ตอนที่ 3
"ร้านอยู่ที่ไหนครับ ไกลหรือใกล้จะคุ้มค่าน้ำมันที่ขับไปชิมหรือเปล่า" บุตรชายแกล้งถาม
"ไว้พรุ่งนี้แม่จะเขียนแผนที่กับเบอร์โทร.ให้ กริชลองไปดูซิว่ามีขนมอะไรถูกใจบ้าง เผื่อวันเกิดแม่เดือนหน้าจะได้สั่งขนมมาเลี้ยงแขกงานทำบุญ"
แม้จะหมั่นไส้พ่อลูกชายตัวดีที่ปากไม่ตรงกับใจสักเท่าไร แต่ในที่สุดคุณนวลก็ต้องยอมเขียนแผนที่ให้เพราะอยากจะใช้โอกาสนี้ ทำให้คมกริชไปพบภาสินีที่ร้านให้เร็วที่สุด
ร้านขนมของภาสินีหาไม่ยากเพราะอยู่ริมถนน คมกริชได้รับแผนที่และเบอร์โทรศัพท์จากคุณนวลในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น บ่ายนี้หลังจากประชุมเรื่องสำคัญเสร็จเขาก็ขับรถมาดูด้วยตัวเองว่าขนมร้านนี้อร่อยมากแค่ไหน
ร้านขนมของภาสินีตกแต่งได้อย่างสวยงาม บรรยากาศน่านั่งเหมาะสำหรับพักผ่อนหย่อนใจจริงๆ เจ้าของร้านไม่อยู่ที่เคาน์เตอร์มีพนักงานเพียงสองคนคอยรับแขกแทน
คมกริชสั่งกาแฟที่ชอบมานั่งที่เก้าอี้มุมหนึ่งในร้าน สายตาสอดส่องมองหาว่าเจ้าของร้านจะเข้ามาเวลาไหน ภาสินีเปิดประตูร้านเข้ามาพร้อมกับชายหนุ่มท่าทางภูมิฐานคนหนึ่ง เมื่อมาถึงเจ้าหล่อนก็ตรงไปที่เคาน์เตอร์จัดแจงเครื่องดื่มเย็นๆ ดับความกระหายพร้อมกับขนมจานเล็กบริการให้ถึงที่ด้วยท่าทียิ้มแย้มตลอดเวลา
คมกริชจ้องมองทุกอิริยาบถไม่คลาดสายตา ยิ่งเห็นภาสินีพูดคุยหยอกเย้าด้วยท่าทีเป็นกันเองกับชายแปลกหน้าคนนั้น มันก็ยิ่งทำให้คมกริชจ้องมองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจแต่ทำอะไรไม่ได้ นอกจากรอคิดบัญชีกับแม่จอมจุ้นที่ทำให้หัวใจเขาหงุดหงิดในเวลานี้
"ขอบคุณคุณพีระมากนะคะ" ภาสินีกล่าวคำขอบคุณชายหนุ่มสำหรับธุระสำคัญของวันนี้
"เล็กน้อยครับ ขนมอร่อยๆ แบบนี้ต้องเผยแพร่ให้คนกินกันเยอะๆ อีกอย่างถือเป็นเกียรติสำหรับผมมากว่าที่ร้านขนมของคุณแพทยอมใช้บริการที่ห้างผมด้วย" เจ้าของห้างสรรพสินค้าชื่อดังยิ้มอย่างมีความสุข สายตามองจับจ้องเจ้าของร้านคนสวยด้วยความพึงพอใจอย่างเห็นได้ชัด
"ถ้าสาขาแรกไปได้สวยและคุณแพทต้องการขยายเพิ่ม บอกผมได้ทุกเมื่อนะครับไม่ต้องเกรงใจ"
"ขอบคุณมากเลยค่ะ" เจ้าของร้านคนสวยยิ้มรับ
“สำหรับคุณแพท ผมยินดีเสมอครับ”
“คุณพีระนั่งตามสบายเลยนะคะ แพทขอตัวไปทำงานหลังร้านแป๊ปหนึ่ง" ภาสินียิ้มหวานขอตัวไปจัดการงานที่คั่งค้างอีกมากก่อน ทันทีที่หญิงสาวกลับเข้าไปหลังร้านคมกริชก็ลุกตามไปทันที
เจ้าของร้านคนสวยปลีกตัวมาจากแขกพิเศษเพื่อจัดการวางแผนงานที่คั่งค้างอยู่ให้เสร็จ ร้านขนมของภาสินีก้าวหน้าไปอีกขั้น ด้วยการเปิดสาขาในห้างสรรพสินค้าชื่อดังที่ก่อสร้างใกล้ร้านและจะเปิดอย่างเป็นทางการในไม่ช้านี้
โอกาสดีเช่นนี้ไม่ได้หาง่ายๆ เพราะความบังเอิญหรือโชคช่วยก็ไม่อาจรู้ได้ เพราะจู่ๆ เจ้าของห้างตัวจริงอย่างพีระก็เข้ามาเป็นลูกค้าของร้าน และติดออกติดใจในขนมจนออกปากชวนให้ไปจับจองพื้นที่ในห้างสรรพสินค้าด้วยราคาพิเศษ
“แก้วตา ช่วยทำป้ายติดหน้าร้านทีว่าเราจะหยุดสักสองวันนะ” เสียงเปิดประตูห้องทำงานดังขึ้น ภาสินีไม่ทันมองว่าใคร เข้าใจว่าเป็นพนักงานในร้านจึงสั่งงานไปตามระบบ
“เป็นเจ้าของร้านทำไมไม่ออกไปดูงานด้านหน้า มาหมกตัวทำอะไรอยู่ในนี้” คมกริชก้าวเข้ามาด้วยสีหน้าบึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด
เขาเดินตามเข้ามาทันทีหลังจากที่ภาสินีขอตัวออกมาจากโต๊ะของพีระ และแกล้งทำทีถามพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ว่าเจ้าของร้านอยู่ที่ไหน ตนมีเรื่องจะติดต่อเกี่ยวกับขนม อาศัยจังหวะที่พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ยุ่งกับการรับลูกค้า คมกริชจึงอาสาว่าจะเข้ามาหาเอง
"แล้วนิสัยชอบสั่งก็ยังไม่เลิกอีกนะ"
“เข้ามาได้ไง” เจ้าของห้องทั้งตกใจและแปลกใจที่จู่ๆ ก็เห็นเขาปรากฏตัวที่นี่
“กาแฟพอใช้ได้ ขนมก็ดีไม่หวานมาก คงไม่ได้ทำเองรับมาอีกต่อล่ะซิ” คมกริชพูดพลางเดินสำรวจรอบห้องทำงานหญิงสาว
ภาสินีก็คือภาสินีคนเดิมไม่เปลี่ยน รสนิยมการตกแต่งและข้าวของเครื่องใช้ล้วนบ่งบอกความเป็นเธอ หรูหรา สวยงามไม่เปลี่ยน แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือไม่มีอะไรผิดปกติที่จะเผยให้เห็นว่าทำอย่างอื่นนอกจากทำงาน แต่...
“หมอนั่นเป็นใคร” เขาหมายถึงไอ้หนุ่มช่างยิ้มที่เจ้าหล่อนพูดคุยด้วยเมื่อครู่
“คุณมีธุระอะไรก็พูดมา ฉันจะทำงาน” หญิงสาวไม่ตอบคำถามของเขา
“จะทำงานก็ทำไปซิ ฉันถามเธอก็ตอบมาก็แค่นั้น”
“แต่คุณรบกวนการทำงานของฉัน”
“มืออาชีพหน่อยซิ เป็นถึงเจ้าของร้านแล้วแค่คุยไปทำงานไปคงไม่ทำให้เสียสมาธิหรอกใช่ไหม บอกมาไอ้หมอนั่นเป็นใคร” คมกริชวกกลับมาที่คำถามเดิม
“ฉันไม่จำเป็นต้องตอบคำถามคุณ ออกไปได้แล้ว ฉันจะทำงาน” ภาสินีเดาว่าเขาคงหมายถึงพีระ แต่เธอคิดว่าไม่จำเป็นต้องรายงานทุกเรื่องให้คมกริชรู้
“ไม่ตอบก็ไม่เป็นไร แต่ฉันไม่ชอบที่หมอนั่นมาที่นี่บ่อยๆ หวังว่าคงรู้นะว่าต้องทำอย่างไร”
"พูดจบแล้วก็เชิญออกไปได้ ฉันจะทำงาน" หญิงสาวพยายามข่มอารมณ์ความไม่พอใจไว้ไม่ให้แสดงออกมา รวบรวมสมาธิเพื่อจะทำงานของตนให้เสร็จโดยเร็ว เพราะยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องจัดการ แต่คมกริชยังไม่ยอมออกจากห้องและใช้คำพูดยียวนกวนประสาทเสียเหลือเกิน
"เปิดร้านหรูแบบนี้คงใช้เงินลงทุนไม่น้อย แต่เสียดายไม่รู้ว่าจะไปได้นานแค่ไหน เพราะเจ้าของร้านทำอะไรไม่เป็นสักอย่างนอกจากสั่งอย่างเดียวเท่านั้น
"ถ้าจะมาหาเรื่องกันก็ออกไปเลยนะ ฉันจะทำงานไม่ต้องการให้คนอื่นรบกวน" ภาสินีเน้นคำว่าคนอื่นชัดเจน
"ใครคนอื่น" คมกริชหันหน้ามามองคนพูดด้วยสีหน้าไม่พึงพอใจนัก
“เราเป็นคู่หมั้นที่ในอนาคตจะแต่งงานกัน ลืมไปแล้วหรือไง”
"ใครบอกว่าฉันจะแต่งงานด้วย" ภาสินีย้อนกลับทันควัน
"ฉันบอกแล้วไงว่าต่อให้โลกนี้เหลือผู้ชายคนเดียวคือคุณ ฉันก็ไม่มีวันแต่ง"
"ฉันจะกลับไปบอกแม่วันนี้เลยว่า ไม่ต้องรออะไรทั้งนั้นแต่งมันวันนี้พรุ่งนี้ไปเลย ดูซิว่าจะเป็นไง"
“นายไม่มีปัญญาหาเมียเองหรือไง หรือว่าผิดปกติตรงไหนถึงต้องให้คุณป้าเที่ยวหาเมียให้แบบนี้” เจ้าของร้านคนสวยสุดจะทนกับนิสัยชอบเอาชนะของเขาแล้ว
"ไม่มีอะไรผิดปกติ ทุกอย่างเป็นปกติและมีประสิทธิภาพดีเสียด้วย มีผู้หญิงอีกมากที่อยากจะมาอยู่ใกล้ๆคลุกวงในกับฉัน"
"แล้วทำไม ไม่เอาแม่พวกนั้นมาเป็นเมีย" ภาสินีแสนจะหมั่นไส้
"ถ้าเอามาจริงๆเธอจะทนไหวไม่เสียใจแน่เหรอ"คมกริชยียวนกวนประสาทมากเข้าไปอีก
“คนโรคจิต จะไปไหนก็ไปอยากจะเอาใครมาเป็นเมียก็เชิญตามสบาย แต่ต้องไม่ใช่คนอย่างฉันแน่”
“คิดว่าตัวเองสำคัญมากนักหรือไง ถึงได้กล้าพูดแบบนี้”
“ฉันพูดความจริงต่างหาก ใครที่เป็นเมียคุณต้องอึดอัดหัวใจไปทั้งชีวิตแน่”
เรื่องอะไรจะยอมให้คมกริชว่าอยู่ฝ่ายเดียว หมดเวลาที่จะยอมอ่อนข้อให้แล้ว ผู้ชายคนนี้ต้องใช้ระบบตาต่อตาฟันต่อฟันถึงจะเหมาะสมที่สุด ปากไม่มีหูรูดพูดจาไม่คิดถึงใจคนอื่นต้องเอาให้หน้าหงาย
"ใครกันแน่ที่อึดอัด ต้องเป็นฉันซิที่ต้องทนอยู่กับคนไม่เป็นโล้เป็นพายอย่างเธอ"
“ก็ไม่ต้องอยู่ ไม่ต้องทนอะไรทั้งนั้นเพราะฉันก็จะไม่ทนอยู่กับผู้ชายนิสัยเสียอย่างคุณแน่ อีกอย่างอย่าดูถูกคนอื่นมากนัก เพราะคนที่คุณว่าไม่เป็นโล้เป็นพายอะไรสักอย่าง อาจจะมีคนดีที่เห็นค่าต้องการให้คนไม่เป็นโล้เป็นพายไปอยู่เคียงข้างด้วย ซึ่งฉัน..."
“ทำไม มีไอ้หน้าโง่ที่ไหนหน้ามืดตามัวมาติดกับเธองั้นเหรอ” คมกริชตาวาวทันที ไม่รอให้ภาสินีพูดให้จบพ่อเจ้าประคุณก็ก้าวเข้ามาประชิดตัวทันที
"ขอดูหน่อยได้ไหมว่าไอ้ที่แม่ใส่พานมาถวายให้ถึงที่ การันตีสรรพคุณเองว่าดีหนักดีหนาเนี่ย จริงๆ แล้วมันดีแท้แค่ไหนหรือว่าของเก๊ที่เร่ขายให้เพราะไม่มีใครเอา" ชายหนุ่มคว้าสองมือของภาสินีไว้แล้วดึงตัวเข้ามาใกล้
"คิดเหรอว่าไอ้ร้านขนมเล็กๆ มันจะไปรอด ลองมีเจ้าของที่ดีแต่สั่งทำอะไรไม่เป็นสักอย่างแบบนี้ล่ะก็ รับรองได้เลยว่าไม่นานก็เจ๊ง"
"ไอ้บ้า ไอ้ปากเสีย ออกไปจากร้านฉันเดี๋ยวนี้นะ" เจ้าของร้านคนสวยโกรธจนหน้าแดง
"พูดความจริงล่ะซิ แค่นี้ทำไมต้องโกรธด้วย" คมกริชยั่วอีก
“ออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ” ภาสินีโกรธจนตัวสั่นสะบัดตัวสุดแรงให้หลุดออกจากการถูกรั้ง คมกริชปล่อยอย่างง่ายดายแต่ไม่คิดว่าเมื่อปล่อยแล้วเขาจะได้รับหมอนอิงเป็นรางวัล
“ทำบ้าอะไร” หมอนใบใหญ่ลอยใส่หน้าอย่างไม่ทันตั้งตัว ภาสินีตั้งท่าจะทุ่มอีกใบตามด้วยความโมโห
“ออกไปจากร้านฉันเลยนะ แล้วไม่ต้องมาที่นี่อีก ฉันไม่อยากเห็นหน้านาย”
"ฉันพูดความจริง ไม่เห็นต้องโกรธกันเลย” ไม่วายที่เขาจะหยอดคำกวนประสาทไว้อีก
"อีตาบ้า" คนถูกยั่วโมโหพูดอะไรไม่ออก ทั้งๆ ที่อยากจะเล่นงานคนตรงหน้าให้หายแค้น ทางเดียวที่ทำได้คือเขวี้ยงหมอนที่อยู่ใกล้มือไปหาคนปากเสียที่ลอยหน้าลอยตายั่วประสาทคนอื่น และยิ่งโมโหมากขึ้นเมื่อพ่อเจ้าประคุณหลบได้ทุกทีซิน่า
"ฉันกลับล่ะ" จู่ๆ คมกริชก็บอกลาดื้อๆ
“อ้อ แต่ก่อนไปอยากให้เธอพิจารณาข้อเสนอฉันนะ ถ้าเราแต่งงานกันฉันมีเงินเดือนทุกเดือนให้ใช้ ดูแลเป็นอย่างดีไม่ให้ลำบาก ขอแค่เธอเอาใจฉันมากๆ ดูแลฉันให้ดีอย่าทำตัวงี่เง่า ส่วนไอ้ร้านขนมเนี่ยถ้าไม่อยากทำฉันจะหาคนมาเซ้งต่อให้ หรืออาจจะช่วยลงเงินทุนสนับสนุนและหาคนมาบริหารแทน ส่วนเธอก็รอรับเงินกำไรสิ้นเดือนแต่มีข้อแม้ว่า ต้องไม่มีคนอย่างไอ้หมอนั่นมานั่งลอยหน้าลอยตาในร้านฉันอีก ตกลงไหม”
คมกริชส่งยิ้มทิ้งท้ายอย่างคนชนะ ในขณะที่ภาสินีโกรธจนหน้าแดงก่ำคว้าหมอนที่อยู่ใกล้มือที่สุด เขวี้ยงไล่หลังคนที่เดินหัวเราะออกไปอย่างมีความสุข
