence”

ขณะเดียวกันมันก็ยังเป็นปีที่สังคมชาวอเมริกันได้รู้จักกับไดเอทเป๊ปซี่ พอถึงเดือนธันวาคมอันเป็นเดือนเกิดของฉัน แมรี่ คว้อนท์ ก็เอามินิสเกิร์ตออกเผยแพร่

คราวนี้มาพูดกันถึงเรื่องขาดทุนบ้าง ปีนั้นเป็นปีที่มีปฏิบัติการรบเกิดขึ้นในเวียดนาม ตอนปลายปี 1965 เครื่องบินของกองทัพอากาศสหรัฐก็เริ่มเอาลูกระเบิดไปทิ้งแถวๆ เวียดนามเหนือ มีกองกำลังทางทหารอเมริกันมากกว่าสี่แสนเข้าไปต่อสู้จนได้รับบาดเจ็บล้มตายในปฏิบัติการรบที่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครยอมเรียกว่า “สงคราม” หนึ่งในจำนวนทหารผู้เสียชีวิตคือหนุ่มน้อยคนหนึ่งชื่อ เควิน มาโลเน่ย์ ซึ่งกว่ายี่สิบปีของชีวิตฉันคิดว่าเขาคือพ่อของฉันมาโดยตลอด

การเดินทางจากสำนักงานแพทย์กลับมาบ้านนั้นมันไม่ได้มีสิ่งใดที่ควรค่าแก่การจดจำ ฉันจะต้องซื้อตั๋วแล้วก็ขึ้นรถไฟที่สถานีบนถนนสายสามสิบ จากนั้นก็มาลงที่เวย์นอันเป็นจุดปรกติที่ต้องลงแล้วก็เดินกลับบ้าน ทั้งนี้เพราะบ้านอยู่ห่างจากสถานีเพียงแค่ไมล์เดียวแล้วมันก็เป็นวันในฤดูใบไม้ผลิที่อากาศสดใสมาก อ้อ...ดูเหมือนสิ่งหนึ่งที่ฉันจำได้ก็เรื่องอากาศนี่แหละ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแสงอาทิตย์กับดอกไม้ที่กรีดกลีบบานสะพรั่งอยู่มันตรงข้ามกับอารมณ์ฉันโดยสิ้นเชิงและอีกอย่างหนึ่งกลีบสีชมพูของดอกไม้นั่นมันทำให้ขนสีดำของเจ้าพุชดูเด่นดำขึ้นอีกเท่าตัว เหมือนแมวกระเบื้องเคลือบสีดำไม่มีผิด

มันกระโจนออกมาจากพุ่มอะซีเลียที่อยู่ตรงสนามด้านหน้าชนหน้าแข้งฉันเข้าปังใหญ่ แล้วก็ร้องเหมียว...เหมียวเป็นการทักทาย ถึงอย่างไรฉันก็ต้องตอบรับมันอยู่แล้วเพราะรู้สึกว่าออกจะใจร้ายเกินไปสักหน่อยถ้าจะไม่ให้ความสนใจกับมันเอาเสียเลย อีกประการหนึ่งการได้ทักทายกับเพื่อนถึงแม้ว่ามันจะเป็นแมวก็ช่วยให้ฉันหายหงอยเหงาเศร้าใจลงได้มาก

มันทำให้ฉันนึกขึ้นมาได้ว่าถือกุญแจประตูบ้านไว้ เมื่อเปิดประตูแล้วฉันก็ยืนเลี่ยงให้เจ้าพุชมันเดินนำเข้าไปก่อน เจ้าแมวผู้ตัวนี้มีน้ำหนักถึงสิบแปดปอนด์ เรื่องกิริยามารยาทก็ไม่ต้องพูดถึง ถ้าคุณไปขวางทางมันไว้มันเป็นเดินผ่านขึ้นมาบนตัวคุณแน่ๆ

มันเดินมุ่งหน้าไปทางครัว แต่ฉันกลับยืนกวาดสายตามองไปรอบๆห้องโถงซึ่งก็เห็นมาจนชินตา แต่ทำไมวันนี้ถึงดูมันแปลกๆไปได้ก็ไม่รู้ ถ้าจะว่าไปแล้วฉันจำได้ขึ้นใจทีเดียวว่ามีอะไรตั้งอยู่ตรงไหนบ้าง ต่อให้เป็นกลางคืนมืดๆฉันก็สามารถเดินได้โดยไม่ชนกับอะไรเลย เพราะถึงแม้เวลานี้ฉันจะอายุยี่สิบสองแล้วแต่ก็อยู่ในบ้านหลังนี้มาถึงสิบเก้าปี ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็คงเป็นเหมือนเดิม...นอกจากตัวฉันเท่านั้นที่มีความรู้สึกแปลกเปลี่ยนไป

เจสสียังไม่กลับจากทำงาน เธอชอบพูดอยู่เสมอว่าเลี้ยงฉันมาตั้งแต่ตัวเท่าลูกหมา เจสสีเป็นป้าเพราะเป็นพี่สาวของแม่ หรืออย่างน้อยฉันก็เคยสันนิษฐานว่าเธอเป็นเช่นนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างเราขึ้นๆลงๆอยู่ตลอดเวลา ตอนที่เป็นเด็กก็อาจจะลงมากกว่าขึ้น และอีกช่วงหนึ่งคือตอนที่ฉันเริ่มแตกเนื้อสาวแรกรุ่นซึ่งฉันไม่ใคร่ชอบสุงสิงกับใคร ตอนนั้นเจสสีมีความเห็นว่าฉันเป็นโรคประสาทชนิดชอบเก็บตัว

เจสสียังมีความคิดเกี่ยวกับตัวฉันในวัยนั้นอีกว่าเป็นเด็กวัยรุ่นที่แย่ที่สุด เพราะคำพูดทำนองนี้แหละที่ทำให้เราต้องทะเลาะกันอยู่เป็นประจำ

“เธอนี่มันแย่จริงๆนะฮัสเคลล์” เจสสีว่าและฉันก็จะสวนออกไปทันควันเลยว่า

“เป็นไปไม่ได้หรอกป้า ถ้าหนูแย่หรือเลวขนาดนั้นหนูจะโตขึ้นมาเป็นมนุษย์สมบูรณ์แบบได้ยังไงกันเล่า?” และเจสสีโต้กลับมาว่า

“ที่เธอเป็นได้น่ะมันต้องยกความดีความชอบให้ฉัน คิดดูแล้วกันว่าฉันต้องบ่นต้องว่าต้องฟาดฟันกับเธอมาแค่ไหน กว่าจะทำให้เด็กเลวๆคนหนึ่งกลายเป็นคนสมบูรณ์แบบขึ้นมาได้”

เจสสีเป็นนักจับผิดตัวยง ฉันต้องใช้คำนี้เพื่ออธิบายถึงคุณสมบัติพิเศษของเจสสีในเรื่องนี้ไปก่อน แต่ถ้าจะว่าไปแล้ว สำหรับการเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวที่อุทิศเวลาส่วนใหญ่ให้กับงานและพยายามอดทนกับการเลี้ยงเด็กคนหนึ่งอย่างที่สุด เจสสีน่าจะเป็นสัญลักษณ์ของผู้หญิงที่มีสัญชาตญาณแห่งความเป็นแม่อย่างเยี่ยมยอด

ฉันทั้งรักและชื่นชมในตัวเจสสีอย่างที่สุด ถ้าเจสสีไม่รักไม่ชื่นชมในตัวฉันก็หมายความว่าเขาเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงและยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งโลกทีเดียว เจสสีไม่มีวันจะปิดบังความรู้สึกที่มีต่อฉันได้อย่างแน่นอน ซึ่งก็คงจะรู้อยู่แก่ใจดีแล้ว

ฉันได้ยินเสียงเจ้าพุชร้องออกมาจากครัวเหมือนจะอุทธรณ์อะไรบางอย่าง คงเป็นเพราะในจานของมันไม่มีอาหารนั่นเอง แต่แทนที่ฉันจะรีบวิ่งไปจัดการให้ตามคำเรียกร้องของมันเช่นที่เคยทำมา ฉันกลับเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นบน เดินเลี่ยงรอยขาดของพรมที่เจสสีตั้งใจทุกวันว่าจะซ่อมให้เรียบร้อย ในบ้านนี้-เราไม่เคยต้องปิดประตูห้องและขณะนี้ห้องของเจสสีก็เปิดประตูกว้างทิ้งไว้ ฉันจึงเดินเลยเข้าไปในห้องนั้น

มันเป็นห้องนอนที่ถูกจัดไว้อย่างมีระเบียบที่สุด เจสสีจัดเตียงให้เรียบร้อยก่อนจะออกจากบ้านไปทำงานในตอนเช้า ผ้าปูที่นอนขาวสะอาดขึงตึงเปรี๊ยะอยู่กับที่นอนไม่มีรอยยับย่นเลยแม้แต่น้อย บนโต๊ะเครื่องแป้งนอกจากจะมีแปรง หวีและเครื่องสำอางไม่กี่อย่างแล้วก็มีรูปขนาดแปดคูณสิบของฉันใส่กรอบตั้งไว้ บนโต๊ะทำงานก็จัดไว้เป็นระเบียบ บิลค่าใช้จ่ายต่างๆถูกแยกใส่แฟ้มไว้ตามประเภทเรียงซ้อนกันอยู่มุมหนึ่งของโต๊ะ ต่อมาก็เป็นแฟ้มจดหมายที่ยังไม่ได้ตอบ ฉันทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะตัวนี้และเปิดลิ้นชักออก

ก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าฉันกำลังคิดจะหาอะไรอยู่ แต่แม้ตอนที่ได้ยินเสียงเจสสีกลับมาฉันก็ยังตั้งหน้าตั้งตาหาสิ่งนั้นอยู่ต่อไป ฉันได้ยินเสียงกุญแจที่ไขเข้ามา ได้ยินเสียงประตูกระแทกปิดลง เสียงคล้ายกับป้าจะทำอะไรบางอย่างตกลงบนพื้นห้อง

“โธ่เอ๊ย…” ฉันได้ยินเสียงเจสสีอุทานอย่างโมโหตัวเองที่ก้มลงเก็บอะไรบางอย่าง พอเงยขึ้นหัวก็ไปชนกับอะไรอีกบ้างอย่างเข้าอีก

ฉันทิ้งกระเป๋าถือไว้บนโต๊ะในห้องโถงชั้นล่าง เจสสีคงจะเห็นมันเข้าจึงตะโกนขึ้นมาว่า

“เฮ้ ฮัสเคลล์ ป้ากลับมาแล้ว” และป้าก็คงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เพราะฉันได้ยินเสียงหงุดหงิดดังขึ้นว่า “เออ...เออ...ไอ้แมวยุ่ง เดี๋ยวจะให้กิน ขอเวลาพักหน่อยไม่ได้หรือไง?”

ฉันยังคงรื้อค้นข้าวของในลิ้นชักต่อไป ลิ้นชักต่ำสุดด้านซ้ายมือนั้นลึกกว่าลิ้นชักอันอื่นถึงสองเท่า เต็มไปด้วยแฟ้มเอกสาร ฉันหยิบมันขึ้นมาพลิกๆดูก็เห็นว่าเป็นแบบฟอร์มคำร้องซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิต เอกสารเกี่ยวกับรถยนต์ จดหมายตอบคืนเงินภาษีส่วนเกิน ใบเสร็จรับเงินและอื่นๆ

จากเบื้องล่างนั้นฉันได้ยินเสียงฝีเท้าเจสสีที่เดินจากห้องหนึ่งไปยังอีกห้องหนึ่ง เสียงจานกระทบกันตอนที่ป้าให้อาหารแมว จากนั้นก็ได้ยินเสียงแก้วที่วางลงบนเคาน์เตอร์บอกให้รู้ว่ากำลังผสมมาร์ตินี่ให้ตัวเองเช่นปกติ ได้ยินเสียงป้าเรียกอีกครั้งตอนที่เดินขึ้นบันไดมา

“ฮัสเคลล์อยู่ไหนน่ะ? จะลงมาข้างล่างหรือเปล่า อยากดื่มอะไรบ้างไหมล่ะ?”

แต่เจสสีออกจะเป็นคนใจร้อนเพราะไม่เคยคิดจะรอฟังคำตอบจากฉัน เมื่อขึ้นบันไดมาถึงชั้นบนก็ตรงรี่ไปที่ห้องฉันก่อน ตอนที่ป้าเดินมาหน้าประตูห้องของตัวเองฉันกำลังพลิกแฟ้มที่ข้างหน้าเขียนไว้ว่า “หลักฐานทางกฎหมาย” อยู่พอดี

“นั่นทำอะไร?”

เสียงที่ถามนั้นบอกความสงสัยมากกว่าจะโกรธเคือง แม้ว่าป้ามีสิทธิทุกประการที่จะโมโหได้ก็ตาม เพราะเราต่างเคารพในความเป็นส่วนตัวของกันและกันอยู่นับตั้งแต่ฉันอายุสิบสาม ป้าไม่เคยถือวิสาสะมาเปิดลิ้นชักตู้โต๊ะในห้องฉันเลย

เจสสียืนถือแก้วเหล้ามองมาจากหน้าประตู รูปร่างของป้าเตี้ยกว่าฉันเล็กน้อย ห้าฟุตสี่นิ้วพอดิบพอดี เมื่อไม่กี่ปีมานี้เองที่เราใช้เสื้อผ้าขนาดเดียวกันและในช่วงปีหลังๆนี่ป้าเริ่มจะอ้วนขึ้นบ้างเล็กน้อย เรือนผมสีเทาหยักโศกสลวยตามธรรมชาติและตัดสั้นเป็นทรงบ๊อบ ซึ่งก็ไม่ได้มีเหตุผลด้านความสวยงาม แต่เป็นเรื่องของความสะดวกสบายมากกว่า ชุดเทเลอร์สีเทาที่สวมอยู่เหมาะกับบุคลิกและตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายจัดซื้อของห้างสรรพสินค้าใหญ่ในฟิลลาเดลเฟีย ขณะที่ฉันหันไปมองหน้าป้า ฉันมีความรู้สึกเหมือนเจสสีเป็นคนแปลกหน้าในชีวิตอย่างแท้จริง

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel